ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 21 ในฝันนอกฝัน (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 21 ในฝันนอกฝัน (rewrite)

เฉินอี้มองเขาน้ำค้างเล็กไปรอบๆ แล้วก็ไปจากที่นี่ เขาสู่ซานจัดที่พักให้แขกสำนักเต๋า นักพรตชุดคลุมหยาบติดตามหลังท่านเจ้าลัทธิ สาวกที่คลั่งไคล้พวกนี้ดูสงบนิ่งแต่ก็พยายามหักห้ามใจตัวเองใต้ชุดคลุมนักพรต ตอนกลับไม่ได้พาใบไม้แห้งและเสียงไปด้วย

หนิงอี้ยืนบนเขาน้ำค้างเล็ก มองเจ้าลัทธิจากไป เขากอดพินิจเหมันต์ กระบี่ร่มที่เหลือเพียงโครงนอนอยู่ในอ้อมกอดเด็กหนุ่มอย่างเงียบเหงา

พายุฝนส่งเสียงดังครืนๆ มีคนกางร่มดังพรึ่บ หยดน้ำฝนพลันถูกดีดกระจายลงบนพื้น หยดน้ำที่เกาะกับใบร่มถูกลมพัดวนรอบร่มดำกลายเป็นม่านฝนหมุนวนไปรอบๆ

เผยฝานมองเส้นทางภูเขาใต้เขาน้ำค้างเล็ก

ตอนนี้ความคิดยุ่งเหยิง ชุดคลุมขาวที่เป็นสัญลักษณ์แสงสว่างของสำนักเต๋าเดินหน้าไปช้าๆ ล้อมรอบร่างเงาผอมบาง เด็กหนุ่มที่เดินไปไกลคนนั้นอายุยังน้อย ได้รับตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุดในโลก เวลาเดินทาง…ดูเหมือนไม่มีความทระนงตนอย่างผู้สูงศักดิ์ มือข้างหนึ่งถือชุดคลุมขาวไว้ อีกมือยื่นมากันหยดฝนข้างหน้า พายุฝนหนักขึ้น ต่อให้มีคนกางร่มให้ ร่างเงาเฉินอี้ก็ยังดูทุลักทุเลเล็กน้อย

นางพูดเสียงเบา “ท่านเจ้าลัทธิ เป็นคนที่ไม่เลวเลย”

หนิงอี้ตอบอืมเบาๆ

เขาไม่ได้มีสีหน้าผ่อนคลายเท่าไร กลับพูดอย่างเคร่งขรึม “เฉินอี้เหมือนจะรู้สึกถึงขลุ่ยกระดูกได้”

เผยฝานครุ่นคิด พบว่าตนสังเกตเห็นในจุดนี้ช้ากว่าเฉินอี้ หากหนิงอี้ไม่พูด นางก็คงไม่รู้

นางได้แต่โยนความผิดทั้งหมดไปที่ความรอบคอบและระแวดระวังของเจ้าลัทธิ ก่อนพูดอย่างจนปัญญา “อาจจะเป็นเพราะผ่านความลำบากมาเยอะ เจ้าลัทธิถึงมีไหวพริบดีงั้นรึ”

หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น ยืนใต้ร่มของเด็กสาว กอดพินิจเหมันต์ครุ่นคิด เขารู้สึกว่าเด็กสาวพูดไม่ผิดจริงๆ

มีแต่คนบอกว่ารู้หน้าไม่รู้ใจคน แต่เฉินอี้เป็นข้อยกเว้นจริงๆ ความระวังของเขาไม่ได้ทำให้หนิงอี้รู้สึกว่ามีปัญหาใด…หากเขาไม่ระวัง หนิงอี้ก็คงจะรู้สึกผิดหวัง

หนิงอี้นึกย้อนกลับไป ขลุ่ยกระดูกตนหายไปแล้ว ท่านเจ้าลัทธิยังพบ…บางทีอาจเป็นเพราะเพลงนั้นที่ตนเป่าบนเขาน้ำค้างเล็ก ไพเราะมากจริงเช่นนั้นหรือ

ดังนั้นหนิงอี้เลยถามด้วยความใจจดจ่อ “นี่เจ้า ระดับการเป่าขลุ่ยของข้าเป็นอย่างไร”

