ตอนที่ 24 เป้าหมายแท้จริงของบัณฑิตหนุ่ม

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 24 เป้าหมายแท้จริงของบัณฑิตหนุ่ม

“ตกลง เช่นนั้นก็พบกันตรงทางแยกด้านหลังภูเขา” ซึ่งเป็นสถานที่ที่นางสังหารหมูป่าตายในวันนั้น

เมื่อน้ำแกงไก่ได้ที่แล้ว หลินเว่ยเว่ยจึงม้วนบะหมี่ใส่ลงในถ้วยแล้วเติมน้ำแกงไก่พร้อมใส่เนื้อไก่ลงไป จากนั้นก็นำกะหล่ำปลีมาลวกและหั่นแตงกวาเป็นฝอยเพื่อนำไปคลุกเคล้ากับซอสเนื้อที่ผัดเมื่อวาน ส่งผลให้มีกลิ่นหอมเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม

หลินเว่ยเว่ยตักให้นางหวงชามใหญ่ ทั้งยังยกน่องไก่ให้อีกหนึ่งน่อง ส่วนอีกน่องก็ยกให้เจ้าหนูน้อยตามสัญญาที่ช่วยงานอย่างขะมักเขม้น

“ท่านแม่เจ้าคะ ลูกชายของน้าเฝิงข้างบ้านได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะเมื่อวาน ทั้งยังมีเลือดไหลออกมามาก วันนี้ข้าจึงตั้งใจแบ่งน้ำแกงไก่ให้หนึ่งชามเพื่อให้เขาได้ดื่มบำรุง ! ” หลินเว่ยเว่ยต้องการหาข้ออ้างเพื่อไปเยี่ยมเยียนบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานว่าตอนนี้อาการเป็นเช่นไรบ้าง ? สมองได้รับความกระทบกระเทือนมากเกินไปหรือไม่ ? เพราะหากล้มหัวกระแทกพื้นจนสติปัญญาโง่เขลาขึ้นมาก็มีหวังว่านางคงเสียดายใบหน้าที่แสนงดงามนั้นแย่ !

แต่เมื่อเดินถึงหน้าประตูบ้านก็ถอยกลับเข้ามาใหม่ ! นี่ฉันเป็นอะไรไป ? อย่าบอกว่าฉันถูกความงามของบุรุษล่อลวงเข้าแล้ว ? เมื่อชาติก่อนฉันเคยได้เห็นดาราหนุ่มหน้าอ่อนในโทรทัศน์มากมาย หรือเรียกได้ว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ในการพบบุคคลประเภทนี้อยู่แล้ว แต่หลังจากแยกกับหนุ่มหน้าหวานเมื่อวาน ฉันก็ยังคิดถึงเขาไม่ลืมเลือน !

“เหตุใดจึงเดินกลับมาอีก ? ” นางหวงเห็นว่าบุตรสาวมีท่าทีประหลาดจึงอดถามมิได้

“ตอนที่ข้าเอาเนื้อกวางไปให้ก็ดูเหมือนลูกชายของน้าเฝิงจะโกรธมาก หากข้าทะเล่อทะล่าเอาน้ำแกงไก่ไปให้อีก เช่นนั้นเขาจะไม่คิดว่าข้ามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงหรือเจ้าคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยคิดว่าหลังจากที่บัณฑิตหนุ่มล้มหัวฟาดพื้นเมื่อวานก็คล้ายกับแปลกไป ถึงกระนั้นเขาก็ยังชอบทำท่าทีโมโหดังเดิม !

นางหวงได้ยินบุตรสาวกล่าวเช่นนั้นก็หัวเราะ “ตลอดหลายปีมานี้น้าเฝิงช่วยครอบครัวของเราไว้มากมาย ตอนที่น้องสี่ของเจ้ายังเด็ก ช่วงฤดูทำนาแม่ต้องออกไปที่แปลงนา นางก็จะปักผ้าและคอยดูแลเขาให้แม่ ดังนั้นหากช่วยเหลือกันได้ก็ต้องช่วยเหลือกันไป อีกทั้งวันนี้อากาศยังร้อนจัด น้ำแกงไก่คงเก็บได้ไม่นานและพวกเราก็คงทานไม่หมด เราจะปล่อยให้ของกินเสียเปล่ามิได้ เช่นนั้นเจ้าจงนำไปให้เขาเถิด ถึงอย่างไรสุขภาพของพี่เฝิงก็ไม่ดีสักเท่าไร”

หลินเว่ยเว่ยตอบรับคำของมารดาจากนั้นก็ไปเปลี่ยนเป็นชามใหญ่และใส่เนื้อเพิ่มเข้าไปหลายชิ้น ทว่าเท่านั้นยังไม่พอ เพราะนางยังเอาปีกไก่ที่ชอบทานแบ่งให้บัณฑิตหนุ่มอีกหนึ่งปีก เฮ้อ…ความงามช่างบังตามนุษย์ได้จริง !

