ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 22 นายพรานออกจากเขา (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 22 นายพรานออกจากเขา (rewrite)

หลังค่ำคืนนี้ เขาน้ำค้างเล็กเป็นสีขาวเงิน

หนิงอี้ตื่นเพราะความหนาว ตื่นมาแล้วก็พบเรื่องน่าตกใจยิ่งคือทั้งเนื้อทั้งตัวตนไม่มีอะไรเลย ทั้งยังเรียกได้ว่าล่อนจ้อน ผ้าขนหนูขาวผืนใหญ่ปิดส่วนเล็กๆ อยู่ ศีรษะทั้งหนักทั้งปวด เมื่อคืนวานนอนในถังไม้แล้วเกิดอะไรขึ้น จำอะไรไม่ได้เลย

นี่มันอากาศบ้าอะไรกัน หยดน้ำตามตัวเกาะเป็นเศษน้ำแข็ง จนหนิงอี้หนาวสั่น

รีบพลิกตัวสวมอาภรณ์ ต่อให้กายจิตจะดีมาก ก็ยังต้านอุณหภูมิที่ลดฮวบไม่ได้

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ผลักหน้าต่าง มองโลกขาวโพลนไปด้วยหิมะที่สวยงามนอกหอน้ำค้างเล็ก ตกใจเล็กน้อย…ปีก่อนหลังหิมะตกหนักที่เขาสู่ซาน ผ่านหน้าหนาวที่สุดไปก็ยังไม่มีหิมะตก

หิมะปีนี้มาเร็วไปหน่อย

เด็กสาวตื่นเช้า สร้างมนุษย์หิมะอัปลักษณ์ผิดปกติข้างนอก หัวใหญ่เหมือนถัง ปักสองจมูกหนึ่งหูสามดวงตา แปะกระดาษขาวแผ่นใหญ่ ตั้งใจเขียนให้คำว่าหนิงอี้บิดเบี้ยว

หนิง! อี้!

หนิงอี้กลั้นขำไว้ไม่ได้ เขาส่ายหน้า ปิดหน้าต่างกระดาษ ก่อนจะกลับไปในห้อง

หลับสนิทมาหนึ่งคืน เขายังจำได้ว่าเมื่อวานฝันเห็นหิมะตกหนัก…ก็เกิดหิมะตกหนักจริงๆ

หนิงอี้พลันมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา เดินไปสองสามก้าว เขารู้สึกว่าร่างกายตน…เหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

ผู้บำเพ็ญมีสัมผัสที่เฉียบคมต่อร่างกายตนเองมาตลอด เบาแล้วหนักแล้ว จะสัมผัสได้แน่นอน เบาเท่าไร หนักเท่าไร รู้แก่ใจดี

หนิงอี้รู้สึกเหมือนตนหนักขึ้น แต่การขยับตัวกลับเบาและเร็วมาก

พลังบำเพ็ญเขาค้างอยู่ขอบเขตที่สี่ หากย่อยไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจสามพันปีนั้นหมด รวมกับทรัพยากรพวกนั้นของเขาศักดิ์สิทธิ์ ก็น่าจะทะลวงขอบเขตที่ห้า

เขานั่งลงขัดสมาธิ ใบหน้าเรียบนิ่ง สัมผัสการเปลี่ยนแปลงภายในกายตนเอง…ในตันเถียน ใบไม้กระดูกสีขาวขุ่นลอยขึ้นกลายเป็นน้ำวน ในนั้นรวมของเหลวทีละหยด

“หยดน้ำความเป็นเทพรึ”

หนิงอี้ตกใจเล็กน้อย เขาเคยเห็นภาพนี้ในกายสวีชิงเยี่ยน เด็กสาวที่ซ่อนความเป็นเทพมหาศาลไว้ในกาย ทุกวันจะสร้างความเป็นเทพขึ้น รวมจากสภาพอากาศกลายเป็นของเหลว หากความเป็นเทพมากเกินไป เช่นนั้นก็อาจจะ…ระเบิดเนื้อหนังมนุษย์ที่งดงามยิ่งนี้ได้

ขลุ่ยกระดูกชอบความเป็นเทพมาก หนิงอี้จำได้รางๆ ว่ากระบี่นั้นที่ตนฟันออกไปที่หลังภูเขาได้ ก็เพราะที่ราบกระดูกใช้ความเป็นเทพมหาศาล สร้างมิติสมบูรณ์แบบขึ้น ถึงทำให้ตนเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและปลุกกระบี่ให้ตื่นได้

หากความเป็นเทพก็เป็นการฝึกบำเพ็ญอย่างหนึ่ง…ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ก็คงจะถูกขังตายอยู่ที่ก้าวนี้ ยากจะเก็บรักษาและก้าวหน้าต่อไปได้

