ตอนที่ 25 หนีเร็ว !
“หานเอ๋อร์ แม่ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก เจ้าตัดสินใจเองเถิด ขอเพียงอย่าสร้างความกดดันให้ตนมากเกินไปก็พอ ! ” จะว่าไปแล้วรออีกสักปีสองปีก็ช่างปะไร ถึงอย่างไรหมอเหลียงก็กล่าวไว้แล้วว่าหานเอ๋อร์ควรได้รับการรักษาและฟื้นฟูประมาณปีครึ่ง มิเช่นนั้นอาจทำให้เขาเจ็บป่วยเรื้อรังเอาได้
“ท่านแม่ ท่านเองก็ต้องดูแลสุขภาพเช่นเดียวกัน ท่านจะเอาแต่ปักผ้าทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้มิได้ หากสุขภาพของท่านแย่ขึ้นมา ลูกชายจะเรียนหนังสืออย่างสบายใจได้อย่างไรขอรับ ? ” แม้ว่าในน้ำเสียงของเจียงโม่หานเต็มไปด้วยความอ่อนโยนแต่มีพลังที่ทำให้ยากจะโต้แย้งได้
นางเฝิงเห็นว่าบุตรชายมิใช่คนเจ้าอารมณ์อีกต่อไป ทั้งยังรู้จักเป็นห่วงเป็นใยสุขภาพของมารดา นางจึงกล่าวด้วยความดีใจ “ได้ หลังจากนี้แม่จะฟังเจ้า ! ”
“เช่นนั้น…ท่านแม่ดื่มน้ำแกงไก่แล้วหรือยัง ! ” เจียงโม่หานยักคิ้วให้มารดาคล้ายต้องการบอกว่า ‘ท่านแม่เป็นคนพูดเองว่าหลังจากนี้จะฟังคำของข้าทุกอย่างมิใช่หรือ ? ’
“เจ้านี่นะ ! ” นางเฝิงคีบเนื้อไก่ในชามของตนใส่ในชามของบุตรชาย จากนั้นนางก็ดื่มน้ำแกงไก่รวดเดียวจนหมดเพราะรู้ดีว่าหากตนไม่ดื่ม บุตรชายก็ไม่มีวันยอมดื่มเป็นอันขาด การได้มีบุตรชายกตัญญูเช่นนี้ ต่อให้ต้องลำบากและเหนื่อยยากเพียงใดก็คุ้มค่าที่จะทำเพื่อเขา
“ฝีมือของพี่สะใภ้หลินนับวันก็ยิ่งดีขึ้น ! ”
รสชาติน้ำแกงหอมหวาน ความร้อนและเวลาในการตุ๋นกำลังดี เรียกได้ว่าฝีมือการทำอาหารไม่ด้อยไปกว่าพ่อครัวเอกในจวนของเจียงโม่หานเมื่อชาติที่แล้วเลย
ทว่าเจียงโม่หานได้ยินความเคลื่อนไหวจากบ้านตระกูลหลินอย่างชัดเจน หลังจากสติปัญญาของบุตรสาวคนรองกลับมาเป็นปกติแล้ว นางไม่เพียงมีฝีปากที่เก่งขึ้นเท่านั้นเพราะขณะเดียวกันยังมีฝีมือในการทำอาหารแสนยอดเยี่ยมราวกับว่าได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ช่วงเวลานี้ของอดีตชาติ บุตรสาวคนรองตระกูลหลินได้ตายเพราะจมน้ำในสระบนภูเขา หรือว่า…มีวิญญาณกลับมาเกิดใหม่ในร่างของนาง ? เจียงโม่หานหรี่ตาลงในขณะกำลังพิจารณาถึงข้อสันนิษฐานของตน นัยน์ตาของเขาลึกลงราวกับค่ำคืนอันมืดมิดที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งได้
เช้ามืดวันต่อมา ท้องฟ้าเริ่มทอประกายแสงสว่าง ฝูงนกน้อยเกาะกิ่งไม้ส่งเสียงร้องสร้างความสดชื่นให้แก่เช้าวันใหม่ หลินเว่ยเว่ยถือถังน้ำกลับมาจากด้านนอกซึ่งนางได้รดน้ำพืชพันธุ์บนที่ดิน 3 หมู่ของครอบครัวเสร็จแล้ว
ขณะนี้พี่สาวก็ได้ทำอาหารเสร็จเรียบร้อยเช่นกัน หลังจากที่เห็นว่าหลินเว่ยเว่ยกลับมาจากแปลงนาแล้วนางก็เบือนหน้าหนีโดยไม่พูดจา
หลินเว่ยเว่ยนำแป้งทอดมา 3 ชิ้นและราดด้วยซอสเนื้อผัด จากนั้นก็หยิบเอากระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำดื่มของตนขึ้นมาพร้อมเดินออกไปด้านนอกพลางทานแป้งทอดไปด้วย
