บทที่ 74 ไปด้วยกัน

บทที่ 74 ไปด้วยกัน

ต้องใช้เวลาชั่วระยะ อู๋ฝานจึงค่อยฟื้นคืน

แม้ว่าร่างจะยังไม่หายไปไหน แต่อู๋ฝานก็ไม่คิดที่จะทำการชำแหละ ส่วนของที่อยู่กับตัวโจร มีค่ามากที่สุดก็สมควรเป็นขวาน เพียงแต่ภายหลังใช้วิชาตรวจสอบ อู๋ฝานจึงได้พบว่ามันเป็นเพียงขวานที่ไม่มีอะไร ค่าสถานะนั้นชวนเวทนาอย่างถึงที่สุด

ภายหลังจัดการสะสางอารมณ์ความรู้สึก อู๋ฝานจึงออกเดินทางต่อ

การเดินทางช่วงที่เหลือก็ไม่ใช่สงบราบรื่น โจรปล้นชิงปรากฏตัวถึงสามระลอก พวกเขาเหล่านั้นยากไร้ ยามอู๋ฝานดึงสติได้ จึงยอมรับอยู่ในใจว่าตัวเองมีจิตที่แข็งแกร่งบ้างแล้ว ไม่ถึงขนาดเกิดความรู้สึกจนต้องอ้วกออกมาอีก

นอกจากโจรปล้นชิง อู๋ฝานยังได้พบมอนสเตอร์อีกหลากหลาย มอนสเตอร์เหล่านี้รวมถึงสัตว์ป่าที่เกิดการติดเชื้อจากพลังงานอสูร เลเวลพวกมันมีตั้งแต่สิบจนถึงสิบห้า ด้วยอุปกรณ์สวมใส่ปัจจุบันของอู๋ฝานจึงทำให้เรื่องง่ายขึ้น การสังหารมอนสเตอร์เหล่านั้นไม่ได้อันตรายแต่อย่างใด

ภายหลังสังหารโจรปล้นชิงหมด ร่างของพวกเขาและของที่พกพาไม่ได้เลือนหายไปไหน ทว่า ภายหลังมอนสเตอร์ถูกสังหาร พวกมันมีความแตกต่าง บางส่วนไม่ได้เลือนหาย บางส่วนก็หายไปอย่างรวดเร็ว เหมือนดังที่หมู่บ้านเร้นลับไม่มีผิด

แน่นอนว่า อู๋ฝานยังไม่ยอมละทิ้งร่างที่ไม่ได้หายไป เขาชำแหละพวกมันหมดสิ้น และนำของที่ได้รับพกเก็บเอาไว้ เพื่อเตรียมนำพวกมันไปขายเป็นเงินยามไปถึงเทศมณฑล เพราะตัวเขาในปัจจุบันกำลังขาดแคลนทุนทรัพย์

บางทีอาจเพราะค่าสถานะจากจี้หยกทำหน้าที่ได้ดี ภายหลังสังหารมอนสเตอร์ในวันนี้ อู๋ฝานกลับได้รับอุปกรณ์ดร็อปมาสองชิ้นอย่างเกินคาด แม้พวกมันเป็นอุปกรณ์ระดับต่ำที่สุด แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไร

“เอฟเฟคจากอุปกรณ์ระดับตำนานนี่เหนือชั้นจริง” อู๋ฝานพึมพำกับตัวเองขณะเทเลพอร์ตกลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริง

การเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันของอัตราดร็อปอุปกรณ์ มันเป็นความสามารถของจี้หยก อู๋ฝานนึกพึงพอใจต่อเอฟเฟคของจี้หยกที่ได้รับมาไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว

หมู่บ้านเร้นลับไม่ได้อยู่ใกล้กับเทศมณฑลตามที่ทราบมา และอู๋ฝานทำได้เพียงต้องเดินเท้า ผลลัพธ์คือ เมื่อฟ้ามืดเขาจึงเทเลพอร์ตกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ทำให้ปัจจุบันยังเดินทางไปไม่ถึงเทศมณฑล เพียงแต่เทศมณฑลก็อยู่อีกไม่ไกลแล้ว วันพรุ่งนี้ช่วงก่อนกลางวันสมควรไปถึง ดังนั้นการรายงานตัวจึงไม่ล่าช้าแต่อย่างใด

