ไจแอนท์(giant) สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณ์รูปร่างเหมือนมนุษย์ เพียงแต่มีขนาดใหญ่โตกว่าหลายเท่า ความสามารถและอภินิหารต่างๆขึ้นอยู่กับพื้นเพทำเนียมของละแวกนั้น เช่น ไซคลอปของกรีก โอเกอร์ของฝรั่งเศษ โจตันของนอร์ส แทตย์ของอินเดีย บลา บลา บลา ในนิยายนี้ไจแอนท์คือมนุษย์ตัวใหญ่ครับ
คำว่าไจแอนท์มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน กีก้า(gigas) ที่แปลว่าใหญ่โตนั่นเอง

 

 

 คณะอินกองตั้งค่ายพักแรมบริเวณเชิงเขาใกล้ป่าแมงมุม

 

 พวกเขาในตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นมืออาชีพด้านการตั้งค่ายเลยทีเดียว คารัคจัดการเรื่องฟืนไฟและสำรวจรอบบริเวณกับโรบิน ส่วนดาฟเน่จัดแจงเรื่องน้ำ

 

 อินกองไม่เหลือหน้าที่ให้ทำ เขาจึงนั่งฝึกลมปราณกับเคทลิน

 

 ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากันในลักษณะเช่นเดียวกับในที่พักของไลแคนโทรป ทั้งสองประสานมือกระตุ้นการโคจรลมปราณจากแก่นทั้งสี่ หลังจากเข้าใจขั้นตอนแล้ว กระบวนการนี้ก็สามารถทำได้ไม่ยาก

 

 ในการโคจรลมปราณครั้งที่แล้วเรียกได้ว่าเป็นดั่งวังวนที่รุนแรง แต่ในครั้งนี้สิ่งที่เกิดขึ้นต่างออกไป ลมปราณของเคทลินเป็นตัวชี้นำโดยมีลมปราณของอินกองคล้อยตาม ความรู้เกี่ยวกับเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพของเคทลินช่วยให้เคล็ดไอศวรรย์ราชันสุรของอินกองพุ่งทะยานเหนือขึ้นไปอีกระดับ

 

 เพื่อที่จะให้การฝึกสามารถดำเนินไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การศึกษาเคล็ดลับเล็กน้อยเป็นสิ่งที่ต้องทำในยามว่าง และนั่นก็คือสิ่งที่อินกองทำมาตลอดตั้งแต่เรียนรู้เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ ฝึกฝนในกลเม็ดยิบย่อยพื้นฐาน

 

 ซึ่งทั้งหมดที่สั่งสมมาก็แสดงผลให้เห็นในการฝึกครั้งนี้ ลมปราณของทั้งสองก็สามารถโคจรผสานกันได้อย่างกลมเกลียว แม้จะเพิ่งเริ่มต้นแต่ก็เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จที่ไม่น้อย

 

 ทั้งสองฝึกฝนกันอย่างลืมวันเวลา หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง เวลาล่วงเลยจนสมาชิกเดินทางที่เหลือต่างทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย

 

 อุณหภูมิอากาศเย็นตัวลง

 

 ความเย็นที่เปลี่ยนแปลงนี้ทำให้อินกองรู้สึกตัวตื่นจากภวังค์

 

 เคทลินก็ตอบสนองต่อลมปราณของอินกองที่คลายตัวลง ทั้งสองระงับลมปราณและลืมตาขึ้นอย่างช้าช้า แม้จะยังสับสนอยู่บ้างที่เวลาได้ผ่านเลยไปหลายชั่วโมง

 

 ไม่มีแสงแดดอันเจิดจ้ายามเที่ยง แต่เป็นท้องฟ้ายามพลบค่ำที่มีสีออกม่วง เป็นรัตติกาลที่คุกรุ่นไปด้วยไอสีม่วงอันแปลกประหลาด

 

 สิ่งที่เกิดขึ้นเรียกได้ว่าแปลกมาก ยิ่งอินกองครุ่นคิดเขาก็ยิ่งสับสน ถึงเขาจะไม่เคยสังเกตการเปลี่ยนแปลงกลางวันกลางคืนอย่างจดจ่อ บางทีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้อาจเป็นเรื่องปกติธรรมดา?

