บทที่ 53 นางปีศาจ

ทุกคนต่างตื่นตกใจ ฮ่องเต้ชิงหลานลืมตนลุกขึ้นยืนจากบัลลังก์มังกร จ้องภาพนั้นด้วยสายตาดุดัน

หลังจากมู่เชียนชางซัดฝ่ามือออกไปก็ไม่ลงมืออีกเพราะสามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้แล้ว ชายหนุ่มอยู่ในสภาพไร้เรี่ยวแรง เรี่ยวแรงจะยืนยังแทบไม่มี เป็นซวนหยวนเช่อที่ช่วยพยุงเขาลุกขึ้นยืน

“เจ้ามีฝีมือ หากแต่เทียบกับข้าแล้วยังด้อยกว่า” มู่เชียนชางเอ่ยเสียงเรียบ คำที่กล่าวออกมาไม่คล้ายคำชม หากแต่ทำใจคนเดือดพล่าน

ใบหน้าดูดีของมู่ฉือซีดขาว “เจ้า….. ทำได้อย่างไร…..”

พลังทำลายล้างของธาตุทองสามารถใช้ได้ทั้งในการโจมตีและตั้งรับ เป็นธาตุที่เหมาะกับการต่อสู้มากที่สุดธาตุหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นธาตุที่ไร้จุดอ่อน ไม่จำเป็นต้องกลัวการใช้พลังวิญญาณจากธาตุใดเข้าโจมตี

หากแต่ถ้าเป็นธาตุทองกับธาตุทองด้วยกันจะไร้ผล ผลแพ้ชนะย่อมขึ้นอยู่กับวิทยายุทธ์ล้วน ๆ และการโจมตีเมื่อครู่ของมู่เชียนชางก็สำแดงพลังให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าเขามีวิทยายุทธ์เหนือกว่า

มู่เชียนชางทอดสายตามองใบหน้าซีดขาวของฝ่ายตรงข้ามก่อนมุมปากจะยกขึ้นเล็กน้อย “เพราะความมืดคือราชันในหมู่ธาตุ สามารถกลืนกินได้ทุกสิ่งอย่าง ดังนั้นจึงสามารถเลียนแบบพลังวิญญาณของธาตุอื่น ๆ ได้ เนื่องจากทุกธาตุต่างก่อกำเนิดขึ้นจากความมืด”

พูดจบก็ยกยิ้มชั่วร้ายออกมา เขาชูมือขึ้นสะบัดมือหนึ่งครา พลังวิญญาณก็เรืองแสงถึงสองสีด้วยกันออกมา เป็นสีแดงและสีเขียว แสงเรืองหลากสีที่ส่องออกมาจากร่างที่บ่งบอกถึงธาตุแต่ละธาตุต่างสลับสับเปลี่ยนกันเรืองรองออกมาจากฝ่ามือของเขา

ภาพไม่น่าเชื่อฉากนี้มีเพียงมู่ฉือและซวนหยวนเช่อที่ได้เห็น ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที นัยน์ตาคนทั้งคู่มองมู่เชียนชางราวกับมองปีศาจ

คนผู้นี้….. แข็งแกร่งเป็นบ้า!

ไม่แปลกที่ธาตุแห่งความมืดเช่นนี้หาได้ยากแม้เวลาผ่านไปนับร้อยปี มีเคล็ดวิชาสะท้านฟ้าเช่นนี้ หากสามารถใช้ธาตุมืดได้ก็เหมือนได้ถือไพ่เหนือกว่าไว้ในมือ สามารถเอาชนะได้ทุกธาตุ แทบไม่อาจถูกโค่นล้มได้

ไม่แน่ว่าในหมู่คนที่มาชมการประลองในวันนี้….. กระทั่งเซียนซินจื่อที่มีวิทยายุทธ์ลึกล้ำก็ยังไม่อาจเอาชนะคนผู้นี้ได้!