หากหนิงอี้เทียบกับโจวโหยวกับฝูเหยาในด้านการบำเพ็ญ นั่นไม่เรียกว่าอัจฉริยะเลย เขาเป็นคนที่ต้องพยายาม และเป็นคนที่ต้องใช้ความคิด เพราะว่าเส้นทางของเขายากกว่าโจวโหยวกับฝูเหยามาก ใต้ฟ้าต้าสุย แทบจะไม่มีใครมีเงื่อนไขการเข้าสู่เส้นทางบำเพ็ญยากกว่าหนิงอี้แล้ว

หากเปลี่ยนมาตรฐานการประเมิน เอาความพยายามมาวัดความเป็นอัจฉริยะของตน เช่นนั้นหนิงอี้จะต้องเป็นอัจฉริยะแน่นอน

ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไรในเส้นทางบำเพ็ญ ใหญ่หรือเล็ก เขาจะต้องทำให้ชัดเจน ถามให้เข้าใจ

จะไม่มีตกหล่นแม้แต่น้อย

ดังนั้นรากฐานของหนิงอี้จึงหนักแน่นมั่นคงมาก

เขาสังเกตความเป็นเทพในกาย มันมีแนวโน้มจะกำเนิดขึ้นช้าๆ และไม่อาจขวางได้อย่างหนึ่ง เขาไม่ได้ตระหนก และไม่ได้ดีใจหรือร้อนใจใดๆ แต่ยกฝ่ามือขึ้นเงียบๆ ดูดพินิจเหมันต์เข้ามาในมือ

เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ

ความเป็นเทพที่กำเนิดมาพวกนี้ภายใต้การควบคุมอย่างตั้งใจของตนถูกแกนกระบี่ของพินิจเหมันต์กินไปทั้งหมด

ที่ราบกระดูกต้องการความเป็นเทพเป็นสารอาหาร

หนิงอี้พ่นลมหายใจขุ่นเบาๆ หากไม่มีอะไรผิดพลาด…กระบี่ที่เทพขวางฆ่าเทพที่หลังภูเขานั้น ต้องจ่ายในราคาที่สูงและยากยิ่ง เป็นไปได้มากที่สุดคือกินความเป็นเทพไปจำนวนมาก

ความเป็นเทพที่เพิ่งกำเนิดมาพวกนี้ แค่คืนเดียวก็มีสามสี่หยด หนิงอี้หรี่ตาลง ควบคุมจิตสำนึกดูดหยดความเป็นเทพพวกนี้เข้าไปในที่ราบกระดูกทั้งหมด

ไม่เหนือกว่าที่คาดการณ์ไว้ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เหมือนดินเลนลงสมุทร

หนิงอี้ยิ้ม ความเป็นเทพเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งในโลก ของตนก็คือของตน ของคนอื่นก็คือของคนอื่น ต่อให้เป็นของไม่มีนายก็ไม่อาจเอามาเป็นของตนได้…แต่ขลุ่ยกระดูกไม่ใช่เช่นนั้น มันดูดซับความเป็นเทพได้ทั้งหมด ประตูใหญ่เปิดอ้า ของที่มีเจ้าของหรือที่ไม่มีเจ้าของ ล้วนยินดีต้อนรับทั้งหมด

ดูท่าถ้าตนจะกวัดแกว่งกระบี่เช่นนั้นอีกหรือเรียกผู้ครองกระบี่ ก็ต้องเชื่อมจิตกับที่ราบกระดูก และต้องใช้ความเป็นเทพไม่น้อย

หนิงอี้นึกถึงเด็กสาวคนนั้นในอารามรู้กรรม คลังสมบัติความเป็นเทพในกายนางถูกขุดออกมา ไม่ใช่แค่นี้แน่ หากไม่มีอะไรผิดพลาด ความเป็นเทพจะปลุกตื่นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นจะไม่ใช่แค่รวมขึ้นทีละหยดแล้ว

เขารู้สึกกังวลอย่างน่าประหลาด

ไม่รู้ว่าแม่นางที่ชื่อสวีชิงเยี่ยนคนนั้น ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

………

หนิงอี้กับเด็กสาวเก็บของที่เขาน้ำค้างเล็ก พักสักเล็กน้อย หลายวันต่อมา หิมะหยุดตกแล้ว เอ่ยลาง่ายๆ กับศิษย์พี่หญิงและศิษย์พี่ทั้งสอง บอกความคิดที่จะออกเดินทางกับท่านเจ้าลัทธิ

วันหิมะตกหนัก นักพรตชุดคลุมหยาบแห่งสำนักเต๋าเปลี่ยนเป็นชุดคลุมตัวใหญ่สีขาวบริสุทธิ์ ดูสะอาดกว่าหิมะ ยืนอยู่นอกประตูภูเขาอย่างนอบน้อม แค่เกือบครึ่งชั่วยาม รถม้าไม้ขาวก็แล่นออกมาจากจุดพักเท้า