 

 อินกองเงยหน้าขึ้นมองหาดวงจันทร์บนท้องฟ้า

 

 สิ่งที่เห็นทำให้เขาสับสนมากยิ่งขึ้น

 

“เขียว?”

 

 นั่นเพราะดวงจันทร์ที่อินกองเห็นเรืองแสงสีเขียว ราวกับก้อนพิษที่พร้อมจะหลอมละลายโลกทั้งใบ

 

 ยิ่งไปกว่านั้น ท้องฟ้ากลับไม่มีดวงดาวสักดวง อินกองรีบก้มหน้าลงมามองรอบตัว

 

 เคทลินก็เงยหน้ามองท้องฟ้าเช่นเดียวกับที่เขาทำ ทว่าท่าทางของนางกลับผิดแปลกออกไป นางกระพริบตาอย่างรวดเร็ว อ้าปากค้าง ราวกับต้องมนต์สะกด

 

 เคทลินหันมามองอินกอง ก่อนนางจะหอนขึ้นอย่างกระทันหัน

 

“บุฮุ้วววววววว!”

 

 เสียงหอนในลักษณะของหมาป่าดังขึ้น อินกองรีบเข้าไปพยายามรั้งตัวเคทลินไว้แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้เคทลินที่เป็นลูกครึ่งระหว่างสุรกับไลแคนโทรปจะไม่สามารถใช้ร่างสัตว์สมิงได้ แต่ด้วยพละกำลังของไลแคนโทรปและลมปราณในตัวก็ทำให้นางมีกำลังมหาศาล

 

 ในทางทฤษฎีแล้วอินกองไม่สามารถจะรั่งตัวนางไว้ได้

 

‘เอ๋?’

 

 อินกองก้มลงมองแขนทั้งสองของเขาอย่างงุนงง เคทลินถูกอินกองกอดรัดไว้และพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ แน่นอนว่าอินกองก็สั่นจากแรงดิ้น แต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะหมดแรง

 

 อินกองใช้แรงเข้ารั้งตัวเคทลินเอาไว้ นางพยายามต่อต้านแต่ก็ไม่เป็นผล

 

‘นี่เรามีแรงมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?’

 

 ผลที่เกิดขึ้นก็คืออินกองมีแรงเหนือกว่าเคทลิน ที่เขาไม่เคยสังเกตก็เพราะแรงเหล่านี้ทยอยเพิ่มขึ้นทีละน้อย และไหนจะค่าสถานะที่เพิ่มขึ้นเวลาที่เขาเพิ่มระดับเลเวลอีก

 

 อินกองในตอนนี้มีเลเวลเกินยี่สิบไปแล้ว นั่นทำให้ค่าสถานะพละกำลังของเขาเกินแปดสิบแต้ม ค่านี้มีเยอะกว่าค่าสถานะอื่น นั่นเพราะอินกองได้ใช้แต้มสถานะเพิ่มค่าสถานะนี้เข้าไปด้วย เมื่อคิดย้อนเปรียบเทียบกับนาย ก เช่นในตอนแรกเริ่ม เรียกได้ว่าเขามีพลังเป็นแปดเท่าของนาย ก เรียกได้ว่าน่ายำเกรงทีเดียว

 

 เคทลินยังคงพยายามดิ้นอยู่ก่อนจะล้มลง อินกองใช้โอกาสนี้ขึ้นคร่อมแล้วจับขาทั้งสองของนางไว้

 

“นูนะ! ตั้งสติหน่อยครับนูนะ!”