ซวนหยวนเช่อขมวดคิ้วแน่น ถึงกระนั้นเขาก็ยังต้องต่อสู้กับชายผู้นี้ไม่อาจหันหลังได้ ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงของแคว้นชิงหลานและสำนักละอองหมอกคงถูกทำลายย่อยยับ

“แค่ก ๆ เจ้าก็ยอมแพ้เสียเถอะ ออกไปก็มีแต่โดนอัด” มู่ฉือไอออกมาอีกสองครา เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มขื่นขม

ซวนหยวนเช่อกำลังจะเอ่ยปากพูด หากแต่เซียนซินจื่อกลับประกาศขึ้นเสียก่อน “เนื่องจากการประลองในรอบนี้มีจำนวนผู้เข้าประลองไม่เพียงพอ จึงหยุดการประลองลงชั่วคราว ผู้เข้าประลองทุกท่านมีเวลาหนึ่งก้านธูปในการจัดการตนเองก่อนเริ่มการประลองรอบใหม่”

ในรอบนี้เหลือผู้ประลองเพียงมู่เชียนชางและซวนหยวนเช่อ หมายความว่าหลังจากแข่งขันกันจนหมด จะเข้าสู่การประลองในส่วนที่สอง การประลองในส่วนนี้โหดร้ายทารุณนัก ผู้เข้าประลองจำต้องลงนามสัญญาเป็นตาย

เช่นนี้เซียนซินจื่อกำลังช่วยเหลือหรือยิ่งสร้างปัญหาให้เขากันแน่?

การประลองในส่วนที่สองนี้อาจต้องแลกมาด้วยชีวิต!

ฮ่องเต้ชิงหลานเองก็ขมวดคิ้วไม่พอใจเช่นกัน เซียนซินจื่อที่อยู่ไม่ไกลเห็นดังนั้นจึงคลี่ยิ้มหวานออกมา “ศิษย์พี่ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล ท่านต้องเชื่อในฝีมือขององค์รัชทายาท เขาสนิทสนมกับมู่ฉือตั้งแต่เด็ก เห็นมู่ฉือบาดเจ็บเช่นนี้ย่อมกระทบต่อเขา สุดท้ายอาจเกิดผลเสียหากสู้ต่อไป”

“หากมู่เชียนชางโจมตีหมายเอาชีวิตเช่อเอ๋อร์ในการประลองรอบสุดท้าย…..” ฮ่องเต้ชิงหลานยังไม่อาจวางใจ

“ยังมีเรื่องหนึ่งที่ศิษย์พี่ยังไม่ทราบ” รอยยิ้มเซียนซินจื่อเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มล้ำลึก “ธาตุมืดยังมีข้อเสีย ยามเมื่อราตรีโรยตัว หากผู้ใช้ธาตุมืดเห็นเลือดจะคลุ้มคลั่งกลายเป็นปีศาจ ฉะนั้นหากเขาทำให้องค์รัชทายาทได้รับบาดเจ็บย่อมถูกพลังตีกลับ ดังนั้นเขาย่อมไม่โจมตีหมายเอาชีวิตแน่”

ฮ่องเต้ชิงหลานชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้ายิ้มรับ

ชิงอวี่ไม่ได้สนใจการประลองตรงหน้านางนัก นิ้วเรียวยาวนางถูป้ายหมายเลขในมือตนไปมา ฉับพลันเงยหน้าขึ้นมองออกไปที่นอกห้องโถง ไม่รู้ว่าหมอกสีมวงอมดำปรากฏขึ้นล้อมรอบดวงจันทร์กลมโตสีเลือดที่ดูลึกลับแต่ก็งดงามตั้งแต่ตอนใด หากแต่หมอกม่วงนั้นจางมาก ไม่อาจเห็นได้โดยง่าย

จังหวะนั้นราวกับนางถูกแยกออกจากสิ่งรอบข้าง ราวกับนางกำลังมองดูทุกอย่างในมุมมองของบุคคลที่สาม

การประลองที่ดำเนินมาอย่างเชื่องช้ากลับดำเนินไปอย่างรวดเร็วในพลันราวกับถูกป้อนยาเร่งความเร็ว หมายเลขสามร้อยหกสิบแปดในมือชิงอวี่ถูกลืมเลือนไปเสียสิ้น ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ถูกเรียกออกไป

ภาพที่แจ่มชัดเบื้องหน้าพลันดูเหมือนห่างไกลออกไป เสียงโห่ร้องดีใจ เสียงร้องให้กำลังใจของผู้คนรอบข้างดังก้องขึ้น

