ตอนที่ 39 หมิงซิวกลับมา
ภายในเรือนมีเสียงหัวเราะดังครืน
เฉียวอวี้ซีเติบโตมาจนป่านนี้ไม่เคยต้องอับอายขายหน้าเช่นนี้มาก่อน จวนเอินปั๋วถือเป็นตระกูลชนชั้นสูงที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง แม้เทียบไม่ได้กับจวนโหว จวนกั๋วกงหรือจวนอ๋อง แต่เมื่อเกี่ยวดองกับตระกูลจีผ่านการแต่งงาน ย่อมกลายเป็นเป้าหมายที่เหล่าคนสำคัญในเมืองหลวงต่างแห่แหนมาผูกมิตร
ตั้งแต่นางกลับถึงเมืองหลวง คุณหนูจากตระกูลชั้นสูงต่างมารุมประจบนางทุกวันไม่ต่างจากฝูงปลาไนในลำธาร มีคนไม่น้อยฐานะสูงกว่านาง แต่ไม่มีผู้ใดสักคนทำให้นางนำของขวัญล้ำค่ามาเยี่ยมเยียนด้วยตนเองในวันส่งท้ายปีได้
หญิงชาวบ้านผู้นั้นช่างไม่รู้จักดีชั่ว ไม่ซาบซึ้งก็ช่างเถิด แต่นี่กลับยุยงให้สือชีโยนนางออกมาต่อหน้าบ่าวรับใช้ทุกคน แล้วต่อไปนางจะเชิดหน้ายามอยู่ต่อหน้าคนเหล่านี้ได้เช่นไร
“ตกลงเจ้าไปทำอันใดไว้” เฉียวอวี้ซีถลึงตามองฝังมามาด้วยสายตาเย็นเฉียบ
ฝังมามาอดทนต่อความเจ็บปวดแสนสาหัสจากกระดูกแขนที่หัก นางหดคอแก้ตัวว่า “ข้าไม่ได้ทำอันใดจริงๆ นะเจ้าคะ นางจะก่อเรื่อง แล้วยามนั้นที่นั่นมีเด็กมากมาย แล้วยังมีสตรีตั้งครรภ์อีก ข้าเกรงว่าจะทำคนไม่เกี่ยวข้องบาดเจ็บจึงเชิญนางออกไป”
“เชิญหรือ” เฉียวอวี้ซีพูดอย่างเย็นชา “หมายถึงไม่ยอมรักษาให้สินะ”
แววตาของฝังมามาไหววูบ “คุณหนู เมื่อครู่ท่านก็เห็นว่านางไร้เหตุผลเพียงใด หากข้าไม่ให้นางออกไป ไม่รู้ว่าหอหลิงจือจะถูกนางก่อกวนจนมีสภาพเช่นไร คนป่วยมากมายก็กำลังรออยู่…”
พูดมาถึงตอนท้าย น้ำเสียงก็เบาลงเพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นวัวสันหลังหวะ
เมื่อครู่เฉียวอวี้ซีเห็นแล้วว่าสตรีนางนั้นไม่ได้ป่วย แต่คนป่วยคือเด็กสองคนที่นอนอยู่บนเตียง หนึ่งในนั้นมีผื่นขึ้นเต็มหน้า นั่นเป็นอาการที่ร้ายแรงมาก หากรักษาไม่ทันเวลา ผลที่ตามมาอาจเลวร้ายจนคาดไม่ถึง
นางขมวดคิ้ว “แม่นม เจ้าคิดอะไรอยู่ถึงปฏิเสธไม่ยอมรักษาเด็กสองคนที่ป่วยหนักต่อหน้าธารกำนัล เจ้าจะให้คนอื่นมองหอหลิงจือของพวกเราเช่นไร”
ฝังมามาร่ำเรียนมาน้อย สายตาตื้นเขิน อาศัยที่ตอนอายุน้อยร่างกายแข็งแรง เคยป้อนนมให้เฉียวอวี้ซีจึงมีตำแหน่งในจวนเอินปั๋วเช่นทุกวันนี้ การคิดถึงภาพรวมเป็นเช่นไร นางย่อมไม่เข้าใจ
คนป่วยที่เดินทางมารักษาเหล่านั้นล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดา พวกเขาจะคิดอย่างไรก็ช่างสิ ถึงอย่างไรหอหลิงจือก็ไม่ขาดแคลนคนป่วย พวกเขาต่างหากที่ทิ้งหอหลิงจือแล้ว ไม่มีที่ใดให้หาหมออีก
ด้วยเหตุนี้แม้นางถูกเฉียวอวี้ซีต่อว่า นางก็ยังไม่คิดว่าตัวเองทำผิด
หากเกิดเรื่องอีกครั้ง นางก็ยังจะไล่นางผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้นออกไปเช่นเดิม!
