บทที่ 36 ไปตายซะ

 

หลังจากหยวนชิงหลิงให้ยาแก่เขาแล้ว ก็กลับไปเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้ามาใหม่ เห็นฉู่หมิงชุ่ยพาสาวใช้กำลังเข้าไปที่ลานบ้าน

นางสวมชุดกระโปรงสีฟ้าสดใสปักลวดลายดอกไม้สวยงาม แขนเสื้อกว้างขอบสีเขียว ที่เอวยังคาดเครื่องประดับสีเดียวกัน ทำให้เอวระหงยิ่งดูอรชรมากขึ้น ดูอ่อนช้อยน่าหลงใหล

มวยผมที่เกล้าขึ้น ยังมีที่ปักผมรูปหางหงส์หยกดิ้นทองประดับอยู่ ใบหูที่ขาวสะอาดมีต่างหูรูปโคมไฟสีทองประดับอยู่ ขณะเคลื่อนไหว ต่างหูกระทบผิว เกิดเสียงที่ไพเราะเพราะพริ้ง

อ๋องฉีเห็นนางมา ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน เดินเข้าไปจูงมือนาง ,“นั่งรถม้าเหนื่อยหรือไม่ ”

ฉู่หมิงชุ่ยตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยน เสียงอ่อนหวาน “ไม่เหนื่อย”

ทั้งสองนิ้วมือประสานกัน เดินขึ้นบันไดหินไปพร้อมกัน

หยวนชิงหลิงยืนอยู่หน้าประตู มองฉู่หมิงชุ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

ฉู่หมิงชุ่ยดึงมือที่ประสานอยู่กับอ๋องฉีออกอย่างแนบเนียน โค้งร่างให้กับหยวนชิงหลิง

“คำนับพระชายาฉู่”

“อืม”หยวนชิงหลิงตอบรับคำหนึ่ง

อ๋องฉีรู้สึกเคือง ตามธรรมเนียมแล้ว นางก็ควรจะพูดทักทายกลับมาคำหนึ่ง แต่ไม่ใช่คำว่าอืม

อืมอะไรกัน วางท่าอะไรกัน

ฉู่หมิงชุ่ยยื่นมือไปกดหลังมือของเขาเอาไว้ หันไปยิ้มส่ายหน้าให้เขา เหมือนกับให้สัญญาณว่าไม่จำเป็นต้องถือสานาง

อ๋องฉีมองฉู่หมิงชุ่ยที่แยกแยะและมีเหตุผลเช่นนี้ ก็อดที่จะสงสารพี่ห้าไม่ได้ ที่รับเอาผู้หญิงเช่นนี้มาเป็นพระชายา ช่างเป็นเวรกรรมจริงๆ

“พวกเราเข้าไปกันเถอะ”อ๋องฉีอยากจะดึงมือของฉู่หมิงชุ่ยอีกครั้ง แต่ฉู่หมิงชุ่ยกลับก้าวเข้าไปก่อนแล้ว

หยวนชิงหลิงไม่ได้ตามเข้าไป แต่ยังคงยืนอยู่ข้างประตูมองดู และฟังอย่างเงียบๆ

ฉู่หมิงชุ่ยเดินไปถึงข้างเตียง ช้อนสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและร้อนใจ“ท่านอ๋องรู้สึกดีขึ้นหรือไม่ ”

สายตาของนางจ้องนิ่งไปที่บาดแผลบนหน้าผากของเขา ในใจรู้สึกสะท้าน

แม้จะเป็นถึงเพียงนี้ แต่เขาก็ยังคงหล่อเหลาทำให้ใจนางเต้นไม่เป็นระส่ำ

บุรุษคนนี้ ทำไมไม่พยายามสักหน่อยนะ หากเขาได้เป็นองค์รัชทายาท นางคงไม่ต้องทำเช่นนี้

ในใจเกิดความเศร้าขึ้นมาชั่ววูบ มองสายตาของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะเสียใจระคนโมโหอยู่หลายส่วน

หยู่เหวินเห้านั้นดูแล้วสงบเป็นอย่างมาก กระทั่งยังยิ้มเรียบๆ “ไม่เป็นอะไรมากแล้ว ขอบคุณพระชายาฉีที่มาเยี่ยม”

“ท่านกับข้า ก็เหมือนพี่น้องกัน คำว่าขอบคุณ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว”ฉู่หมิงชุ่ยเอ่ยเบาๆ ใบหน้าที่สวยงามที่แต่งแต้มไว้อย่างประณีต มีเพียงความเศร้าฉาบเคลือบเอาไว้

