บทที่ 62 เฮ่ยเหลียนเวยเวยตกอยู่ในอันตราย

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

มู่หรงฉางเฟิงไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ เขากำหมัดแน่นจนเล็บฝังเข้าไปในฝ่ามือ  

 

 

นางมีใจให้เขาไม่ใช่หรือ นางบอกว่าจะไม่แต่งงานกับใครอื่นนอกจากเขาไม่ใช่หรือ  

 

 

แต่ตอนนี้ นางกลับไปพัวพันกับองค์ชายสามเช่นนั้น  

 

 

มู่หรงฉางเฟิงขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาน่ากลัวและเยือกเย็นราวน้ำแข็ง  

 

 

ข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ สังเกตเห็นสีหน้าของเขา จึงถือโอกาสพูดขึ้น “ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นจะสนใจองค์ชายสามนะขอรับ ขอบคุณสวรรค์ที่คุณชายตัดสัมพันธ์กับนางแล้ว มิเช่นนั้น คุณชายก็คงต้องอับอายอีกครั้ง”  

 

 

มู่หรงฉางเฟิงไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่สะบัดแขนเสื้อและเดินจากไปเท่านั้น  

 

 

เด็กรับใช้ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมคุณชายของตนจะต้องโกรธเช่นนั้น เขาควรจะดีใจไม่ใช่หรือที่ผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนไปสนใจคนอื่น และจะได้ไม่มารบกวนคุณชายอีก  

 

 

หลังจากนี้ คุณชายจะได้มีเวลาทำ ‘ภารกิจสำคัญ’ ตามที่มู่หรงอ๋องมอบหมายไว้ให้สำเร็จ  

 

 

แต่ถึงกระนั้น สีหน้าของคุณชายกลับไม่มีรอยยิ้มเลย  

 

 

เด็กรับใช้คนนั้นรู้สึกสับสน ก่อนจะรีบตามไป  

 

 

ภูเขาด้านหลังของสำนักไท่ไป๋คือป่าวิญญาณ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้นไม่ได้มีแค่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงภูมิประเทศที่ซับซ้อนจนทำให้ผู้คนหลงทางได้ง่ายๆ อีกด้วย  

 

 

ดังนั้น อันที่จริงแล้ว คนที่เข้าไปฝึกฝนในป่าวิญญาณไม่ได้กลัวเหล่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หรือปีศาจเลย แต่พวกเขากังวลว่าจะหลงทางมากกว่า  

 

 

มีคนที่เคยเข้าไปในป่าวิญญาณและไม่เคยกลับออกมาอีกเลย  

 

 

ดังนั้น ผู้อาวุโสของสำนักศึกษาจึงต้องระมัดระวังในเรื่องนี้อยู่เสมอ และอนุญาตให้ศิษย์ใหม่เดินตามเส้นทางที่กำหนดไว้เท่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะพบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็ตาม  

 

 

แม้ว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จะมีค่ามาก แต่พวกมันก็ไม่ได้ยอมทำพันธสัญญากับมนุษย์อย่างง่ายดายภายใต้สถานการณ์ปกติเช่นนั้น เว้นแต่ว่า มันเต็มใจที่จะยอมจำนนต่อมนุษย์ผู้นั้นเอง  

 

 

แน่นอนว่ามีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่หลายชนิด ทั้งดีและร้าย  

 

 

พันธสัญญาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จะเป็นชนิดที่ดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้ฝึกปราณที่ทำพันธสัญญาด้วย  

 

 

ยิ่งพลังปราณของผู้ฝึกปราณแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทำพันธสัญญาด้วยก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น  

 

 

เหมือนกับกิเลนอัคคีที่เป็นขององค์ชายสามนั้นก็ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณ  

 

 

ว่ากันว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณเป็นสิ่งมีชีวิตที่ควบคุมได้ยากที่สุดในโลก  

 

 

หากสามารถทำพันธสัญญากับมันได้ ผู้ฝึกปราณคนนั้นจะต้องมีอนาคตที่สดใสแน่นอน  

 