 

 เคทลินหอนตอบกลับมา ไม่ใช่เสียงร้องทั่วไป เป็นเสียงเหมือนนางพยายามส่งสัญญาณถึงบางสิ่งบางอย่าง

 

 ทำไมถึงเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น? อินกองรีบหันมองรอบตัว ไม่ใช่แค่เพียงเคทลินที่ผิดแปลกไป

 

“เซร่า! นี่ข้าเอง คารัค!”

 

 คารัคส่งเสียงอย่างร้อนรนให้เซร่าที่กำลังหอนคำรามในร่างสัตว์สมิง เจ้าออร์คเดินกางมือออกเข้าหานาง ราวกับพยายามบอกว่าตัวมันไม่มีพิษภัย

 

“ใจเย็นก่อน นี่จำข้าไม่ได้หรือไง?”

 

 คารัคยิ้มให้กับนาง เซร่าจ้องมองใบหน้าของคารัคครู่หนึ่งก่อนจะแตะเข้าระหว่างขาทั้งสองของมัน

 

“อุก!”

 

 คารัคทรุดกองลงกับพื้นในทันที โรบินที่กำลังคลุ้มคลั่งคว้ามือไปหยิบดาบชี้จ่อใส่เดเลีย การจะควบคุมสถานการณ์ที่เหล่าไลแคนโทรปกำลังคลุ้มคลั่งดูเป็นไปยาก

 

 ขณะที่อินกองกำลังคิดหาทางออก เฟลิซีก็ตะโกนขึ้น

 

“หลับตา!”

 

 แม้อินกองจะไม่เข้าใจความคิดของนาง แต่เขาเชื่อมันในตัวนางและหลับตาลงทันที

 

“แฟลช!”

 

 เฟลิซีร้องออกมาอีกครั้ง แสงสว่างส่องวาบขึ้นจากมือทั้งสองของนาง แสงที่ส่องออกมาเจิดจ้ามาก จนแม้แต่ตัวเฟลิซีเองก็ไม่กล้าลืมตา

 

“ก๊าซซซ!”

 

 เซร่ากับโรบินกรีดร้องขึ้นพร้อมกัน ทั้งสองสูญเสียทัศนวิสัยและล้มลง เฟลิซีรีบคลายเวทมนตร์ของนางก่อนจะร่ายเวทมนตร์อีกชนิด

 

“บายด์!”

 

 เชือกจากเวทมนตร์ก่อตัวขึ้นมัดร่างไลแคนโทรปทั้งสอง แต่นี่ก็เป็นเพียงมาตรการชั่วคราวเท่านั้นเพราะเชือกเหล่านี้ไม่สามารถทนทานแรงเซร่ากับโรบินได้ เฟลิซีถอนหายใจพลางรีบสั่งคารัคและเดเลีย

 

“ปิดตาพวกนั้นซะ นั่นน่าจะช่วยให้ใจเย็นลงได้!”

 

 แม้เซร่ากับโรบินจะไม่ใช่สัตว์ แต่ด้วยความที่ทั้งสองอยู่ในร่างสัตว์สมิง วิธีการฝึกสัตว์จึงสามารถนำมาใช้กับทั้งสองได้อยู่

 

 คารัคเข้าไปจับตัวเซร่าจากด้านหลังแล้วใช้มือปิดตาของนางไว้ ส่วนเดเลียก็นำเศษผ้าเข้ามัดปิดตาของโรบิน

 

 ทั้งสองดูใจเย็นลง ดูเหมือนว่าวิธีนี้จะได้ผล และในครั้งนี้ผู้ที่อุทานร้องขึ้นก็เป็นดาฟเน่

 

“พวกนั้นคือภูติที่คลุ้มคลั่ง! ระวังตัวอย่าให้ถูกสิง!”

 

 สิ้นคำพูด ดาฟเน่ก็หลับตาลงพร้อมพึมพำท่องคาถาบางอย่าง ดูเหมือนจะเป็นพรที่ช่วยปัดเป่าภูติที่สิงเซร่ากับโรบินให้ออกจากร่าง

 

 อินกองพอจะเข้าใจสถานการณ์ในที่สุด เขามองลงไปยังเคทลินที่ถูกจับไว้อยู่พลางตะโกนบอกกรีนวินด์

 

“กรีนวินด์!”