อ๋องฉียืนอยู่ด้านหลังนาง ย่อมมองไม่เห็นสีหน้าของนาง

คำพูดของหยู่เหวินเห้าที่มีต่อนางนั้นคลุมเครือ แต่ยิ้มที่มุมปากกลับแช่ค้างไว้

“เป็นใครกันแน่ที่โหดร้ายได้ถึงเพียงนี้”ฉู่หมิงชุ่ยถามขึ้น

อ๋องฉีเอ่ยเสียงเย็น “หากรู้ว่าเป็นผู้ใด ข้าจะสับมันเป็นชิ้นๆ”

ฉู่หมิงชุ่ยหันกลับไปมองเขาแวบหนึ่ง สายตามีแววระอาอยู่บ้าง แล้วก็หันกลับไปมองหยู่เหวินเห้า “ท่านอ๋องเองคงรู้อยู่แก่ใจ ว่าเป็นใครกัน ลงมือหนักหนาขนาดนี้ เพราะอะไรกัน”

สายตาของหยู่เหวินเห้าเหนื่อยหน่าย “ไม่รู้”

ฉู่หมิงชุ่ยรู้สึกสับสนอยู่บ้าง “แม้แต่ท่านอ๋องยังไม่รู้ แล้วจิงจ้าวฝู่ตรวจสอบได้ความหรือยัง”

“ยังไม่มีคนมารายงาน ”อ๋องฉีแทรกขึ้น

ฉู่หมิงชุ่ยอ่อหนึ่งเสียง แล้วก็ยืนอยู่อย่างนั้นไม่รู้จะพูดอะไรดี

กลับเป็นหยู่เหวินเห้าที่ค่อยๆปิดตาลง ราวกับง่วงนอนเป็นหนักหนา

อ๋องฉีเห็นดังนั้น ก็เอ่ยว่า “ชุ่ยเอ๋อร์ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ พี่ห้าต้องพักผ่อนแล้ว”

ฉู่หมิงชุ่ยตอบรับเสียงหนึ่ง มองหยู่เหวินเห้าแล้วพูดว่า “หากท่านอ๋องรู้ว่าใครเป็นคนร้าย ก็พูดออกมาเถอะ”

หยู่เหวินเห้าไม่พูดอะไร ราวกับนอนหลับไปแล้ว

อ๋องฉีมองฉู่หมิงชุ่ยแวบหนึ่ง ทำไมนางทำเหมือนกับเป็นห่วงคนร้ายนักหนา ตรงกันข้ามไม่เห็นถามถึงอาการบาดเจ็บของพี่ห้าบ้างเลย

“ไปเถอะ”เขาเอ่ยพร้อมกับจูงมือของฉู่หมิงชุ่ย

ฉู่หมิงชุ่ยเห็นหยู่เหวินเห้าเหมือนจะหลับไปจริงๆเสียแล้ว ก็ได้แต่เดินตามอ๋องฉีออกไป

ที่ประตู ฉู่หมิงชุ่ยยืนนิ่งมองหยวนชิงหลิง “ดูแลท่านอ๋องให้ดี อย่าทำให้เขาต้องไม่พอใจ”

หยวนชิงหลิงเอ่ยเสียเรียบ “พระชายาฉีอย่าได้กังวลเลย”

อ๋องฉีโมโห เกรงว่านางจะพูดอะไรไม่น่าฟังอีก ดึงฉู่หมิงชุ่ยแล้วพูดว่า “ไปเถอะ อย่าสนใจนางเลย เป็นเสด็จปู่ที่ให้นางกลับมาดูแลพี่ห้ามิใช่หรือ นางทำได้อยู่แล้ว ”

ฉู่หมิงชุ่ยแววตานิ่งอึ้งไป แต่ก็ถูกอ๋องฉีดึงออกไปแล้ว

หยวนชิงหลิงมองไปทางที่ที่พวกเขาเดินจากไป ได้ยินฉู่หมิงชุ่ยถามอ๋องฉี “เป็นเสด็จปู่ที่เรียกให้นางกลับมาดูแลพี่ห้าอย่างนั้นหรือ”

อ๋องฉีกลับถามว่า “ทำไมเจ้าเอาแต่ถามเรื่องคนร้าย”

ฉู่หมิงชุ่ยถอนหายใจเบาๆ “เพราะข้าคิดแทนท่านไง มีคนต้องการฆ่าอ๋องฉู่ เกรงว่าจะมีคนคิดลงมือกับท่านด้วย ข้าเป็นห่วงท่าน ทำไมท่านไม่รู้อะไรเลย”

หยวนชิงหลิงปิดประตู กั้นเสียงสนทนาของสองสามีภรรยาอ๋องฉีไว้ด้านนอก

ค่อยๆก้าวเท้าเข้าไป ยืดคอมองคนที่นอนอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง หลับตา

แต่ลมหายใจไม่สงบ ไม่ได้หลับ

ก็ไม่รู้ว่าบทสนทนาของอ๋องฉีกับฉู่หมิงชุ่ยเมื่อครู่เขาได้ยินหรือไม่ ห่างกันประมาณหนึ่ง ที่จริงน่าจะไม่ได้ยิน