“เสี่ยวเป่ย” ชิงอวี่มุ่นคิ้วจากนั้นเรียกชื่อเด็กหนุ่มข้างกาย หากแต่ไร้เสียงตอบรับ บนใบหน้าของเด็กหนุ่มมีความตื่นเต้นระบายอยู่ทั่ว นัยน์ตาเขาจ้องไปที่เวทีประลอง ปากก็ดูราวกำกับกำลังตะโกนสิ่งใดอยู่ ราวกับคนถูกสิง

ดูท่าทุกคนในที่แห่งนี้เป็นเหมือนกันหมด มีเพียงนางที่รู้สึกราวกับถูกแยกออกมา

“ไหมไหม…..” ชิงอวี่เรียกจิตวิญญาณอาวุธในร่างตน หากแต่พบว่าเด็กหนุ่มผมทองกำลังอยู่ในสภาพมึนงงไร้เรี่ยวแรง

“อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ? ตามข้ามาสิ…..” น้ำเสียงที่ได้ยินไม่ชัดราวกับถูกเปล่งออกมาจากอีกฟากฝั่งขอบฟ้าดังขึ้นที่ข้างหู นางหันไปตามสัญชาตญาณ ก่อนจะเห็นเงาร่างหนึ่งในชุดคลุมหัวสีดำยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องโถงหลวง ตอนที่หันมานางมองไม่เห็นใบหน้าของเงาร่างนั้น ทันใดนั้นเงาร่างในชุดคลุมสีดำก็หมุนตัวเดินไป

ชิงอวี่เดินตามเงาร่างนั้นออกไปด้านนอก การประลองยังคงดำเนินต่อไป หากแต่ไม่มีผู้ใดสังเกตุเห็นว่านางเดินออกมาเลยแม้แต่คนเดียว และไม่มีใครเห็นเงาร่างในชุดคลุมดำด้วย

เป็นตอนนั้นเองที่ชิงเยี่ยหลีทลายมิติลึกลับออกมาได้ เขาเพิ่งฟื้นคืนสติกลับมายามร่างสีขาวเดินผ่านสายตาเขาไป ความรู้สึกคุ้นเคยไม่อาจอธิบายได้พลันโถมเข้าใส่ เขาหันหน้าไปมองเงาร่างนั้นในทันที หากแต่ทันมองเห็นเพียงร่างสีขาวกำลังเดินออกจากประตู จากนั้นหายไปในที่สุด

เช่นนี้ไม่ถูกต้อง สามารถขับคนเป็นรอยในมิติโดยที่ไม่มีใครจับสัมผัสได้เช่นนี้ไม่ใช่วิชาที่คนในดินแดนระดับล่างเช่นนี้สามารถทำได้

นัยน์ตาสีเขียวพลันหรี่ลง ผู้ใดกล้าลงมากระทำชั่วช้ายังดินแดนระดับล่างเช่นนี้!? ไม่เกรงกลัวว่าจะถูกกฎระหว่างแดนลงทัณฑ์เลยหรือไร!?

เขาต้องรีบทำลายมิตินี่โดยเร็ว ไม่เช่นนั้นหากคนติดอยู่ในที่แห่งนี้นานเกินไปอาจไม่สามารถออกมาได้อีกชั่วชีวิต

——————–

ร่างสีดำเบื้องหน้านางรักษาระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกลราวกับจงใจรอให้นางเดินตามมา นางเดินต่อไปจนถึงหอสูงแห่งหนึ่ง จากนั้นเงาร่างในชุดคลุมดำก็หายไป

ชิงอวี่กวาดตามองทิวทัศน์ไม่คุ้นเคยรอบกายก่อนจะเค้นสมองหาคำตอบ ในที่สุดก็พบว่าที่นี่คือสถานที่ที่ราชวงศ์ชิงหลานมาขอพรและบูชาสรวงสวรรค์ เรียกว่าหอคอยกั้นวิญญาณ ว่ากันว่าสิ่งที่อยู่ในหอคอยแห่งนี้คือร่างวิญญาณของบรรพบุรุษที่มีพลังบำเพ็ญเพียรแก่กล้า เป็นผู้ที่ราชวงศ์ให้ความเคารพนับถือ

หอคอยกั้นวิญญาณถูกสร้างขึ้นอย่างดีโดยปรมาจารย์เร้นกายในยุคนั้น มีพลังป้องกันสูงส่ง ทั้งยังมีค่ายกลติดตั้งอยู่ภายใน ป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายใดกับตัวหอคอยแม้จะถูกพลังมหาศาลโจมตีใส่

นัยน์ตาเรียวยาวพลันหรี่ลงอย่างระวังภัย เขา….. จงใจนำนางมาที่นี่หรือ?