ม้างามสีขาวทำเสียงขึ้นจมูก กระทืบเท้าเบาๆ

เจ้าลัทธิเฉินอี้ใช้สองมือขยี้ ภายในตู้รถม้าไม้ขาว ม่านรถถูกดึงออก หิมะบนพื้นข้างนอกสะท้อนแสงเปล่งประกาย เขามองสองคนที่ตามกันขึ้นรถด้วยรอยยิ้ม พูดทักทาย “คุณชายหนิงอี้ แม่นางเผยฝาน”

“ท่านเจ้าลัทธิ อากาศแปลกมาก…หนาวมาก ท่านต้องสวมอาภรณ์เยอะๆ หน่อย หืม คุณชายโจวโหยวไปที่ใดแล้ว” หนิงอี้สงสัยเล็กน้อย

เฉินอี้อธิบาย “คุณชายโจวโหยวร่วมพิธีศพจบก็ออกจากเขาสู่ซานไปแล้ว…ผู้อาวุโสสวีจั้งตายแล้ว คุณชายไม่มีเหตุผลต้องอยู่ที่นี่อีก”

หนิงอี้เข้าใจได้ โจวโหยวเป็นคนนิสัยเช่นนี้จริงๆ สวีจั้งทำตัวตามอำเภอใจ โจวโหยวคอยควบคุม หลังคลื่นลมสงบลงก็น่าจะกลับตำหนักนภาม่วง ปิดด่านบำเพ็ญใหม่

เจ้าลัทธิหนุ่มมองชายหญิงที่นั่งในรถม้า เห็นแววตาสับสนของสองคนก็หลุดหัวเราะออกมา

หนิงอี้สวมเสื้อขนแพะสีดำนอกอาภรณ์ดำ ซ้ายขวาสองข้าง บนบ่ามีหิมะสีขาวเกาะอยู่ ดูเก่าแก่เหมือนทายาทของนายพราน…ความจริง ชุดคลุมนี้ เป็นตอนที่หนิงอี้บังเอิญลงเขาและไปซื้อมาจากนายพรานผู้ซื่อสัตย์จริงๆ

เหนือใต้ต้าสุยแบ่งแยกกัน เขตแดนเขาสู่ซานน่าจะเป็นคนใต้ กระทั่งปีก่อนไม่มีหิมะตก สิ่งของช่วยคลายความหนาวน้อยมาก ตอนแรกหนิงอี้ลงเขาไปซื้อมามากมาย ตรึกตรองว่าหิมะอาจจะตกหนัก เลยซื้อชุดพวกนี้มา ตอนนี้หิมะตกหนัก อุณหภูมิลดลง ก็ถือว่าได้ใช้งานแล้ว

เผยฝานไม่ต่างกับหนิงอี้เท่าไร สองคนห่อเป็นชั้นๆ จนตัวพองแน่นเหมือนบ๊ะจ่าง ทำให้เฉินอี้กลั้นขำไว้ไม่ได้

พวกเขาไม่ต่างจากตน ผู้บำเพ็ญไฉนต้องสวมมากขนาดนี้

ผู้บำเพ็ญแค่ใช้แสงดารามาปกคลุมกายบางๆ ชั้นเดียว หิมะก็ดี ฝนตกหนักก็ดี ล้วนไม่ต้องกังวลเรื่องความหนาว

นักพรตชุดคลุมหยาบส่วนใหญ่สวมชุดคลุม ความจริงพวกเขาเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมบางๆ ก็ได้ เพียงแต่แบบนั้นจะดูเด่นเกินไปในแดนหิมะ

เฉินอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน เป็นนายพรานออกจากเขารึ”

หนิงอี้ยิ้มเขินอาย ถูจมูก ไม่รู้ควรจะตอบอย่างไร

เฉินอี้จะรู้ได้อย่างไรว่าสองคนนี้ตอนอยู่เทือกเขาประจิมต้องหิวและหนาวไม่น้อย

ความฝันวัยเด็กของเด็กสาวคือได้สวมชุดคลุมรับหน้าหนาวในวันหิมะตกอย่างสง่าผ่าเผย มีอาหารร้อนเครื่องดื่มร้อนๆ มีที่อบอุ่นหลับนอน

หลังหนิงอี้ขึ้นรถก็ยิ้ม “ท่านเจ้าลัทธิ เส้นทางยาวไกล ต้องรบกวนท่านแล้ว”

เฉินอี้ส่ายหน้า ก่อนพูดอย่างจริงจัง “คุณชายหนิงอี้ ไม่รบกวนเลย”