“พี่รอง ท่านจะไปที่ใด ? ” เจ้าหนูน้อยยกชามใส่ซุปเส้นหมี่ที่เย็นแล้วออกมาจากในบ้านพลางเดินตามนางเพื่อให้นางดื่มสักสองสามคำ
หลินเว่ยเว่ยดื่มซุปเส้นหมี่จนหมดในรวดเดียว จากนั้นก็ลูบศีรษะของน้องชายด้วยความเอ็นดู “เจ้าจงเป็นเด็กดีอยู่ที่บ้านเป็นเพื่อนท่านแม่ ข้าจะไปล่ากระต่ายป่าและไก่ป่ามาทำอาหารให้เจ้า ! ”
หลังจากนางหวงที่อยู่ในบ้านได้ยินก็รีบส่งเสียงมาจากด้านใน “เจ้าอย่าไปบนภูเขาเลย ที่นั่นมีทั้งหมีตัวใหญ่และหมาป่า มันอันตรายมาก ! ”
“เข้าใจแล้วท่านแม่ ข้าจะเดินตามละแวกหมู่บ้านนี่แหละเจ้าค่ะ ! ” หลินเว่ยเว่ยแบกจอบขึ้นมาแล้วตอบรับอย่างขอไปที จากนั้นก็ทำท่าไขว้นิ้วมือไว้ด้านหลังโดยไม่ให้ผู้ใดเห็น
เมื่อมาถึงพื้นที่บริเวณแอ่งกระทะของด้านหลังภูเขา พรานหวังถือเสียมและพลั่วมาด้วย ที่ขาของเขายังมีมีดสั้นแหลมคมมัดเอาไว้ ดูเหมือนว่าเขาจะรออยู่ที่นี่มานานหลายชั่วยามแล้ว
หลังจากที่เห็นว่าหลินเว่ยเว่ยเดินมามือเปล่า เขาก็อดเตือนมิได้ “เจ้าไม่เอาสิ่งใดมาป้องกันตัวเลยหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยก้มมองจอบในมือของตน หรือว่ายังเตรียมการป้องกันไม่พอ ? นางจึงมองไปรอบด้านแล้วเลือกกิ่งไม้ที่มีขนาดเท่าข้อมือของตน จากนั้นก็ออกแรงหักมัน “ลุงหวัง ข้าขอยืมมีดของท่านหน่อย”
หลังรับมีดมาจากพรานหวังแล้วนางก็ทำการเลาะกิ่งเล็กกิ่งน้อยและริดใบออกจนหมด จากนั้นก็เหลาให้มันมีลักษณะเหมือนกระบองแล้วแบกไว้บนบ่า ด้วยแรงและพละกำลังของนาง หากใช้กระบองนี้ฟาดลงไปก็อาจทำให้ศีรษะของหมียักษ์แหลกกระจุยได้ !
ทั้งคู่เดินไปตามเส้นทางเล็ก ๆ ที่ทอดยาวเข้าไปในป่า ตอนแรกยังพอมีทางที่เดินง่าย แต่ยิ่งเดินเข้าไปลึกมากเท่าไรก็พบว่าทางเดินยากขึ้นเนื่องจากรอบด้านเต็มไปด้วยวัชพืชที่ขึ้นรกสูง ทำให้กระบองในมือของหลินเว่ยเว่ยกลายเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับเปิดทางทันที นางกวาดกระบองไปมา ทำให้บรรดาหญ้ารกชัฏในบริเวณนั้นถูกกวาดจนราบเป็นหน้ากอง
พรานหวังเดินตามหลังนางไปพลางก้มมองหาร่องรอยของสัตว์ป่าในระหว่างทางไปด้วย และเขาก็พบว่ายิ่งเดินเข้าด้านในก็ยิ่งพบร่องรอยของสัตว์ป่าเป็นจำนวนมาก เขาชี้ไปยังรอยหญ้าที่ล้มเป็นแนวซึ่งมิได้โดดเด่นมากนักพร้อมกล่าวว่า “นี่คือรอยเท้าของกระต่ายป่า ส่วนใหญ่ถ้าสัตว์ป่าออกมาจากตรงไหนก็จะกลับมาตรงนั้น หากเราวางกับดักไว้ที่นี่ก็มีโอกาสสูงที่จะจับกระต่ายป่าได้”
หลินเว่ยเว่ยฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ในใจคิดว่าพรานหวังเป็นพรานล่าสัตว์ที่มีประสบการณ์สูงจริงด้วย เขาสามารถบอกได้ว่าบริเวณใดและเวลาใดมีสัตว์ป่าผ่านมาโดยอาศัยการสังเกตจากรอยเท้า มูลสัตว์และร่องรอยที่สัตว์ป่าทิ้งไว้บนหญ้าซึ่งเขาสามารถวิเคราะห์ได้เกือบแม่นยำเต็มร้อย