“ฮี่ ๆ….. ข้าเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าแม่นางน้อยเช่นเจ้า แท้จริงแล้วเป็นยอดฝีมือที่ปิดบังพลังตนไว้”

เสียงหัวเราะน่าขนลุกที่ดังขึ้นตามมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าดังขึ้นจากด้านหลัง

ชิงอวี่หันหลังไปมองในทันที ที่ยอดบนสุดของหอคอยปลายแหลมคือเงาร่างสองเงา เงาหนึ่งสูง เงาหนึ่งเตี้ย ทั้งคู่สวมชุดคลุมสีดำพลิ้วไสว ลมกลางคืนพัดปลายผ้าคลุมเลิกขึ้น ชิงอวี่หรี่ตาลงในพลัน

สองคนนี้….. ไม่สิ ไม่อาจเรียกว่าคนได้

เป็นเพราะด้านในผ้าคลุมนั้นของเงาร่างหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าภายในเป็นโครงกระดูก!

ส่วนอีกร่างดูท่าจะเป็นสตรีผู้หนึ่ง ร่างกายส่วนใหญ่นางกำลังเน่า บนเนื้อมีแต่หนอนไต่น่าสะอิดสะเอียน ส่วนที่ถูกหนอนกินเนื้อจนเกลี้ยงเผยให้เห็นกระดูกสีขาวน่าขนลุกยิ่ง

“อะไรกัน….. ฮ่า ๆ ๆ….. สะอิดสะเอียนหรือ? น่ากลัวใช่หรือไม่? ทั้งหมดนี่คือฝีมือนังเด็กอวดดีอย่างเจ้า!”

หลังจากเสียงหัวเราะบ้าคลั่งหยุดลง นางก็กระโดดลงมาจากหอสูง ร่วงลงมาด้วยความเร็วแสง ก่อนจะมาปรากฏอยู่ตรงหน้าชิงอวี่ในพริบตา ผ้าคลุมหัวนั้นถูกลมตีเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าภายใต้แสงจันทร์อย่างชัดเจน

ผมบนหัวเป็นสีขาว ลูกตาสีม่วงห้อยออกมาจากเบ้าตาทั้งสองข้าง บนใบหน้าปกคลุมไปด้วยเส้นสายเหมือนใยแมงมุมสีดำสนิท ฝังลึกลงไปในเนื้อหนัง ใบหน้าชั่วร้ายเหมือนดั่งใบหน้าของปีศาจร้าย ริมฝีปากสีเลือดเผยอออก เปล่งเสียงหัวเราะอวดดีออกมา

นางกระโดดลงมาจากยอดหอสูงด้วยความรวดเร็ว อ้าปากกว้างราวกับต้องการพุ่งมาฉีกกระชากเนื้อหนังของนาง

ร่างกายชิงอวี่มักเคลื่อนไหวก่อนใจคิดเสมอ ร่างกายกระโดดถอยออกมาอย่างรวดเร็ว ถอยห่างออกจากนางราวสิบก้าว

เมื่อมองใกล้ ๆ ชิงอวี่จึงเห็นว่านางไม่มีแขน

“ข้าไม่รู้จักเจ้า ไม่เคยมีความแค้นในอดีต ระหว่างเราไร้ความแค้นต่อกัน ข้าอยากรู้ว่าเจ้านำทางข้ามาที่นี่มีสาเหตุอันใด?” ชิงอวี่เลิกคิ้วถามด้วยใบหน้าสงสัย ดูท่าความรู้สึกไม่สบายใจหลายวันที่ผ่านมาคงเป็นเพราะสตรีผู้นี้ แต่ว่า….. นางจำไม่ได้เลยว่าได้ไปล่วงเกินคนเช่นนางเข้าเมื่อไร?

สตรีผู้นั้นดูประหลาดใจจนชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินชิงอวี่กล่าว จากนั้นนางก็หัวเราะออกมาราวกับกำลังฟังเรื่องน่าขำ นางทวนคำของชิงอวี่ “ไม่เคยมีความแค้นในอดีต ระหว่างเราไร้ความแค้นต่อกันหรือ? ฮ่า! ฮ่า ๆ….. แขนของข้า….. บาดแผลบนร่างข้า….. ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า! แล้วเจ้ายังกล้าบอกว่าไม่เคยมีความแค้นต่อกัน น่าขันสิ้นดี!”