ไม่รบกวนจริงๆ

รถม้าคันนี้ ตู้รถม้าไม้ขาวทั้งสี่มุมห้อยกระดิ่งสามวิสุทธิ์สำนักเต๋ารวมถึงฐานะของเด็กหนุ่มคนนั้นข้างใน ลิขิตไว้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่เจอปัญหาใดๆ

จากเทือกเขาประจิมไปเมืองหลวงต้าสุย ภายใต้การวาดค่ายกลอย่างรวดเร็วของนักพรตชุดคลุมหยาบ ต้องใช้เวลาราวๆ เจ็ดแปดวัน เส้นทางไม่ถือว่ายาวไกลเท่าไร

ที่สำคัญกว่าคือความปลอดภัย

หากไม่ได้เจ้าลัทธิยินดีออกมือช่วย หนิงอี้อาจจะต้องเฝ้าอยู่เขาสู่ซานอีกปีจริงๆ

เสียงนกร้องดังขึ้นบนฟ้า

หนิงอี้เปิดตู้รถมองหิมะกว้างสุดลูกหูลูกตาข้างนอก มีนกสีแดงเพลิงตัวหนึ่งบินผ่านฟ้า

เฉินอี้พูดเสียงเบา “นี่เป็นนกที่เก่าแก่มาก ชื่อว่า ‘เพลิงอุสา’”

หนิงอี้เคยได้ยินชื่อนกชนิดนี้ นกที่บินอย่างอิสระบนฟ้าตลอดกาล นกชนิดนี้หัวรั้นแต่กำเนิด ระหกระเหินจนแก่ แทบจะไม่มีทางถูกกำราบลงได้

กฎทุกอย่างในโลกนี้ไม่อาจขวางมันบินได้

หากมีนักล่ายิงมันตกลงมา คิดอยากจะกำราบ มันก็จะตายเดี๋ยวนั้น

ชีวิตของเพลิงอุสาเป็นแค่วิถีชีวิตอย่างหนึ่ง ตั้งแต่เกิดจนดับสูญ ไม่หันหลังกลับ ไม่ก้มหัว

หนิงอี้นึกถึงบุรุษสวมชุดคลุมดำคนนั้น เขาปิดม่านหน้าต่างรถเงียบๆ

เอ่ยนามของเพลิงอุสาเงียบๆ ในใจ

…….

นกสีแดงเพลิงกางปีกบินกลางหิมะตกหนัก

เพลิงอุสาข้ามผ่านเขตแดนเขาสู่ซาน กลางฟ้าสูงที่มีหมอกหิมะ พายุหนาวเหน็บ เงาสีแดงเพลิงบินผ่านบนฟ้าไปทีละร่าง พวกมันมีสายตาเฉียบคม ไม่หันกลับเด็ดขาด เสพเส้นทางชีวิตกลางพายุหิมะ

เหมือนดาบเล่มหนึ่งตัดผ่านหิมะขาว ลากเป็นรอยสีแดงยาวกลางอากาศ

ใต้ฟ้าต้าสุย หิมะตกหนัก

เงาสีแดงเพลิงร้อนแรงตัวหนึ่งบินผ่านแผ่นดินมากกว่าครึ่งใต้ฟ้าต้าสุย มันก้มหน้าลง นัยน์ตาฉายแววสงสัยเสี้ยวหนึ่ง เริ่มลดความเร็วลง ดมๆ กลิ่นอายพลัง…กลางพายุหิมะ เหมือนจะมีบางอย่างน่าดึงดูดยิ่งกว่าความหนาวเหน็บทิ่มแทงกระดูก

มันเริ่มบินต่ำลง

ผ่านชั้นหิมะมายังโลกมนุษย์ ไอร้อนแดงเพลิง เสียงคนร้องเอะอะ สิ่งปลูกสร้างสูง ไม้แดงกำแพงขาว กระเบื้องหลังคาดั่งเกล็ดมังกร เกิดเสียงดังเปาะแปะภายใต้การทะลวงผ่านของหมอกหิมะ

สวนสายตาแปลกใจของคนกลุ่มหนึ่ง มันข้ามผ่านเสียงเอะอะโวยวายของมนุษย์

เสียงทั้งหมดเงียบลงอีกครั้ง

ในที่สุดมันก็พบสิ่งที่ตนจะตามหา…กระทั่งมันยังจะหยุดบินโดยสัญชาตญาณ ให้ที่นี่เป็นปลายทางของชีวิต

ชั่วขณะที่มันกำลังสับสนและว้าวุ่นใจนั้น…艾琳小說

มีมือขาวเนียนนุ่มคว้ามันไว้

“คุณหนู…นี่เป็นตัวที่เจ็ดของวันนี้แล้วนะ”

……………………….