ในเมื่อนางและเขาตัดสินใจขึ้นมายังป่าลึกบนภูเขาแล้ว แน่นอนว่าเป้าหมายต้องมิใช่บรรดาไก่ป่าและกระต่ายป่าซึ่งเป็นสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยแน่นอน ในมิช้าพรานหวังก็ได้พบรอยเท้ากวางเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด อีกทั้งด้านหน้ายังมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ แต่เพราะความแห้งแล้งจึงเหลือเพียงหลุมน้ำตื้น ในแอ่งก็มีรอยเท้าสัตว์เล็กทุกชนิดมากินน้ำ
“บริเวณนี้ไม่เลวทีเดียว หากพวกเราขุดหลุมพรางไว้ที่นี่ รับรองเลยว่าพวกเราคงจับกวางป่าหรือไม่ก็เก้งได้บ้าง ! มิแน่เราอาจโชคดีจับหมูป่าได้ ! ” พรานหวังเอ่ยด้วยความดีใจ
จากนั้นเขาก็พูดกับหลินเว่ยเว่ยอีกว่า “มนุษย์มีวิถีของมนุษย์ สัตว์ก็มีเส้นทางของมันเช่นเดียวกัน ก่อนที่เราจะวางกับดัก อันดับแรกต้องสังเกตและตรวจสอบว่าบริเวณนี้มีร่องรอยของสัตว์ป่าเดินผ่านไปมาหรือไม่ สัตว์มักใช้เส้นทางเดียวกันในการออกหาอาหารหรือออกไปเที่ยวเล่น จากนั้นมันก็กลับมาที่รังด้วยเส้นทางเดิม ดังนั้นเส้นทางที่มีพวกสัตว์เดินผ่านจึงเป็นจุดเหมาะสมในการวางกับดักที่สุด แล้วสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งที่ใช้สำหรับสังเกตเส้นทางเดินของสัตว์ก็คือมูลของพวกมันรวมถึงบรรดาต้นหญ้าที่มันเดินข้ามไป
มือใหม่เช่นเจ้าอาจยังแยกแยะร่องรอยของสัตว์ได้ยาก ดังนั้นพวกเราจะเริ่มค้นหาจากบริเวณที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ไม่อาจแยกจากแหล่งน้ำได้ ยกตัวอย่างเช่นตามลำธาร เราควรสังเกตทั้งสองฝั่งของลำธารให้ดีว่ามีสัตว์อยู่หรือไม่ หรือบางทีก็ไปสำรวจบริเวณรอบทะเลสาบ ข้ารับรองได้เลยว่าเราจะไม่เสียเปล่าแน่นอน !
เจ้าดูสิ บริเวณนี้เป็นจุดที่มักมีฝูงกวางมาดื่มน้ำมากที่สุด ดังนั้นพวกเราควรทำหลุมพรางบริเวณนี้ ! ”
พรานหวังเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้ให้หลินเว่ยเว่ยฟังหมดเปลือก ในมิช้านางก็สามารถจับจุดทักษะจนกระทั่งสำรวจบริเวณหญ้ารกทึบที่ข้างแอ่งน้ำและพบเข้ากับรอยเท้ารวมถึงมูลของสัตว์ป่าในบริเวณนั้น
มันน่าจะเป็นรอยเท้าของหมูป่าที่มีน้ำหนักไม่น้อยกว่าร้อยชั่ง ซึ่งหากนำไปขายก็คงได้สิบกว่าตำลึง แต่ถ้าเป็นกวางป่าก็ถือว่าไม่เลวเพราะทั่วทั้งตัวของมันเปรียบเสมือนสมบัติที่สามารถขายได้ทุกส่วน อีกทั้งบรรดาเศรษฐีที่อยู่ในเมืองก็มักชอบทานสัตว์ประเภทนี้เพราะเชื่อว่าเป็นยาชูกำลัง
พรานหวังเดินมาดูบริเวณที่นางเลือกไว้ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างชื่นชมพลางคิดในใจว่าเด็กน้อยคนนี้เกิดมาเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการล่าสัตว์เสียจริง ทั้งที่อายุยังน้อยแต่มีทักษะยอดเยี่ยม !