ได้ยินดังนั้น ชิงอวี่จึงนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ หากแต่ยังไม่ทันคิดเรื่องนั้นได้นานนัก สตรีตรงหน้าก็เอ่ยปากยืนยันสิ่งที่นางสันนิษฐานไว้ในใจ

“เจ้าไม่น่า ไม่ควร….. ยุ่งเรื่องคนอื่นเสียเลย ไม่น่าช่วยบุรุษผู้นั้น ทั้งยังทำให้ข้าบาดเจ็บหนักถึงขั้นนี้”

ใช่อย่างที่นางคิดไว้จริง ๆ….. นางช่วยตัวปัญหาเข้าเสียแล้ว

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิชาร้ายกาจใดทำให้ข้ากลายเป็นสิ่งน่าขนลุกเช่นนี้ ไม่ใช่คนไม่ใช่ผี…..” นางปลดชุดคลุมดำบนร่างออก เผยให้เห็นทั่วทั้งร่างของนางในพลัน

ถึงวิชากำจัดวิญญาณละลายกระดูกไม่เหลือทางถอยให้นาง จำต้องตัดแขนทิ้ง หากแต่ก็ยังช้าเกินไปก้าวหนึ่ง ไม่เพียงวิญญาณเสียหายร้ายแรง กายเนื้อยังเริ่มเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็วเมื่อเวลาผ่านไป พวกหนอนกัดกินเนื้อบริเวณหน้าอกของนางจนแทบไม่มีเหลือ หากแต่นี่ก็เป็นข้อดีจากการที่นางมาจากอารามจันทร์กระจ่าง แม้ร่างกายนางจะหยุดหายใจ แต่ก็ยังมีเคล็ดวิชาลับทำให้คืนชีพได้ ถึงร่างเนื้อจะเสียหายบาดเจ็บถึงเพียงไหน นางจึงยังมีชีวิตรอด

แต่ถึงจะมีสภาพน่ากลัวเช่นนั้นแล้ว บรรยากาศกดดันก็พลันเปลี่ยนเป็นน่าขันไปในทันที

ด้วยเหตุผลดังนี้

วินาทีที่นางปลดเสื้อคลุมออก ใบหน้างามของแม่นางน้อยก็พลันบูดบี้น่าเกลียดในทันใด

“ในเมื่อรู้ว่าตัวเองหน้าไม่เป็นคนไม่เป็นผีก็สวมเสื้อคลุมกลับเถอะ! เจ้าจะเอาชนะข้าด้วยการทำให้ข้าขยะแขยงตายหรืออย่างไร ? สวมเสื้อคลุมเร็วเข้า! รีบ ๆ เลย…..”

รอยยิ้มบนหน้านางที่คิดว่าเด็กสาวผู้นี้คงจะเห็นนางแล้วหวาดกลัวพลันชะงักค้าง

ชิงอวี่ไม่ใส่ใจว่าจะทำร้ายจิตใจนางหรือไม่ นางยังขมวดคิ้วใส่พร้อมทั้งส่งสีหน้ารังเกียจดูถูกให้อีก “ข้าไม่เคยประมือกับคนหน้าตาอัปลักษณ์ เจ้านี่ยกระดับความน่ารังเกียจจนถึงขีดสุดเลยทีเดียว”

ตั้งแต่ที่คำสาปกลืนอารมณ์ถูกถอนออก นางก็ถูกพลังตีกลับอย่างหนักหน่วง ต้องทนทรมานกับร่างกายที่เน่าเปื่อยเนื่องจากวิชากำจัดวิญญาณละลายกระดูก อินชือไม่รู้ว่าตอนนี้ตนหน้าตาเป็นเช่นไรแล้ว หากแต่ตอนที่นางยังเป็นหนึ่งในสิบหัวหน้านักบวชหญิงแห่งอารามศักดิ์สิทธิ์ นางทั้งงดงามและสง่างามหาใครเทียม

ไม่มีสตรีนางใดไม่ใส่ใจหน้าตาตน ทั้งยังไม่มีสตรีนางใดทนให้คนอื่นตราหน้านางว่าหน้าตาอัปลักษณ์ได้