“แม่นม ข้าจะด่าเจ้าเช่นไรดี” เฉียวอวี้ซีโกรธจนหน้าเขียว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำทุกอย่างพังหมดแล้ว! หากเจ้าไม่ปฏิเสธพวกเขา พวกเขาจะมาหาสือชีหรือ ใต้เท้าจะไปเอายาให้พวกเขาจนไม่มารับยาจากพวกเราหรือ เดิมทีวันนี้สมควรไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น แต่เป็นเพราะเจ้าคิดเองเออเองไม่ถามความเห็นข้า ทุกอย่างจึงพังหมด! เมื่อก่อนข้าเพียงประจบสือชีไม่สำเร็จ แต่ตอนนี้กลับล่วงเกินสือชีเข้าแล้ว!”
ฝังมามาไม่เข้าใจการมองภาพรวม แต่นางทราบว่าไม่ควรล่วงเกินสือชี ในที่สุดจึงเพิ่งรู้สึกร้อนใจ “โธ่ ถ้า…ถ้าเช่นนั้นจะทำเช่นไรดีเจ้าคะคุณหนู”
เฉียวอวี้ซีมองนางอย่างไม่ได้ดั่งใจ โชคยังดีที่อีกฝ่ายเป็นแม่นมของนาง หากเป็นหญิงรับใช้คนอื่น นางคงไล่ออกไปนานแล้ว!
นางมองมุมถนนที่ว่างเปล่าแล้วเอ่ยว่า “สถานการณ์ตอนนี้ ได้แต่รอใต้เท้ากลับมาแล้วอธิบายเรื่องราวกับใต้เท้าให้กระจ่างเท่านั้น”
จะปล่อยให้สตรีนางนั้นพูดจาเหลวไหลต่อหน้าใต้เท้า จนใต้เท้ากับนางหมางใจกันไม่ได้เด็ดขาด
จีหมิงซิวกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้นั่งรถม้าแต่ขี่ม้าไปวังหลวง เพราะอาการป่วยของเด็กๆ รอช้าไม่ได้ ระหว่างทางกลับหิมะตกโปรยปราย ปุยหิมะจึงพร่างพรมทั่วกายเขา
เขายกมือขึ้น ปลายนิ้วเย็นเฉียบปาดเกล็ดหิมะบนหน้ากากออก
“ใต้เท้า” เฉียวอวี้ซีถือร่มกระดาษน้ำมันเดินเข้าไปหาด้วยท่าทางน่าสงสาร นางยืนอยู่กลางลมหนาวเป็นเวลานาน หนาวเหน็บจนริมฝีปากและพวงแก้มขาวซีด
จีหมิงซิวพลิกกายลงจากหลังม้าแล้วผงกศีรษะให้เล็กน้อย
หมิงอันได้ยินเสียงนอกประตูจึงกระวีกระวาดออกมาจูงม้าไปเก็บให้ใต้เท้า
จีหมิงซิวเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของเขาก็เดาออกทันทีว่าเฉียวอวี้ซีมาถึงเรือนได้อย่างไร
หมิงอันรู้ว่าตัวเองทำความผิดจึงจูงอาชาไปที่คอกม้าอย่างเซื่องซึม
เฉียวอวี้ซีเอ่ยขึ้นเสียงนุ่มละมุน “ใต้เท้าอย่าตำหนิหมิงอันเลยเจ้าค่ะ ข้าดึงดันจะมาที่นี่เอง”