 

‘ข้าจะลองดู!”

 

 กรีนวินด์เข้าใจเจตนาของอินกองและใช้พลังของนางในทันที สายลมโบกพัดวนรอบศีรษะของเคทลิน

 

 ดูเหมือนว่าจะได้ผล เคทลินเริ่มอ่อนแรงลง นางหลับตาและหยุดดิ้นในที่สุด

 

“ดูเหมือนจะใจเย็นกันหมดแล้ว?”

 

 อินกองหันไปมองด้านหลัง ทั้งเซร่ากับโรบินต่างก็สงบนิ่งไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด

 

“สลีป”

 

 หลังจากที่ส่งเซร่ากับโรบินเข้าห้วงนิทรา เฟลิซีก็เดินมาทางอินกองแล้วใช้เวทมนตร์ทำให้เคทลินหลับ

 

 จะด้วยเพราะใช้เวทมนตร์อย่างต่อเนื่องหรือเป็นผลกระทบจากสภาพการณ์ที่เกิดขึ้น เฟลิซีหายใจติดขัดและมีท่าทางจะอาเจียน อินกองมองสำรวจรอบตัวอย่างตั้งใจอีกครั้งก่อนจะพบบางสิ่งที่เขามองข้ามไป

 

 คณะของอินกองกำลังอยู่ในป่าลึก ทั้งที่พวกเขาเพิ่งจะตั้งค่ายพักแรมบริเวณเชิงเขาด้านนอกป่าแมงมุม รอบตัวพวกเขาเต็มไปด้วยต้นไม้หนาแน่น

 

 เกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าพวกเขาถูกเคลื่อนย้ายด้วยเวทมนตร์มิติบางอย่าง?

 

 อินกองแหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์อีกครั้ง จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งมาจากพระจันทร์สีเขียวดวงนี้

 

 เหล่าภูติต่างหวาดกลัวค่ำคืน…

 

 นั่นเพราะบางอย่างจะเกิดขึ้นในยามค่ำคืน

 

 ผืนดินสั่นสะเทือน อินกองลุกขึ้นประคองเฟลิซีที่เดินโซเซ เดเลียที่หลับตาอยู่รีบกระโจนขึ้นตะโกนร้อง

 

“เหล่าสัตว์อสูรกำลังมา!”

 

 เสียงอึกทึกกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้พวกเขา อินกองรีบสำรวจแผนที่ย่อของเขาอย่างรวดเร็ว แม้ทัศนวิสัยของเขาจะถูกบดบังไปบ้างทำให้ไม่สามารถเห็นจำนวนได้ชัดเจน แต่เป็นที่แน่นอนว่าจุดสีแดงที่บ่งบอกถึงศัตรูกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? พวกเราไม่ควรจะอยู่ในป่า!” 

 

 เฟลิซีอุทานร้องขึ้น นางไม่ได้ต้องการคำตอบแค่เพียงสับสน พวกเขาพักแรมอยู่บริเวณเชิงเขาในยามที่อาทิตย์กำลังตกดิน รอบตัวพวกเขามีเพียงต้นไม้เล็กน้อย นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น

 

 เฟลิซีรีบคว้าตัวเคทลินพลางเตรียมการสำหรับศัตรูที่ใกล้เข้ามา ก่อนเสียงของกรีนวินด์จะดังขึ้นเตือนพวกเขา

 

‘นี่เป็นโลกเสมือนระหว่างภาพลวงและภาพจริง เป็นฝีมือของภูติที่แกร่งกล้ามาก!’