จากนั้นนางก็ผลักประตูบ้านข้าง ๆ เข้าไป หลินเว่ยเว่ยเพิ่งเดินเข้ามาในตัวบ้านและพอเงยหน้าขึ้นก็เห็นบัณฑิตหนุ่มกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ริมหน้าต่าง

แสงตะเกียงสีเหลืองอ่อนสั่นไหวไปตามแรงลมช่วยเพิ่มความอบอุ่นและความผ่องใสให้แก่เสี้ยวหน้านวลซึ่งมีผิวขาวราวหิมะ ขนตาเป็นแพหนาขยับในขณะที่กำลังตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือ ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อเม้มเข้าหากันคล้ายเจ้าของกำลังจดจ่ออยู่กับตำราจนไม่สนใจโลกภายนอก ช่างเป็นภาพที่สง่างามเหลือเกิน สีหน้าของเขาสงบนิ่งด้วยเครื่องหน้าที่ดูสะอาดสะอ้านและงดงามในฉบับบุรุษหน้าหวาน ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นไม่อาจละสายตาได้ ! หลินเว่ยเว่ยลอบกลืนน้ำลายลงคอพลางจับจ้องไปที่ชายหนุ่มรูปงามโดยไม่วางตา ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าใบหน้านี้น่าหลงใหลเหลือเกิน

เหมือนว่าเขารู้สึกได้ถึงสายตาของนางจึงวางตำราในมือลงแล้วเงยหน้ามองก็พบกับดวงตาสีดำขลับแสนลุ่มลึกและอ้างว้างของนาง นับเป็นแววตาที่ไม่ว่าผู้ใดได้มองก็พร้อมถูกกลืนกินได้ทุกเมื่อ

เจียงโม่หานเห็นบุตรสาวคนรองของตระกูลหลินแล้วเขาก็หันไปพูดบางอย่างกับนางเฝิงที่ขะมักเขม้นกับงานปักผ้า นางเฝิงได้ยินบุตรชายเอ่ยก็วางงานปักในมือลงแล้วเดินมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “เด็กน้อย เข้ามานั่งในบ้านก่อน ! ”

“น้าเฝิง วันนี้ที่บ้านข้าตุ๋นน้ำแกงไก่ ข้าจึงนำมาฝากท่านหนึ่งชาม ในน้ำแกงนี้ใส่ขิง ตังกุยและเก๋ากี้ลงไปด้วย มันจะช่วยบำรุงเลือดลมและถือว่าเป็นของบำรุงชั้นดี ! ” หลินเว่ยเว่ยยกชามน้ำแกงไก่ร้อน ๆ ให้ดูแล้วเดินตามเข้ามาในบ้าน จากนั้นก็วางไว้บนโต๊ะตรงเบื้องหน้าบัณฑิตหนุ่ม

นางเฝิงจึงกล่าวด้วยความละอายใจ “เจ้านี่นะ เมื่อวานข้าก็เพิ่งได้เนื้อกวางมาจากเจ้า ตอนนี้ยังทานไม่หมดเลย พอมาวันนี้เจ้าก็เอาน้ำแกงไก่มาให้อีก ครอบครัวของเจ้าก็ไม่ได้มีเงินเป็นถุงเป็นถังเช่นเดียวกัน อย่ามัวแต่ทำเช่นนี้เลย”

“น้าเฝิง น้องโม่หานอาการดีขึ้นหรือยัง ? ” หลินเว่ยเว่ยหันไปมองบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานอย่างเปิดเผย ตอนนี้บนศีรษะของเขามีผ้าสีขาวพันไว้โดยรอบ แม้สีเลือดจางลงบ้างแล้วแต่บาดแผลก็ยังสามารถสร้างความเปราะบางให้เจ้าของร่างได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นภายในใจของนางจึงเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา

“ข้าแก่กว่าเจ้าหนึ่งปี ! ” เจียงโม่หานมีแววตาสงบนิ่งราวกับว่าไม่มีสิ่งใดสามารถสร้างความหวั่นไหวแก่ดวงตาคู่นั้นได้ คล้ายว่าในเวลานี้เขาเป็นคนละคนกับเมื่อวาน

