บทที่ 61 หลงทางเพราะฟ้าผ่า

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยลืมตาขึ้นมา นางก็เห็นเหตุการณ์นี้  

 

 

หญิงสาวบิดขี้เกียจ ท่าทางของนางดูเจ้าเล่ห์ และสง่างามราวกับสุนัขจิ้งจอก  

 

 

นางคิดว่างานเลี้ยงเพื่อคัดเลือกพระชายานี้เป็นงานที่จบเร็วที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมาเลย  

 

 

สมัยก่อน ตอนที่นางเคยอ่านนิยาย พวกเขาจะต้องคัดเลือกหญิงสาวกันหลายๆ รอบเลยไม่ใช่หรือ  

 

 

แล้วการแสดงดนตรี การเล่นหมากรุก การคัดลายมือ รวมถึงการวาดภาพที่เคยพูดถึงเล่า  

 

 

ทำไมนางถึงตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าองค์สามได้ตัดสินใจเลือกเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เช่นนี้แล้วล่ะ  

 

 

เห็นได้ชัดว่าองค์ชายสามในตำนานคนนี้ สายตาก็ไม่ได้เฉียบแหลมเหมือนอย่างที่เขาลือกันมาแต่อย่างใด  

 

 

แต่เมื่อนึกได้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็อ้าปากหาวและเตรียมตัวเก็บของเพื่อจะไปจากที่นี่ แต่แล้วนางก็พบว่าทุกคนกลับจ้องมองนางด้วยดวงตาเบิกกว้าง ราวกับพวกเขาเห็นผีก็ไม่ปาน  

 

 

ในทางกลับกัน ใบหน้าเล็กๆ ของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่ซีดเผือดและดูไร้ชีวิตชีวา ก็มองนางด้วยความเกลียดชังและอาฆาต ราวกับต้องการจะบีบคอนางให้ตาย  

 

 

เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนสิ…  

 

 

ทำไมถึงมีมือข้างหนึ่งโผล่มาตรงหน้าของนางเล่า  

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น มือข้างนี้ก็ดูดีอย่างมาก มันเรียวยาวแต่แข็งแรง แม้แต่เล็บมือก็ยังถูกตัดอย่างเรียบร้อยและดูสะอาดอย่างมาก  

 

 

นางคิดว่าหากมือคู่นี้ถือปืนเพื่อฆ่าใครสักคน ก็จะต้องดูงดงามและคล่องแคล่วอย่างมากแน่  

 

 

“หน้าของเจ้า” น้ำเสียงทุ้มลึกและเยือกเย็นราวกับปีศาจของชายหนุ่มดังขึ้นข้างหูของนาง มันเยือกเย็นจนทำให้นางสะดุ้ง  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเช็ดหน้าของตนเองตามที่นิ้วของอีกฝ่ายชี้ และเมื่อมองดู ก็พบว่านิ้วของตนเองเปื้อนเศษขนมอยู่…  

 

 

“เช็ดออกซะ” ไม่มีใครบอกได้ว่าแววตาของชายหนุ่มที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากสีเงินนั้นมีความสุขหรือกำลังโกรธอยู่ นางเพียงรับผ้าเช็ดหน้าสีขาวบริสุทธิ์ที่อีกฝ่ายยื่นให้นางเท่านั้น  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยตกตะลึง  

 

 

นางคิดว่ามีเพียงหญิงสาวเท่านั้นที่ใช้ผ้าเช็ดหน้า แต่นางไม่คิดเลยว่าองค์ชายสามก็ใช้มันด้วยเช่นกัน  

 

 

เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้ชายที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช่นนี้… จะมีรสนิยมทางเพศที่ไม่ปกติ  

 

 

ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้นางจะคิดไว้ไม่ผิด  

 

 

องค์ชายสามจะต้องชอบผู้ชายอย่างแน่นอน  

 

 

เพียงแต่นางคาดไม่ถึงเลยว่าองค์ชายสามจะเป็นฝ่ายรับ  

 

 

รอให้เรื่องนี้จะจบลงก่อนเถอะ นางจะต้องเอาความลับข้อนี้ไปบอก ‘น้องชาย’ ของนางให้เขาได้รับรู้อย่างแน่นอน  