 

 พระจันทร์สีเขียว

 

 หากดวงจันทร์กลายเป็นสีเขียวจริง พวกเขาก็ไม่ควรสังเกตเห็นได้รวดเร็วขนาดนี้ พวกเขาเห็นดวงจันทร์เป็นสีเขียวเพราะว่ามองดูจากบริเวณเท่านั้น

 

 เหล่าภูติที่กำลังคลุ้มคลั่ง สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหัน…

 

 กรีนวินด์บอกว่าพวกนี้เป็นเพียงภาพลวงแต่ก็แฝงไปด้วยภาพจริง นั้นทำให้ไม่สามารถมองข้ามไปได้

 

 ดาฟเน่พูดขึ้นอย่างร้อนรน

 

“พวกเราตั้งป้องกันได้เพียงหละหลวม แต่ถ้าพวกเราถอยหนี พวกเราอาจจะหลงเข้าไปในป่าลึก!”

 

 อินกองชำเลืองมองแผนที่ย่อที่กำลังหมุนติ้วของเขา เมื่อรวมสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะหลบหนีออกไปได้โดยไม่หลงทาง

 

 ผืนดินสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ชัดเจนว่าเหล่าสัตว์อสูรกำลังจะมาถึงในไม่ช้า

 

“ตั้งรับที่นี่! เฟลิซี!”

 

 อินกองตะโกนร้องพลางเตรียมพสุธากัมปนาทกับไวท์อีเกิ้ล เฟลิซีวางเคทลินลงด้านหลังนางก่อนจะร้องตอบกลับมา

 

“นูนิมตะหาก! ดิ๊ก!”

 

 เฟลิซีใช้เวทมนตร์ขุดหลุดบนพื้นดินราวกับจะทดสอบบางอย่าง ผลที่เกิดก็คือพื้นดินกลับคืนสภาพเดิมอย่างรวดเร็วราวกับภาพลวงตา

 

 ในเมื่อไม่สามารถปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมได้ เฟลิซีจึงตัดสินใจใช้เวทมนตร์อื่นแทน

 

“กรีซซ์! สายลม!”

 

 เวทมนตร์ที่ทำให้ผิวดินเปลี่ยนเป็นโคลน และกำแพงลมที่ปัดเป่าการโจมตีจากด้านหลัง เฟลิซีตั้งใจจะสร้างกำแพงเพลิงแต่ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจทำให้พวกเขาทั้งหมดถูกไฟคลอกตาย นางจึงใช้กำแพงลมแทน

 

 คารัควางเซร่ากับโรบินลงถัดจากเคทลินระหว่างที่เดเลียชักดาบออกคอยระวังภัย ดาฟเน่ลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนจะเรียกอัญเชิญภูติ

 

 กำลังรบของคณะอินกองถดถอยลงอย่างมาก แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงเตรียมตัวสู้ให้เต็มที่

 

“คารัค!”

 

“รับทราบ!”

 

 ไม่ต้องเอ่ยปากมากมายคารัคก็เข้าใจความคิดของอินกอง อินกองจะพยายามดึงความสนใจจากเหล่าสัตว์อสูรให้มากที่สุด ส่วนคารัคมีหน้าที่คอยคุ้มกันสมาชิกที่เหลือ

 

 กรีนวินด์ร้องเตือนขึ้น

 

‘นายท่าน พวกมันมาแล้ว!’

 

‘โลหิตมังกร!’

 

 พลังจากสายเลือดมังกรตื่นขึ้น พร้อมกับภูติที่ดาฟเน่อัญเชิญเข้าสิงร่างของอินกอง

 

“ก๊าซซซซ!”

 

 สัตว์อสูรระลอกแรกมาถึงแล้ว พวกมันมีสายตาที่ว่างเปล่าเช่นเดียวกับเคทลิน เซร่าและโรบิน อินกองรับรู้ได้ว่าพวกนี้ถูกภูติที่คลุ้มคลั่งเข้าสิงอยู่

 

 อินกองวางแผนรบในหัวอย่างรวดเร็วก่อนกระโจนเข้าโจมตีสัตว์อสูรตรงหน้า ระเบิดลมปราณเข้าปะทะกับศีรษะของมันอย่างจัง อินกองรีบหันตัวเข้ารับมือกับการโจมตีของบรรดาสัตว์อสูรที่ตามมา

 

“ไฟร์แอร์โรว์!”