“ถ้าหากว่ามีเงินก็คงดี เชื่อได้เลยว่าเถ้าแก่หน้าเลือดหลิว จะมีม้าขายอยู่ในร้านขายของชำ ถ้าซื้อมาได้คงเพิ่มความเร็วการเดินทางได้มาก หนึ่งวันก็สมควรไปถึง ไม่แปลกใจที่หัวหน้าหมู่บ้านบอกให้เร่งรีบออกเดินทาง คงเพราะเขารู้แน่ว่าเราไม่มีเงินซื้อม้า ทำได้ก็เพียงแต่เดินเท้า เพราะแบบนั้นถึงต้องใช้เวลา” อู๋ฝานครุ่นคิดขณะนอนอยู่บนเตียง

อู๋ฝานยังได้พบ ไม่ว่าจะเป็นในโลกความเป็นจริง หรือว่าอีกโลกหนึ่ง หากไม่มีเงินก็แทบไม่อาจทำอะไรได้ มันคือความไม่สะดวก ราวกับว่าตอนนี้ตัวเขาไม่เพียงแต่ต้องหาเงินในโลกความเป็นจริง แต่ยังต้องพยายามหาเงินในอีกโลกหนึ่งให้มากขึ้น

ในช่วงเช้า จำนวนคนที่ออกมาวิ่งและออกกำลังกายในสนามกีฬามหาวิทยาลัยเจียงโจวมีจำนวนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หลายคนเหมือนจะเป็นนักศึกษาใหม่ ในบรรดาผู้คนเหล่านั้น หลายคนต่างกำลังจับจ้องเจ้าของเรือนร่างอันงดงามที่กำลังวิ่งอยู่

“อรุณสวัสดิ์” ขณะหลิ่วเหยียนเอ๋อร์วิ่งผ่านมา อู๋ฝานจึงเอ่ยคำทักทาย

“อรุณสวัสดิ์” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบรับเสียงเบา ขณะเดียวกัน เธอก็หันกลับมามองอู๋ฝานและเอ่ยถาม “วิ่งด้วยกันไหม?”

นับเป็นครั้งแรกที่หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เชื้อเชิญอู๋ฝานให้วิ่งด้วยกัน ก่อนหน้านี้ แม้ว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์จะตอบกลับอู๋ฝาน แต่เธอไม่เคยชักชวนอู๋ฝานให้วิ่งด้วยกันแต่อย่างใด ได้ฟังดังนั้นเขาจึงมึนงงไปครู่

“ตกลง” ใช้เวลาอยู่สักพักอู๋ฝานจึงตอบสนอง ตามปกติเขาก็ไม่คิดปฏิเสธคำเชิญชวนอยู่แล้ว

คนทั้งสองวิ่งเคียงข้างกันไปตามขอบของสนามกีฬา ด้วยหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เคียงข้าง อู๋ฝานยิ่งรู้สึกว่าอากาศรอบด้านรู้สึกชวนให้สดชื่นมากขึ้น

“คุณทำอาหารปิ้งย่างได้ดี” ไม่ใช่อู๋ฝานที่เป็นฝ่ายพูดขึ้น แต่เป็นหลิ่วเหยียนเอ๋อร์

“ดีเลยทีเดียว” อู๋ฝานไม่คิดถ่อมตัว เพราะมันไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น “ถ้าหากอยากทาน มาหาที่ร้านได้ทุกเมื่อ ไว้ผมเลี้ยงเอง”

หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่พูดตอบ เพียงแต่วิ่งต่อไป

จนผ่านไปหลายรอบ อู๋ฝานจึงได้พบว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ยังคงมีลมหายใจที่มั่นคง สีหน้าปกติเหมือนที่เคยเป็น เธอไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าเหมือนดังคนธรรมดาแม้แต่น้อย

“หรือว่า เธอจะแข็งแกร่งจริงกันนะ?” อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่ในใจ

ก่อนหน้านี้ เขาเคยใช้วิชาตรวจสอบกับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ แต่ไม่อาจได้รับข้อมูลอะไรมามากมาย ตอนนั้น ความแข็งแกร่งของเขายังน้อย เพียงแต่ตอนนี้ ด้วยพรจากอุปกรณ์ทั้งหลาย ความแข็งแกร่งของเขาจึงแข็งแกร่งขึ้นมาก ดังนั้นจึงสมควรสามารถตรวจสอบหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ได้มากขึ้น เพียงแต่อู๋ฝานยืนกรานไม่คิดทำแบบนั้น เพราะหากหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เกิดรู้สึกอะไรขึ้นมา มันจะกลายเป็นกระตุ้นความรู้สึกรังเกียจของอีกฝ่าย เมื่อชั่งน้ำหนักแล้วมันคือการได้ไม่คุ้มเสีย