หลินเว่ยเว่ยมองรูปร่างเพรียวบางของเขาแล้วก้มมองพุงพลุ้ยของตน เจียงโม่หานจึงเข้าใจความหมายในแววตาของนางได้ทันที จากนั้นเขาก็ใช้มือพลิกตำราไปอีกหน้าแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าอายุ 15 ปี”

“ใช่แล้ว ! บางคนก็โตเร็ว บางคนก็โตช้า บุรุษสามารถเติบโตและมีรูปร่างสูงใหญ่ได้จนถึงอายุ 20 ปี ! เจ้ายังมีเวลาอีก 5 ปี ไม่ต้องเสียใจไปหรอก ! ” หลินเว่ยเว่ยพูดปลอบใจ

เจียงโม่หานเงยหน้ามองนางคล้ายกำลังพูดทางสายตาว่า เจ้าใช้สิ่งใดมองว่าข้าเสียใจ ? เมื่อชาติที่แล้วข้าเป็นถึงบุรุษผู้มีความแข็งแกร่งและอยู่สูงสุดกว่าบุรุษทั่วไป ร่างกายของข้าสูงใหญ่กำยำกว่าบรรดาทหารมากมายนับมิถ้วน แล้วจะมีสิ่งใดทำให้ข้าต้องเสียใจ ?

เขาวางตำราลงแล้วหันไปกล่าวกับนางเฝิงที่กำลังปักผ้าใกล้กับตะเกียง “ท่านแม่ แสงตะเกียงมิได้สว่างมากนัก ท่านหยุดปักผ้าแล้วมาดื่มน้ำแกงไก่จากนั้นก็หลับตาพักผ่อนสักครู่เถิดขอรับ”

นางเฝิงยื่นชามน้ำแกงไก่ไปตรงหน้าเขาแล้วกล่าวว่า “เด็กน้อยอุตส่าห์นำมาให้เจ้าดื่ม เจ้าก็รีบดื่มเถิด ประเดี๋ยวมันจะเย็นหมด”

จากนั้นนางก็หันไปกล่าวกับหลินเว่ยเว่ยว่า “ท่านหมอเหลียงมาดูอาการให้แล้วบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก หากมิได้รับการห้ามเลือดทันเวลาก็คงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก ! ตอนนี้เขาแค่ต้องอยู่นิ่ง ๆ เพื่อรักษาตัวและค่อย ๆ ฟื้นฟูจนหายดี”

“ขอแค่น้องโม่หาน…เอ่อ บัณฑิตไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ตั้งแต่โบราณมีคำกล่าวที่ว่า ‘ญาติที่อยู่ไกลก็ยังไม่สนิทใจเท่าเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกัน’ พวกเราไม่ต้องขอบคุณอันใดกันทั้งสิ้นแล้วก็ไม่จำเป็นต้องทำเหมือนว่าเป็นคนนอกด้วย น้าเฝิง ท่านเอาชามมาใส่น้ำแกงเถิด ประเดี๋ยวข้าจะกลับก่อน” หลินเว่ยเว่ยรู้สึกท้องร้องโครกครากขึ้นมาจึงขอตัวลาอย่างแสนเสียดาย

ชามที่หลินเว่ยเว่ยนำมาเป็นชามที่ใช้เฉพาะของตนเองซึ่งมันเป็นชามที่ใหญ่มาก เมื่อเทเปลี่ยนชามก็ต้องใช้ชามถึงสองใบเต็ม จากนั้นนางก็หัวเราะคิกคักแล้วเดินออกไป

นางเฝิงไปส่งอีกฝ่ายแล้วก็หันมาพูดกับเจียงโม่หาน “หลังจากที่ลูกสาวคนรองของตระกูลหลินตกไปในสระน้ำบนภูเขาก็เหมือนว่าได้รับความโชคดีหลังการประสบทุกข์ภัย ตอนนี้นางมิได้โง่เขลาเบาปัญญาอีกต่อไปแล้ว เรียกว่านางเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นมิน้อยเลย”