 

 ศรไฟร์ก่อตัวขึ้นพุ่งโจมตีสัตว์อสูร บางส่วนพุ่งเข้าหาเกราะเท้าเกล็ดมังกรของอินกองทำให้มันเรืองแสงสีแดงขึ้นเล็กน้อย

 

 ในบรรดาศัตรูที่บุกเข้ามา บางส่วนเป็นสัตว์ป่าทั่วไปอย่างจิ้งจอกและหมี บ้างก็เป็นแมลงขนาดยักษ์ แต่ไม่ว่าจะสัตว์ป่าหรือสัตว์อสูร สิ่งที่เหมือนกันก็คือทั้งหมดต่างก็มีแววตาอันว่างเปล่า

 

 อินกองรับมือกับศัตรูที่เข้ามาอย่างฉุกละหุก แต่เขาก็ต้องเก็บลมปราณไว้บ้างเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิด

 

 โจมตีเข้าใส่หมี ยิ่งศรเพลิงใส่หมาป่า ปัดป้องการโจมตีของมดยักษ์  ลมปราณของอินกองระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่องดึงความสนใจของศัตรูไว้ที่ตัวเขา

 

 อินกองก้มหลบคมเคียวอันรวดเร็วของตั๊กแตนยักษ์พลางปัดการโจมตีของมันเข้าใส่สัตว์ตัวอื่น เขารวมลมปราณไว้ที่ฝ่ามือแล้วซัดใส่สัตว์อสูรที่บุกเข้ามา

 

 สัตว์อสูรตนนั้นกระเด็นเข้าหาสัตว์ตัวอื่นก่อนจะระเบิดออก แรงระเบิดทำให้อินกองกระเด็นเล็กน้อยและถูกกระสุนพิษจากบรรดากบพิษเข้าอย่างจัง เขารีบเหวี่ยงแขนซ้ายซัดไวท์อีเกิ้ลออกไป

 

ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ!

 

 โล่ไวท์อีเกิ้ลกางปีกออกร่อนเฉือนหัวของเหล่าสัตว์ที่คลุ้มคลั่ง ก่อนร่างของพวกมันจะร่วงกองลงกับพื้น

 

 หลังจากที่เหวี่ยงโล่ออกไป อินกองก็สั่งให้ไวท์อีเกิ้ลคอยปกป้องเฟลิซี

 

 แม้กรีนวินด์จะต้องการเข้าช่วยอินกอง แต่นางรู้ว่าอินกองจะสบายใจกว่าหากนางคอยปกป้องสมาชิกที่เหลือ

 

 ทุกนาทียาวนานราวกับชั่วโมง

 

 อินกองหายใจอย่างเหนื่อยหอบ ร่างของเหล่าสัตว์ทั้งหลายกองอยู่ทั่วบริเวณ กลิ่นกรดคละคลุ้งแสบจมูกแสดงถึงจำนวนอันมหาศาลของศัตรูที่อินกองสังหารไป

 

 อินกองชำเลืองมองแผนที่ย่อที่ยังคงหมุนติ้วของเขาดูความปลอดภัยของสมาชิก เข้าหยิบน้ำยาฟื้นฟูออกจากช่องเก็บของ แม้ยังหลงเหลือจุดสีแดงในแผนที่ย่อ แต่มันก็อยู่ห่างออกไปพอมีเวลาให้เขาพักฟื้น

 

 และในทันใดนั้นเอง…

 

 เสียงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับแผ่นดินไหวก็ดังขึ้น

 

“กรี๊ดดด!”

 

 อินกองรีบหันไปมองที่มาของเสียงกรีดร้อง พื้นดินที่สั่นสะเทือนทำให้เฟลิซีเสียหลักล้มลงแต่นางมิได้บาดเจ็บอะไร เขารีบมองแผนที่ย่อแต่ก็ไม่พบความเปลี่ยนแปลง

 

 ก่อนผืนดินจะสั่นสะเทือนอีกครั้ง ชัดเจนว่ามาจากทิศทางตรงข้ามกับเหล่าสัตว์ที่คลุ้มคลั่ง

 

“กีวี่! ขอวิสัยทัศน์ด้วย!”