 

อย่างไรก็ตาม คนที่เข้าไปในป่าวิญญาณครั้งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ใหม่ทั้งสิ้น พวกเขาอาจจะไม่สามารถทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ได้เลย หรืออย่างมากที่สุด พวกเขาก็อาจจะได้หมาป่าวายุกลับมา ซึ่งก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว  

 

 

นอกจากเหล่าอัจฉริยะจากหอชั้นเลิศแล้ว คุณชายจากตระกูลขุนนางก็จะเข้ามาร่วมสนุกด้วยเช่นกัน  

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหญิงไร้ค่าที่ทำอะไรไม่เป็นคนนั้นเลย  

 

 

เฮ่อเหลียนเหมยเหลือบมองเฮ่อเหลียเวยเวยด้วยความรังเกียจ ก่อนจะหันไปหัวเราะกับเพื่อนๆ ของตนเองต่อ  

 

 

“เจ้าคิดว่าจะมีคนขลาดกลัว จนหาทางกลับออกมาไม่ได้หรือไม่”  

 

 

“เป็นไปได้อย่างมาก เมื่อก่อนตอนที่พวกเราออกไปเล่นสนุกกันข้างนอก นางก็กลัวสุนัขตัวหนึ่งที่เห่าหอน จนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเลย”  

 

 

“ไม่มีทาง ข้าได้ยินมาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสยิ่งนัก แล้วทำไมนางถึงขี้ขลาด จนกลัวได้แม้กระทั่งสุนัขที่เห่าหอนเล่า”  

 

 

“นางก็แค่ทำตัวหยิ่งผยองต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น พอเกิดเรื่องอันตรายขึ้นจริงๆ นางวิ่งหนีเร็วกว่าใครเลย”  

 

 

“ถ้าเช่นนั้น นางจะไปทำสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไรกัน กว่าจะท่องคาถาเสร็จ นางก็คงตัวแข็งเพราะกลัวสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ฮ่าๆๆ”  

 

 

คำพูดถากถางดังขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าทุกคนรอคอยที่จะเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยวิ่งหนีเตลิดไป  

 

 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ยิ้มเยาะเช่นกัน และแสร้งทำเป็นห่วงใยเฮ่อเหลียนเวยเวย “พี่ใหญ่ หากท่านทำไม่ได้ ก็อย่าฝืนตัวเองเลย ป่าวิญญาณนั้นแตกต่างจากที่อื่น หากท่านไม่ระวังตัว ก็จะอาจจะตายได้เลย”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจนาง และคร้านที่จะพูดคุยกับอีกฝ่ายในตอนนี้  

 

 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ดูถูกเฮ่อเหลียนเวยเวย นางรู้ดีว่านังแพศยาคนนี้เปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้ นางไม่รู้ขีดจำกัดของตนเองและพยายามทำตัวเป็นจุดเด่นเสมอ นางคิดว่าทักษะการต่อสู้ของนางจะสามารถจับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาทำพันธสัญญาได้เช่นนั้นหรือ นั่นมันเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันเท่านั้น  

 

 

แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสียทีเดียว เพราะทุกอย่างจะเป็นไปตามที่นางวางแผนไว้  

 

 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยิ้มบางๆ และขณะที่นางก้มศีรษะลง นัยน์ตาของนางก็ฉายให้เห็นถึงความเกลียดชังสุดขีด  

 

 

ทุกคนกำลังตั้งใจฟังข้อควรระวังในการเข้าไปในป่าวิญญาณ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กับจิ้งอู๋วั่งสบตากันอย่างมีความหมายด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งขรึม  

 

 

ในเมื่อนังแพศยาเฮ่อเหลียนเวยเวยนั่นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง และไม่รู้ว่าตัวเองควรอยู่ตรงไหน ข้าก็จะทำให้นางหายไปซะ  

 

 

 

 

 

ในยามพลบค่ำ แสงสีทองจางๆ ส่องแสงออกมาจากขอบฟ้าทำให้ตรงทางเข้าป่าวิญญาณดูพร่ามัว  

 