เผยฝานทำหน้าเก้อเขิน ก่อนตอบอย่างสัตย์จริง “กลางๆ…ฟังได้ไม่ถึงขนาดกับทำให้ใครตาย”

หนิงอี้โกรธเล็กน้อย นี่เรียกว่าคำตอบอะไร ฟังได้ไม่ถึงกับทำให้ใครตายเช่นนั้นหรือ

เขาโกรธจนสะบัดแขนเสื้อจะไป

เผยฝานเม้มริมฝีปาก ถามด้วยความแปลกใจต่อจากความสงสัยของเฉินอี้ “แล้ว…ขลุ่ยกระดูกของเจ้าล่ะ”

“ทิ้งไปแล้ว!” หนิงอี้โบกไม้โบกมือ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ชอบฟัง ข้าเอาไปทิ้งที่หลังภูเขาแล้ว”

……..

กลิ่นอายวสันต์สังหารบนเขาน้ำค้างเล็กเข้มข้นมาก ฝนตกหนักมาพร้อมกับท่วงทำนองกวาดล้าง หลังแขกเขาศักดิ์สิทธิ์กลับไป โลงศพของสวีจั้งก็กลับไปผนึกไว้ที่เดิม พายุฝนกัดเซาะกลิ่นอายปั่นป่วนในป่าเขาสู่ซาน ไม่มีท่าทีจะหยุดแม้แต่น้อย

กลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

หนิงอี้ฝ่าพายุฝนสองร้อยชั่งวิ่งกลับมาหอน้ำค้างเล็ก แสงดารากระบี่ซ่อนของเด็กสาวจุดตะเกียงในบ้าน ไข่มุกหลายเม็ดประดับตรงสี่มุม ดูสว่างไสวขึ้นมา

เขาหยิบกระจกทองสัมฤทธิ์ที่แขวนกลางบ้านขึ้นมา ดูสภาพตนแล้วน่าอนาถจริงๆ…

หนิงอี้รับรองได้ว่าตอนที่ออกจากเขาน้ำค้างเล็ก เขาสวมชุดคลุมดำที่มีความเย็นเยือกเหมือนฝนใบไม้ร่วง น่าเสียดายท่าทางการตกหลังภูเขาไม่ถูกต้อง อาภรณ์ขาด เส้นผมกระเซอะกระเซิง ใบหน้ามีคราบเลือดถลอกออกมาหลายจุด หัวเข่าและข้อพับเขียวบวมแดงม่วงมีครบหมด…ดูเหมือนกับขอทาน

เขาไม่อาจจินตนาการได้นิดๆ ว่าแขกเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกตนขู่กรรโชกพวกนั้น ตอนมองตนจะโกรธหรือเห็นใจมากกว่ากัน

หนิงอี้ยกถังไม้มา จุดไฟต้มน้ำร้อน ถอดอาภรณ์เก่าออก โยนไปในตะกร้าไผ่ กระโดดไปในอ่างไม้ ผ่อนคลายจนสั่นไปทั้งตัว ขนลุกขึ้นมา ความร้อนจากนอกสู่ใน แทรกซึมเข้าไปในใจ ทำให้เขาพ่นลมหายใจยาว…ไม่ได้สัมผัสเช่นนี้มานานมากแล้ว เส้นความเป็นตายนั้นได้คลายลง

ครั้งก่อนก็เป็นเช่นนี้ ในเมืองสันติ หนิงอี้สังหารโจรม้าเสร็จจะกลับมาในบ้าน ตอนนั้นสวีจั้งจะเยาะเย้ยเหน็บแนมตน และยังถือโอกาสชี้จุดผิดพลาดของเขา เด็กสาวช่วยตนต้มน้ำร้อน บางครั้งก็ปะทะคารมกับสวีจั้ง

ตอนนี้…ไม่มีสวีจั้งแล้ว

เผยฝานเก็บร่ม เดินเข้าบ้าน คิ้วขมวดขึ้น สิ่งแรกที่ทำคือกอดตะกร้าไผ่ วิ่งเหยาะๆ เอาผ้าขาดพวกนั้นของหนิงอี้ไปโยนไว้นอกหอน้ำค้างเล็ก