แต่ว่า สีหน้าของเขาไม่น่าดูเอาเสียเลย

“จ้องอะไรกัน”หยู่เหวินเห้าลืมตาขึ้นกะทันหัน จ้องนางด้วยสายตาดุดัน

“ไม่มีอะไร”หยวนชิงหลิงลุกขึ้นไปเอาเบาะรองมาปูหน้าเตียง นั่งกึ่งคุกเข่าลงไป ท่าทางราวกับกำลังฝึกโยคะ

หยู่เหวินเห้าไม่ได้สนใจนาง และก็ยังไม่นอน ลืมตาโต ไม่รู้ว่าในใจกำลังคิดอะไร

หยวนชิงหลิงเองก็กำลังใช้ความคิด คิดเรื่องกล่องยา

เดิมทีนางคิดว่าในกล่องยาจะมีแต่ยาที่มีอยู่ในห้องทดลองเท่านั้น แต่นางกลับพบว่าไม่ใช่

เพียงแค่ในใจนางคิดถึงยาอะไร ในกล่องยาก็จะมียานั้นปรากฏขึ้น

กล่องยานี้ ทำไมจึงได้น่าอัศจรรย์เช่นนี้ หรือว่า กล่องยาจะเป็นรูหนอนที่เชื่อมระหว่างสองโลก

แต่ว่า นี่ก็พูดไม่ถูก ยาในกล่องยาเปลี่ยนไปมา ราวกับกำลังมีคนควบคุมอยู่

มีใครกำลังควบคุมกล่องยาอยู่

“ข้าไม่เคยพูดคำนั้นกับนาง”

ขณะที่กำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย หูก็ได้ยินเสียงหยู่เหวินเห้าที่ทะลุขึ้นกลางปล้อง

หยวนชิงหลิงอึ้งไปสักพัก “อะไรนะ”

หยู่เหวินเห้ามองนาง เหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูด ในที่สุด ก็หันหน้าไป ไม่มองนางอีก แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

ประหลาดจริง

หยวนชิงหลิงไม่สนใจเขา รู้สึกคิดไม่ออกเรื่องของกล่องยา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปคิด ไม่สู้ไปเอาออกมาศึกษาดูด้วยตนเองดีกว่า

เปิดกล่องยาออก เอายาทั้งหมดบนชั้นวางสองชั้นในกล่องออกมาวางบนพื้น เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่เหลือยาอะไรในกล่องแล้วก็ปิดกล่องยา คิดในใจเงียบๆ ยาทาริดสีดวงทวาร

ค่อยๆเปิดกล่องออก ไม่มีอะไรเลย

เห็นได้ชัดว่า กล่องยาไม่ได้ถูกควบคุมโดยนาง

นางยิ้ม รู้สึกตัวเองไร้สาระมาก จากนั้นก็วางยาทั้งหมดเข้าที่เดิม วางให้เรียบร้อย ขณะที่กำลังจะปิดกล่องยาลง ก็เห็นว่าชั้นบนข้างๆที่วางก้อนสำลี

มียาทาริดสีดวงทวารวางอยู่

“ผีหลอก”นางอดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้นอย่างตกใจ

มีมือหนึ่งยื่นลงมาจากเตียง ตบไปที่หน้านางหนึ่งที

หยวนชิงหลิงสะดุ้งโหยงกระโดดขึ้นมา ความโมโหพวยพุ่งขึ้นมา และก็ไม่ทันได้สนใจบาดแผลที่หน้าผากของเขา ตบคืนไปหนึ่งที เอ่ยเสียงเย็นว่า “ท่านไปตายซะ”

พูดจบ ก็ยกกล่องยาขึ้นเดินออกไป

นางปลงแล้ว ไม่คิดอยากจะช่วยคนคนนี้แล้ว เกินไปจริงๆ

เขาพบฉู่หมิงชุ่ยแล้วอารมณ์ไม่ดีใช้นางเป็นที่ระบายอารมณ์ เป็นบุรุษแบบไหนกัน คนพรรค์นี้ นางยังจะทุ่มเทกำลังกายกำลังใจไปช่วยเขาอีก ไม่สู้ปล่อยให้เขาตายๆไปซะ

พอดึงประตูออก ทังหยางกับสวีอีก็ยืนอยู่หน้าประตู พวกเขาได้ยินเสียงตบหน้า แต่กำลังลังเลว่าจะเปิดประตูเข้าไปหรือไม่ แต่หยวนชิงหลิงก็ทิ้งคำพูดเดินออกมาเสียก่อน

เห็นฝ่ามือบนใบหน้าของหยวนชิงหลิง สวีอีก็วางใจ คนที่โดนตบไม่ใช่ท่านอ๋อง เป็นนาง ดีจริง