 

ต้นไม้ใหญ่ตั้งตระหง่านอย่างแน่นขนัด กิ่งก้านของมันหนาทึบ จนสามารถให้ร่มเงาบดบังแสงแดดได้เป็นอย่างดี  

 

 

อาจารย์ของสำนักศึกษาเตือนศิษย์ใหม่ทุกคนอีกครั้ง “อย่าออกนอกเส้นทาง ให้เดินตามแผนที่ และต้องกลับออกมาให้ทันเวลา ไม่ว่าพวกเจ้าจะทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ เจ้าก็ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบนี้”  

 

 

พูดจบอาจารย์ก็แจกแผนที่ให้ทุกคนที่จะเข้าไปในป่าวิญญาณ  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา และจดจำเส้นทางทันที ในตอนแรก นางต้องการจะเรียกหยวนหมิงให้ช่วยวิเคราะห์ภูมิประเทศของป่าแห่งนี้  

 

 

แต่สุดท้าย นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่ที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรากฏตัว ก็ดูเหมือนหยวนหมิงจะอ่อนกำลังลง และตอนนี้เขาก็อยู่ในสภาวะสงบนิ่ง  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยค่อนข้างเป็นห่วงเขา ‘เล็กน้อย’ และคิดว่าหลังออกมาจากป่าวิญญาณ นางก็จะลงจากภูเขา และหาการต่อสู้สักสองสามครั้ง เพื่อให้เขามีพลังมากขึ้น  

 

 

ศิษย์ใหม่เริ่มทยอยเข้าไปทีละคน รวมทั้งองค์ชายสามด้วย แต่เมื่อเทียบกับความตึงเครียดของคนอื่นๆ แล้ว ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านก็ไม่ปาน  

 

 

ในตอนแรก ทุกคนยังรวมตัวกันอยู่ แต่เมื่อเข้าไปในป่าวิญญาณลึกขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาก็เริ่มแยกกันเดิน  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเดิมตามแผนที่ในมือ และเมื่อนางเริ่มเดินลึกเข้าไปในป่าแห่งนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังเรียกนางอยู่ “มานี่… มานี่สิ…”  

 

 

หญิงสาวมองไปรอบๆ แต่ก็พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนางตั้งใจฟัง เสียงนั้นก็หายไปแล้ว  

 

 

“แปลก” เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินไปข้างหน้าอีกก้าว ก่อนจะพบว่าถนนเส้นนั้นหายไปแล้ว  

 

 

แต่ก่อนที่นางจะถอยหลังไป ร่างกายของนางก็ถูกลมกระโชกแรงพัดไป  

 

 

อาจารย์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากนางตื่นตระหนก และรีบวิ่งเข้ามา “ใครหลงทางหรือ”  

 

 

ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นเดินไปไกลแล้ว ในเวลานี้ มีเพียงศิษย์ใหม่ระดับธรรมดาไม่กี่คนเท่านั้น เมื่อพวกเขาเห็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจนี้ก็ตอบอย่างตะกุกตะกัก “ข้า… ข้าคิดว่าน่าจะเป็นเฮ่อเหลียนเวยเวยจากหอสามัญขอรับ”  

 

 

“หอสามัญเช่นนั้นหรือ เดินตามเส้นทางต่อไป ระวังอย่าให้หลงทาง”  

 

 

ศิษย์ใหม่จากหอสามัญช่างโง่เขลาจริงๆ  

 

 

พวกเขาต่างก็มีแผนที่กันอยู่แล้ว แต่นางยังหลงทางอีก ไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าสำนักยังยอมเก็บพวกเขาเอาไว้  

 

 

อาจารย์โยนแผนที่ที่ตนเองถืออยู่ทิ้งไป โดยไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย  

 

 

อย่างไรเสีย นางก็เป็นแค่คนไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรต้องกังวล ต่อให้นางตายไป ก็ไม่มีใครสนใจอยู่ดี…