พอกลับมา นางนั่งย่อตัวลง แขวนอาภรณ์ใหม่บนราวไม้ ราวไม้แขวนอยู่ไม่ไกลจากถังน้ำ ผ้าม่านสีขาวตกลงมาเป็นวงกลมครอบ

บุรุษสตรีต่างกัน เด็กสาวเติบใหญ่แล้ว หนิงอี้ก็แบ่งเป็นสองเตียง ขาดเด็กสาวที่ทั้งทำให้เตียงอุ่นและยังคุยเล่นได้ไป ความจริงเขาก็ไม่ค่อยชินนัก บางอย่างเด็กสาวไม่รู้ ทึ่มทื่อ แต่หนิงอี้เคยอ่านตำราหลากหลายในเมืองไร้มลทินเทือกเขาประจิม…จึงรู้ละเอียดกว่าเผยฝาน

เขากลัวว่าถ้านอนเตียงเดียวกันอีก ท่านเผยหมินในยมโลกรู้เข้า สักวันจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ สับตนตายด้วยกระบี่เดียว

ไอร้อนพวยพุ่ง

แผ่นหลังหนิงอี้มีบาดแผลเล็กน้อย ตอนที่เข้าไปหลังภูเขาและกอดเด็กสาวตกลงไป เขาถูกอีกฝ่ายกัดหลายครั้ง ระหว่างกัดฉีกยังทิ้งเป็นรอยแผลไว้ เขาหลับตาครุ่นคิด พินิจเหมันต์ที่พิงอยู่ไม่ไกลสั่นไหวเบาๆ หมอกขาวหมุนวนเข้ามา ล้อมรอบเหนือศีรษะหนิงอี้

บาดแผลเกิดสะเก็ด หลุดร่วง

หนิงอี้ไม่รู้ตัวเลย

เขารู้สึกคัน…ง่วงงุนอยากหลับ

พอนึกถึงการต่อสู้กับเงานั้นในร่องภูเขา และยังมีเรื่องที่ตนปลุกขลุ่ยกระดูกให้ตื่น ก็เหมือนมีหินใหญ่ถ่วงใจเขา

สองเรื่องนี้ไม่มีใครบอกได้ ต่อให้เป็นคนสนิทอย่างเด็กสาวก็ต้องปิดปากดั่งทอง

ตอนที่แอบรู้สึกว่าน้ำควรจะเย็นแต่กลับหมุนวนอุ่นๆ นั้น หนิงอี้ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก มองแสงดารากระบี่ซ่อนผลุบๆ โผล่ๆ ปกคลุมอยู่รอบถังไม้ รักษาความอุ่นไว้ช้าๆ

ดีจริงๆ…

หนิงอี้พึมพำพูด ‘ยัยเด็กนี่’ หลังความเหนื่อยล้าเข้าถึงกระดูก สติเขาพร่าเลือนทีละนิด

จากนั้นมีคนเปิดผ้าม่านขาวที่วนรอบถังไม้ มองใบหน้าเด็กหนุ่มที่เหนื่อยล้าง่วงงุนก่อนจะอดยิ้มไม่ได้ จากนั้นก็เช็ดครึ่งตัวบนที่โผล่มาเหนือผิวน้ำอย่างตั้งใจ

ตัวหนิงอี้มีพลังเลือดลมเปี่ยมล้นแผ่มาจากตัว หลังจากฝึกคนยักษ์ดาราของท่านพันกร กายเนื้อผิวหนังจะดูดซับตลอดเวลา การต่อสู้กับเงาฝากเป็นรอยแผลเป็นหลายรอย ตอนนี้หลุดออกทั้งหมด ผิวดั่งทองแดงโบราณเหมือนถูกประทับด้วยรอยขาว ไม่ส่งผลกระทบกับสายตา ลูบไปจะรู้สึกถึงความแข็งแรงสมบูรณ์ ดูดีมาก 艾琳小說

เผยฝานเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมาตรงหน้าผากหนิงอี้ ห่อผ้าขนหนูสีขาวให้เขาด้วยใบหน้าแดงเรื่อ จากนั้นแบกเขาขึ้นอย่างยากลำบาก เดินโซเซไปที่เตียง