ทั้งนี้เขายังบอกหลินเว่ยเว่ยว่าไม่ให้ทิ้งกลิ่นในระหว่างวางกับดัก ดังนั้นก่อนวางกับดักนางต้องเอาโคลนทามือเสียก่อน หลังวางกับดักเสร็จแล้วก็ให้ใช้มูลที่อยู่รอบด้านรวมถึงเศษใบไม้ใบหญ้ามาปกคลุมไว้เพื่อมิให้สัตว์น้อยใหญ่เห็นเข้า !
ด้วยคำแนะนำของพรานหวังทำให้หลินเว่ยเว่ยเลือกสถานที่เหมาะสมและเริ่มขุดหลุม จากนั้นนางก็คลุมมันด้วยกิ่งไม้และหญ้าแห้งพร้อมใช้ใบไม้ที่เปื้อนดินและมูลสัตว์โรยไว้ด้านบนของหลุมพราง เนื่องจากนางมีกำลังมากจึงทำให้สามาถขุดหลุมได้ขนาดใหญ่และรวดเร็ว
หลุมพรางของหลิ่นเว่ยเว่ยเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่พรานหวังขุดไปได้เพียงครึ่งเดียว ด้วยความช่วยเหลือจากหลินเว่ยเว่ยจึงทำให้หลุมพรางของพรานหวังเสร็จเร็วขึ้น เขาจึงพยักหน้าให้หลินเว่ยเว่ยอย่างพึงพอใจ
“ไปกันเถิด พวกเราไปดูรอบบริเวณนี้กัน ประเดี๋ยวข้าจะสอนเจ้าวางกับดัก ! ” พรานหวังเดินนำหลินเว่ยเว่ยเข้าไปยังป่าบริเวณใกล้เคียง
หลินเว่ยเว่ยได้เรียนรู้วิธีผูกเงื่อนกับดัก จากนั้นนางจึงขอยืมเชือกที่พรานหวังเตรียมมาแล้วเลือกมุมที่คาดว่าพวกกวางป่าและเก้งน่าจะผ่านมาบริเวณนั้นพร้อมวางกับดักลงไป
พรานหวังเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งตื่นเต้น มันทำให้เขารู้สึกเหมือนเข้าไปในสวนร้อยสมบัติ ที่จริงเมื่อก่อนเขาก็เคยมาเยือนที่แห่งนี้ มันยังมีสัตว์ป่าปรากฏตัวให้เห็นไม่มากนัก อีกทั้งตอนนั้นพรานล่าสัตว์ยังพบร่องรอยของสัตว์ป่าน้อยมาก ไม่เหมือนตอนนี้ที่สามารถเห็นร่องรอยใหม่ได้แทบทุกย่างก้าว
ตลอดหลายปีมานี้ไม่มีพรานป่าคนใดกล้าขึ้นเขามาล่าสัตว์จึงทำให้สัตว์ป่าขยายพันธุ์จนมีจำนวนมากขึ้น พอเดินไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็นั่งยองแล้วจ้องไปที่มูลสัตว์กองหนึ่ง
จากนั้นพรานหวังก็เปลี่ยนสีหน้าทันทีแล้วรีบวิ่งกลับมาอยู่ข้างหลินเว่ยเว่ยพร้อมกล่าวว่า “ที่นี่ไม่ปลอดภัย ข้าเห็นมูลของหมียักษ์ เราไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกินไป เอาไว้วันพรุ่งนี้ค่อยมาดูกับดักอีกที ! ”
หลินเว่ยเว่ยออกมาจากพุ่มไม้และถือไข่ของไก่ป่ามาสองสามฟอง เมื่อครู่นี้นางพบรังของไก่ป่า น่าเสียดายเหลือเกินที่ไม่มีแม่ไก่อยู่ที่รัง มันน่าจะออกไปหาอาหาร ! แม้ไม่มีตัวแม่ทว่าเหลือไข่ไว้ที่รังก็ยังดี เย็นนี้นางจะได้ทำเจี่ยวจือ1 !
แต่พอนางหันกลับมาก็เห็นสีหน้าตกใจกลัวของพรานหวัง นางจึงลูบศีรษะของตนพลางลูบหน้าด้วยความงุนงง ใบหน้าของข้าน่ากลัวเพียงนั้นเชียวหรือ ?
หลังจากที่พรานหวังตื่นตกใจสุดขีดแล้วก็ชี้ไปที่ด้านหลังของนางด้วยมืออันสั่นเทาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า “หนีเร็ว ! ”
1 เจี่ยวจือ คือ เกี๊ยวซ่า
ตอนต่อไป