เมื่อนึกถึงข้อมูลของข่งไห่หลินก่อนหน้านี้ อู๋ฝานจึงคาดเดาว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์อาจฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อะไรบางอย่าง ทั้งเธอและข่งไห่หลินต่างก็เป็นคนระดับเดียวกัน ดังนั้นข่งไห่หลินจึงกล่าวเอาไว้ ว่าระหว่างตัวเขาและพวกตนเองอยู่กันคนละโลก

“เหมือนคุณจะดูเปลี่ยนไปนิดหน่อยนะ” ขณะอู๋ฝานกำลังครุ่นคิดไปเรื่อย เสียงของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

แม้หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่มีวิชาตรวจสอบ แต่เธอก็มีความสามารถในการรับรู้ความแข็งแกร่งของคนอื่น เธอรู้สึกได้ว่าลมหายใจของอู๋ฝานดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เคยเป็น

ความรู้สึกของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่ผิด หากเทียบเปรียบกับก่อนหน้า เลเวลของอู๋ฝานสูงขึ้นมาระดับหนึ่ง ทั้งยังสวมใส่ชุดหนูขนทอง รองเท้าเมฆาล่อง กางเกงผ้าบริสุทธิ์ และจี้หยกกระเรียนขาวในเวลาเดียวกัน จะบอกว่าแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

“เปลี่ยนไปยังไงกัน?” อู๋ฝานถามกลับ

“ลมหายใจ” หลิ่วเหยียนเอ๋อตอบกลับ

“ลมหายใจ?” อู๋ฝานไม่เข้าใจมากนัก ความแข็งแกร่งของตัวเขามาจากอุปกรณ์และเลเวล ความแข็งแกร่งของตัวเขาเองนั้นมีอย่างจำกัด และตัวเขาไม่อาจเข้าใจคำในแวดวงของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์

“อืม” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์พยักหน้ารับ แต่ไม่ได้อธิบายเพิ่ม

ภายหลังวิ่งครบอีกหนึ่งรอบ หลิ่วเหยียนเอ๋อร์จึงหยุดและพูดขึ้น “ขอตัวก่อน ไว้พบกัน”

“ไว้พบกัน”

แม้อู๋ฝานคิดอยากถามออกไป แต่เขาก็ไม่อาจถามรายละเอียด นอกจากนี้หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็ออกกำลังกายเสร็จแล้ว คิดจะเรียกเธอหยุดเอาไว้จึงเป็นเรื่องยาก

“ลมหายใจ? มันหมายความว่ายังไงกัน? เธอรู้สึกได้หรือว่าเราแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้?” อู๋ฝานครุ่นคิดไปพลางวิ่งเหยาะ

เห็นได้ชัด ว่ามีเพียงหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่สามารถตอบคำถามของอู๋ฝาน เพียงแต่ในเมื่ออีกฝ่ายกลับไปแล้ว อู๋ฝานก็ได้แต่ต้องปล่อยไป

ภายหลังอู๋ฝานออกกำลังกายเสร็จ เขายังไม่ได้ออกจากมหาวิทยาลัยเจียงโจว แต่ตรงไปยังออฟฟิศ วันนี้เขามีชั้นเรียนต้องสอน และเป็นชั้นเรียนแรกของอาชีพการเป็นอาจารย์ ดังนั้นจึงไม่คิดพลาด

ปัจจุบันยังค่อนข้างเช้า ภายในออฟฟิศ อาจารย์คนอื่นยังมาไม่ถึง แม้ไม่ได้เข้ามาหลายวัน โต๊ะของอ๋านก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมเช่นที่มันเคยเป็น ถัดจากนั้นเขาจึงไปนั่งประจำโต๊ะตัวเองเพื่อใช้คอมพิวเตอร์โลดแล่นไปกับโลกอินเตอร์เน็ต

“อาจารย์อู๋? มาแล้วหรือ?” เมื่อใกล้ถึงเวลาสอนในชั้นเรียน อาจารย์ซุนเยวี่ยเป็นคนแรกที่ผลักประตูเข้ามา พบเห็นอู๋ฝานมาถึงออฟฟิศก่อนแล้ว เขาจึงค่อนข้างประหลาดใจ