เจียงโม่หานยื่นชามที่มีเนื้อไก่มากกว่าไปตรงหน้ามารดา นางเฝิงเห็นเช่นนั้นก็รีบปรามบุตรชายทันที “น้องเอามาให้เจ้าดื่มก็รีบดื่มไปเถิด รีบทำให้ร่างกายแข็งแรงโดยเร็ว เพราะปีหน้าเจ้าตั้งใจจะลงสอบเยวี่ยนซื่อมิใช่หรือ ? เจ้าเตรียมตัวมานานเพียงนี้แล้ว อย่าปล่อยให้เสียเปล่าเลย”

เจียงโม่หานยังคงยืนยันคำเดิม “แต่มันก็มีสองชามมิใช่หรือ ? ข้าดื่มเพียงชามเดียวก็พอแล้ว…อีกอย่างข้าตั้งใจว่าจะยังไม่ร่วมสอบเยวี่ยนซื่อในปีหน้าขอรับ ! ”

“เหตุใดจึงไม่เข้าสอบเล่า ? ” นางเฝิงถามด้วยความสงสัยและเพราะครอบครัวค่อนข้างลำบากยากเข็ญ กอปรกับบุตรชายเป็นผู้มีความตั้งอกตั้งใจร่ำเรียน นางอยากให้เขาสอบได้และมีชื่อเสียงเร็วขึ้นเพราะจักได้ช่วยลดภาระที่บ้านให้น้อยลง แต่เมื่อเห็นว่าบุตรชายกดดันถึงเพียงนี้ นางเฝิงก็ทั้งรู้สึกสงสารและรู้สึกตำหนิตนเองมิได้

เจียงโม่หานก้มหน้าก้มตาเป่าไล่ความร้อนในน้ำแกงไก่ หลังดื่มไปหนึ่งอึกแล้วภายในดวงตาของเขาก็มีประกายขึ้นมา การทดสอบเยวี่ยนซื่อปีที่แล้วเกิดการฉ้อโกงขึ้นในจวนชิงอันและคดีในครั้งนั้นยังเกี่ยวข้องกับบัณฑิตเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้คะแนนของบัณฑิตห้าสิบอันดับแรกถือเป็นโมฆะและดูเหมือนว่าทุกคนจะพลาดไปกับการทดสอบครั้งนั้นซึ่งเขาไม่อยากผิดพลาดและโดนทำลายชื่อเสียงเหมือนชาติที่แล้ว !

แน่นอนว่าเขาไม่อาจบอกเหตุผลแท้จริงให้แก่มารดาได้ เขาเผยแววตาอ่อนโยนและหนักแน่นพร้อมกล่าวว่า “ข้ามีเป้าหมายที่จะสอบได้เป็นหลิ่นเซิง1 ตอนนี้ข้ายังเตรียมความพร้อมได้ไม่ดีพอจึงอยากทดสอบในครั้งหน้าแทนขอรับ”

ทุกสามปีจะมีการสอบเยวี่ยนซื่อถึง 2 ครั้งและเพราะคดีฉ้อโกงที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีหน้าทำให้เมื่อชาติที่แล้วทางราชสำนักส่งเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจมาคอยควบคุมดูแลให้การสอบ ดังนั้นเมื่อกลับชาติมาเกิดใหม่เขาก็อยากสอบเข้าเรียนขุนนางให้ได้ ไม่ว่าต้องประสบกับสิ่งใดก็ตาม !

แน่นอนว่าการสอบถัดไปต่างหากคือเป้าหมายที่แท้จริง หากเขาไม่ต้องการโดนผู้อื่นมาบงการชีวิตก็ต้องมีความสามารถและคุณสมบัติมากพอมิใช่หรือ ? ในชาตินี้เขามีคนที่ต้องปกป้องจึงไม่รีบร้อนปีนถึงจุดสูงสุดเหมือนชาติก่อนอีกแล้ว คราวนี้เขาต้องการก้าวไปทีละขั้นเพื่อทำให้ก้าวเดินได้อย่างมั่นคง !

1 หลิ่นเซิง หรือบัณฑิตยุ้งฉาง คือผู้สอบได้คะแนนในระดับดีที่สุดของการสอบเยวี่ยนซื่อซึ่งบัณฑิตกลุ่มนี้จะได้รับรางวัลจากราชการให้สำเร็จการสอบโดยสามารถเข้าศึกษาต่อในบัณฑิตยสถานของราชสำนักในฐานะก้งเชิง หรือบัณฑิตบรรณาการ และมีสิทธิเข้าสอบในระดับมณฑลหรือเซียงชื่อได้ อาจมีบางคนสามารถข้ามระดับไปสอบในระดับเมืองหลวงได้ด้วย

ตอนต่อไป