 

 

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมีผ้าเช็ดหน้าอยู่แล้ว หากไม่ใช้ ก็คงจะเป็นการสิ้นเปลือง  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเช็ดมุมปากของตนเองด้วยท่าทีสบายๆ และในชั่วขณะหนึ่ง นางก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างกายของชายคนนี้ และรู้สึกได้ว่าเขามีชีวิตที่หรูหราและละเอียดอ่อนเพียงใด  

 

 

หลังจากที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าเสร็จ นางก็ยื่นมันคืน “ขอบพระทัยสำหรับผ้าเช็ดหน้าเพคะ องค์ชายสาม”  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้วมองผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองที่เปื้อนคราบสกปรกนั้น  

 

 

แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังคงยื่นมันให้  

 

 

“คุณหนูเวยเวยขอรับ” ขันทีซุนมองสถานการณ์จากด้านข้างด้วยหัวใจที่สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะพูดพลางขบฟันกรอด “คุณหนูจะคืนผ้าเช็ดหน้าที่สกปรกเช่นนั้นให้กับฝ่าบาทได้อย่างไรกันขอรับ”  

 

 

นั่นทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบกลับอีกครั้ง นางกลอกตาพร้อมกับพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น ข้าต้องซักมันให้สะอาดก่อน แล้วค่อยคืนให้กับองค์ชายสามในภายหลังเช่นนั้นหรือ”  

 

 

โดยปกติแล้ว ฝ่าบาทจะต้องปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน เพราะการที่เขาไม่ยอมรับผ้าเช็ดหน้าคืนไปในตอนนี้ ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นคนที่รักความสะอาดอย่างมาก และคนประเภทนี้ก็จะไม่ยอมรับสิ่งของที่ผู้อื่นใช้แล้ว… เร็วเข้า รีบปฏิเสธสิ รีบปฏิเสธเร็วๆ สิ ข้าไม่มีเวลามาซักผ้าเช็ดหน้าให้เจ้าหรอกนะ  

 

 

“ได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าสายตาของเขาจะฉายรอยยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตอบรับด้วยเสียงทุ้มต่ำ  

 

 

“…”  

 

 

ห๊ะ  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยหมดคำพูด น่าประหลาดใจยิ่งนักที่เขาไม่ปฏิเสธ  

 

 

ทำไมเขาถึงไม่เล่นตามบทบาทที่นางคิดเอาไว้เล่า  

 

 

นี่เป็นครั้งแรกในขีวิตที่การคาดเดาโดยใช้ตรรกะของนางผิดพลาด  

 

 

ความคิดของผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะคาดเดาได้ยากจริงๆ…  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว จากนั้นก็ค่อยๆ ทำตัวเรียบเฉย ไม่เป็นไร มันก็แค่ผ้าเช็ดหน้า นางไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกับชายคนนี้ต่อหรอก ไม่ว่าอย่างไร มันก็ล้างออกง่ายอยู่ดี  

 

 

หญิงสาวดึงผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นกลับมาและเก็บมันอย่างไม่เรียบร้อยโดยไม่เห็นถึงคุณค่าของมันเลยแม้แต่น้อย  

 

 

ขันทีซุนอ้าปากค้างด้วยความโกรธอีกครั้ง  

 

 

เขาหันไปมองสีหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตามสัญชาตญาณ ท่าทีของอีกฝ่ายนั้นดูเยือกเย็นอย่างมาก ดวงตาคู่นั้นก็เย็นชากว่าก่อนหน้านี้  

 

 

ทุกคนจ้องมองเหตุการณ์นี้อย่างตกตะลึง พวกเขาไม่เข้าใจว่าองค์ชายสามตั้งใจจะทำอะไรกันแน่  

 

 

เพราะไม่มีใครคิดว่าพวกเขาทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกันได้  

 

 

รูปร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นดีก็จริง แต่ใบหน้าดำคล้ำของนางนั้นทำให้ผู้คนชื่นชอบน้อยลง ใบหน้าของนางเป็นรูปไข่ที่มีสีดำราวกับถ่านอัดแท่งก็ไม่ปาน  

 

 