เด็กสาวใช้แสงดาราของกระบี่ซ่อนทั้งหมด ทำให้น้ำในถังอุ่นทั้งวัน…แต่แช่ในนั้นนานๆ ก็ไม่ดี แม้หลักการนี้จะไม่มีผลกับผู้บำเพ็ญ แต่เผยฝานก็ยังบอกตัวเองในใจ กระดูกสันหลังเอย กระดูกคอเอย เอวเอย…ผู้บำเพ็ญก็คนเหมือนกัน ตนจะไม่ใยดีปล่อยให้หนิงอี้แช่อยู่ในถังไม่ได้

ตอนอยู่ในบ้านเมืองสันติ หนิงอี้เหนื่อยล้ายิ่ง บางครั้งนอนหลับในถังไม้ คนที่รับมือกับเรื่องนี้คือสวีจั้งตลอด บ่อยครั้งที่บุรุษตัวอ่อนสังหารผู้เหี้ยมโหดไร้ความปรานีต้องตบศีรษะหนิงอี้ ปลุกเด็กหนุ่มตื่นขึ้นมา ให้สูดน้ำลายที่ห้อยตรงมุมปากกลับไป

แต่น้อยครั้งมากที่บุรุษตัวอ่อนสังหารจะแบกหนิงอี้ขึ้นอย่างอ่อนโยน ห่อผ้ากันอายให้เขา เดินซวนเซกลับจากลานบ้านเข้าไปในห้อง แล้วโยนลงบนเตียงเหมือนปลาตาย

ดังนั้นตอนที่หนิงอี้ถูกเด็กสาวแบกขึ้นจึงไม่รู้สึกไม่เหมาะสมอะไร…เขาเหมือนกลับไปตอนอยู่เมืองสันติ เพียงแต่คนนั้นที่แบกตนเหมือนจะตัวเล็กไปหน่อย ปลายเท้าตนเฉียดพื้น อืม ลองสัมผัสอย่างละเอียดแล้ว…เหมือนจะไม่ได้เล็กขนาดนั้น

จากนั้นถูกโยนลงบนเตียงดังตึง

แรงหนักกว่าสวีจั้งหลายเท่าเลย

เด็กสาวหน้าแดงก่ำ ชักสองมือกลับมาราวกับถูกไฟดูด เอามาปิดตรงหน้าอก ก่อนจะทำเสียงถุยอย่างไม่สบอารมณ์ ใจนึกรู้อย่างนี้แต่แรกน่าจะปล่อยให้แช่ตายอยู่ในถังไปเลย

หนิงอี้นอนไม่ได้สติอยู่ไม่ไกล ผ้าขาวบนตัวหลุดไปมากกว่าครึ่ง ศีรษะตกพื้น ตัวนอนหงาย…หลับไปคืนหนึ่งเช่นนี้

……

คืนนั้น หนิงอี้ฝัน

เขาฝันเห็นแม่น้ำภูเขาหมื่นลี้ ธารดาราสว่างไสว ตนนั่งบนหลังวิหคแดง กอดเด็กสาว เมฆบางๆ ลอยอยู่ใต้ตน

เด็กสาวไม่ได้มองธารดาราและคลื่นเมฆเต็มฟ้า เพียงแค่เอาศีรษะซุกในอ้อมอก พูดนามตนเบาๆ

“หนิงอี้”

เสียงฟังดูนุ่มนวลและน่าเศร้า

มีเสียงสะอื้นไห้เบาๆ

ต่อมาพูดอะไรเยอะมาก หนิงอี้ไม่ได้ยินแล้ว

หนิงอี้ได้ยินแต่เสียงลมพัดผ่าน เขาไม่ได้ยินเสียงเรียก ไม่รู้สึกถึงอารมณ์ของเด็กสาว เพียงแค่ลูบศีรษะเด็กสาวเบาๆ ดมกลิ่นหอมสะอาดของเส้นผมยาว

เขาก้มหน้ามองลงไป

โลกไม่มีแสงสว่าง

ข้างล่างขาวโพลน

หิมะตกหนักใต้ฟ้าหน้าหลังสี่หมื่นลี้ไม่มีสุดปลายทาง

………………………….