“มีธุระหรือ” จีหมิงซิวไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับนาง
เฉียวอวี้ซีก้มหน้าอย่างละอายใจ “ข้าไม่กล้าปิดบังใต้เท้า วันนี้ยามเที่ยงวันมีสตรีนางหนึ่งพาลูกสองคนมารักษาที่หอหลิงจือ แต่เกิดขัดแย้งกับฝังมามา ฝังมามาจึงไม่ยอมให้รักษา กล่าวไปแล้วเรื่องนี้ก็เป็นความผิดข้า เพราะข้าสั่งสอนบ่าวรับใช้ไม่ดี บ่าวไพร่จึงใช้อำนาจในทางที่ผิด ทำเรื่องผิดต่อคุณธรรมเช่นนี้”
จีหมิงซิวครุ่นคิดครู่หนึ่ง สายตาก็มองผ่านระเบียง กวาดสายตามองเรือนตะวันออกของเรือนสี่ประสาน แล้วเคลื่อนกลับมาจับบนใบหน้าของเฉียวอวี้ซี “คนที่ถูกปฏิเสธคือสหายของสือชีหรือ”
เฉียวอวี้ซีพยักหน้า ขอบตาเริ่มแดงระเรื่อ “เมื่อครู่พวกเขาตบตีฝังมามา ข้าจึงเพิ่งทราบว่ามีเรื่องไม่เหมาะสมเกิดขึ้น…สือชีโกรธมากจึงโยนข้าออกมาด้วย…ข้าไม่โทษสือชี ข้าทราบว่าข้าเป็นคนผิด ใต้เท้าโปรดให้โอกาสข้าขอขมาพวกเขาสักครั้ง ข้าสัญญาว่านับจากนี้ในหอหลิงจือจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ใต้เท้า ท่านให้ข้าเข้าไปขออภัยพวกเขาเถิด”
กล้ายอมรับความผิดของตน ไม่หลบเลี่ยงความรับผิดชอบ นิสัยเช่นนี้คงเหมาะสมกับการเป็นฮูหยินอัครมหาเสนาบดี
ทว่าจีหมิงซิวเหมือนจะไม่รับรู้จุดประสงค์หลักของนางแม้แต่น้อย เขาชะงักครู่หนึ่งก็ขมวดคิ้ว “เจ้าบอกว่า…สือชีโยนเจ้าออกมาหรือ”
เฉียวอวี้ซีเห็นคิ้วเขาขมวดมุ่น หัวใจพลันรู้สึกยินดี
ใต้เท้าก็รู้สึกว่าสือชีทำเกินไป…ใช่หรือไม่ ว่าแล้วใต้เท้าใส่ใจนาง เมื่อลองคิดดูก็รู้สึกว่าถูกต้องแล้ว ตนเป็นคู่หมั้นของใต้เท้า สือชีสำคัญอีกเท่าใดก็เป็นเพียงลูกน้องคนหนึ่ง มีหรือจะสำคัญกว่าคนร่วมเรียงเคียงหมอน
ใต้เท้าชอบเด็ก หลังแต่งงานนางจะมีลูกให้ใต้เท้าสักเก้าคนสิบคน มีหรือจะไม่น่ารักเท่าสือชี
“เจ้าค่ะ ใต้เท้า สือชีโยนข้าออกมา” นางตอบอย่างตื่นเต้น
จีหมิงซิวถอนหายใจ “ถ้าเช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้ว”
เฉียวอวี้ซีนิ่งอึ้งด้วยความไม่เข้าใจ
จีหมิงซิวเอ่ยอย่างจนปัญญา “หากข้าเก็บของที่สือชีโยนทิ้งกลับเข้าไป สือชีต้องไม่พอใจแน่”
เฉียวอวี้ซี “…”