ถูกแล้วที่องค์ชายสามไม่คิดที่จะเลือกนาง  

 

 

ถ้าเช่นนั้น เขามีจุดประสงค์อะไรที่ทำเรื่องเหล่านี้กัน  

 

 

ไม่มีใครสามารถเข้าใจความคิดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ เพราะหลังจากนั้น เขาก็ไม่พูดอะไรกับเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกเลย หนำซ้ำ เขายังเดินจากไปอย่างเมินเฉยอีกด้วย โดยที่มือข้างหนึ่งนั้นอยู่ข้างกับขาของเขา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็จูงเด็กชายหัวโล้นตัวน้อย เดินเข้าไปทางป่าวิญญาณ  

 

 

ราวกับว่าการโยนผ้าเช็ดหน้าให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น  

 

 

แม้แต่ขันทีซุนที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาก็ยังรู้สึกงุนงงเช่นกัน เมื่อเห็นว่านายท่านของเขาจากไปแล้ว เขาก็รีบเดินตามไปทันที  

 

 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้สึกอับอายและขายหน้ายิ่งนัก เดิมที นางคิดว่าตนเองคือคนที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยากจะพูดคุยด้วย แม้แต่คนที่อยู่รอบข้างก็ยังรู้สึกเช่นนั้น  

 

 

นางเตรียมตัวพร้อมแล้ว และกำลังจะลุกขึ้นยืน แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้  

 

 

นิ้วมือของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ถูกย้อมเป็นสีแดงชาดจากการบิดผ้าเช็ดหน้าแน่น ยิ่งนางบีบ มันก็ยิ่งแน่นขึ้นเรื่อยๆ… จนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นบิดเบี้ยว  

 

 

นังแพศยานั่นอีกแล้ว  

 

 

ทำไมถึงเป็นนักแพศยานั่นอีกแล้ว!  

 

 

“พี่รอง” เฮ่อเหลียนเหมยต้องการจะลดความอับอายให้กับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ หลังจากที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจากไป นางก็ลุกขึ้นยืนทันที และกอดอก ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความรังเกียจ “ในเมืองหลวงแห่งนี้ ไม่มีใครไม่รู้ว่าฝ่าบาทรักความสะอาดเป็นที่สุด แต่ใครบางคนก็ยังมาที่นี่ในสภาพที่สกปรกมอมแมม เพื่อดึงดูดความสนใจขององค์ชายสาม น้องเล็กคนนี้ต้องบอกว่ามันช่างเป็นกลอุบายที่ดียิ่งนัก ข้าไม่สามารถทำตามได้เลยจริงๆ”  

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น บรรดาหญิงสาวจากตระกูลขุนนางผู้สูงส่งที่รู้สึกไม่ชอบเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ค่อยๆ พูดขึ้นทีละคน  

 

 

“น้องเหมยพูดถูก ทุกคนต่างรู้ดีว่าองค์ชายสามรักความสะอาด ข้าคิดว่าองค์ชายสามคงทนไม่ไหวจริงๆ เขาจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและให้รีบทำความสะอาดตัวเองเสีย เพื่อจะได้ไม่มีอะไรรกหูรกตาของเขาอีก”  

 

 

“เหอะ ข้าคิดว่าองค์ชายสามก็คงไม่คิดมาก่อนว่าจะมีใครเสนอตัวซักผ้าเช็ดหน้าให้องค์ชายเช่นนั้น”  

 

 

“ข้าก็ว่าอย่างนั้นแหละ เฮ้อ ผู้หญิงที่หน้าตาอัปลักษณ์คนนั้นชอบก่อเรื่องวุ่นวายเสียจริง ตอนแรกก็มู่หรงซื่อจื่อ ต่อมาก็ท่านปรมาจารย์ แล้วตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นฝ่าบาท”  

 

 

เมื่อได้ยินผู้คนต่างเย้ยหยัน ทันใดนั้น เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ยิ้มออกมาอย่างเศร้าสร้อย พร้อมกับส่ายศีรษะราวกับกำลังกลั้นน้ำตาอยู่ จากนั้นก็หันไปหาเฮ่อเหลียนเหมย “หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ข้าต้องเตรียมตัวให้ดี จะได้พร้อมเข้าไปในป่าวิญญาณในอีกไม่ช้า”  

 

 

แต่เฮ่อเหลียนเหมยไม่ต้องการปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป นางจึงตะโกนไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย “หากเจ้าคิดว่าจะประจบสอพลอใครก็ได้ ก็ฝันไปเถอะ”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเมินเฉยต่อนาง ไม่ใช่เพราะความใจกว้าง แต่เป็นเพราะตั้งแต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยออกไป หยวนหมิงก็ตื่นขึ้นมาพอดี และเขาก็กำลังสื่อสารกับนางทางจิตอยู่ “เมื่อเจ้าเข้าไปในป่าวิญญาณแล้วก็ต้องตั้งใจให้ดี อย่าใช้พลังปราณพร่ำเพรื่อ เมื่อเจ้าเห็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เหมาะสม ก็ค่อยปลดปล่อยพลังออกมา มิเช่นนั้นแล้ว หากเจ้าพบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า ก็อาจจะถูกกลืนกินได้”  

 

 

“เข้าใจแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบพร้อมกับลุกขึ้นยืน  

 

 

ทันทีที่นางลุกขึ้นยืน ก็เห็นกลุ่มหญิงสาวผู้ร่ำรวยกำลังมองนางอย่างรังเกียจ แม้แต่คุณชายจากตระกูลขุนนางที่ยืนอยู่ข้างหลังหญิงสาวเหล่านั้นต่างก็มองนางด้วยสายตาติเตียน  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกให้ความสนใจกับสถานการณ์นี้ไปแล้ว และตอนนี้ นางคิดถึงแต่สิ่งที่หยวนหมิงเพิ่งบอกกับตนเองเมื่อครู่นี้เท่านั้น  

 

 

สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ดีจะส่งผลต่อการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของผู้ฝึกปราณ  

 

 

เพราะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งนั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้เป็นยานพาหนะเท่านั้น  

 

 

เมื่อการแข่งขันจริงมาถึงเมื่อไหร่ มันยังสามารถบุกเข้าโจมตี และป้องกันได้ หรือหากจำเป็น มันก็จะปกป้องแม้กระทั่งชีวิตเจ้านายของมันได้ด้วยเช่นกัน  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดว่างานเลี้ยงนี้จะไม่ใช่แค่งานคัดเลือกพระชายาธรรมดาทั่วไป แต่มันยังเกี่ยวข้องกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย นางจึงไม่สามารถรีบออกจากงานเลี้ยงนี้และกลับไปได้อย่างที่วางแผนเอาไว้ ถ้าอย่างนั้น ก็เข้าไปในป่าวิญญาณดู บางที นางอาจจะได้ของรางวัลบางอย่างอย่างไม่คาดคิดก็เป็นได้  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างเย็นชา และไม่แม้แต่จะมองผู้คนเหล่านั้น ก่อนจะหยิบขนมกุ้ยฮวา [1] มา แล้วเดินออกจากงานเลี้ยงอาหารค่ำไป  

 

 

ท่าทีเช่นนี้ของนางทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ชอบใจ เพราะมันดูราวกับนางคิดว่าพวกเขาไม่คู่ควรที่จะพูดคุยด้วยเลย  

 

 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กัดริมฝีปากบางของตนเองแน่น นางสูดลมหายใจเข้าลึก แต่ก็ยังไม่สามารถขจัดความเกลียดชังที่ปะทุออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของนางได้เลย  

 

 

ดูเหมือนว่านางจะใจดีกับเฮ่อเหลียนเวยเวย นังผู้หญิงชั้นต่ำคนนี้มากเกินไปแล้ว  

 

 

นางไม่ควรเชื่อฟังท่านปู่ และไม่ลงมือทำอะไรเลย  

 

 

หึ ป่าวิญญาณใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นนางจะทำให้นังแพศยาคนนั้นเข้าไป แล้วไม่ได้กลับออกมาอีกเลย  

 

 

……………………………………………………………………………………………………..  

 

 

[1] ขนมกุ้ยฮวา คือ ขนมที่ใส่ดอกกุ้ย หรือที่รู้จักกันดีในชื่อดอกหอมหมื่นลี้