 

 อินกองตะโกนร้องพลางชี้มือขึ้นท้องฟ้า แม้ชื่อกีวี่จะสร้างความไม่ชอบใจให้กับนาง แต่ด้วยสถานการณ์คับขันกรีนวินด์ก็ทะยานขึ้นบนฟ้าส่งผ่านการมองเห็นให้อินกองโดยไม่ปริปาก

 

 ผืนป่ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มีควันสีน้ำเงินลอยขึ้นจากใจกลางป่านี้ แต่นั่นไม่ใช่ที่มาของการสั่นสะเทือน

 

 ต้นตออยู่ถัดจากกลุ่มควันนี้

 

 บางอย่างสีขาวที่ใหญ่โต

 

‘ไจแอนท์?’

 

 อินกองก็ไม่สามารถมั่นใจได้ ถึงมันจะมีรูปร่างที่คล้ายมนุษย์แต่ร่างกายก็มีแสงสีขาวปกคลุม มันพยายามเข้าหาควันสีน้ำเงินแต่ราวกับถูกบางอย่างกีดกันเอาไว้

 

 ไจแอนท์ตนนั้นเงื้อกำปั้นโจมตีจนมันทะลวงฝ่าบางสิ่ง ผืนดินสั่นสะเทือนพร้อมกับเสียงบางสิ่งแตกกระจาย

 

“ฉัตร! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

 

“พวกสัตว์อสูรกำลังบุกมาอีกครั้ง!”

 

 เสียงเฟลิซีกับเดเลียดังขึ้น แต่ไม่มีการตอบสนองจากอินกอง เขายังคงจ้องมองไจแอนท์สีขาวตนนั้น

 

 หลังจากไจแอนท์ตนนั้นทำลายบางอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย ร่างกายของมันก็สลายเลือนลางไปกับความมืดยามราตรี

 

 อินกองสังเกตเห็นเหตุการณ์เพียงเท่านี้ก่อนเขาจะหยุดมองผ่านดวงตาของกรีนวินด์ เขากลับมามองตรงหน้าอีกครั้งและก็เป็นอย่างที่เดเลียกล่าวเตือน ระลอกของเหล่าสัตว์อสูรกำลังถาโถมเข้ามา

 

 ทว่าในครั้งนี้กลับมีบางอย่างผิดแปลกไป สัตว์พวกนี้ดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปยังที่อื่น

 

 สิ่งนี้สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่ออินกองมองจากแผนที่ย่อของเขา

 

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? หรือจะมีบางอย่างคอยชักจูงพวกมัน?

 

 ระหว่างที่อินกองกำลังคิดไตร่ตรองอยู่ก็มีเสียงขยับของพุ่มไม้ดังขึ้น อินกองหันไปมองอย่างรวดเร็วพร้อมกับไวท์อีเกิ้ลที่พุ่งโฉบไปเช่นกัน  แต่บางอย่างที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้นั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าพวกเขา มันหลบไวท์อีเกิ้ลพร้อมกับพุ่งตัวไปหาเฟลิซี

 

“เดี๋ยวฮะ! หยุดมือฮะ!”

 

 เสียงที่ดังขึ้นกลับไม่ใช่เฟลิซี

 

 เดเลียรีบเข้าป้องกันเฟลิซีแต่ก็ไร้ผล ผู้มาเยือนปริศนาหมุนตัวกลางอากาศถืบเดเลียล้มลงแล้วยืนบนตัวนาง ก่อนมันจะเงยหน้ามองเฟลิซีแล้วกล่าวถาม

 

“ใครกันฮะ? มาจากไหนกันฮะ? หรือว่าจะเป็นเพื่อนของอิชย์ฮะ?”

 

 คำถามเหล่านี้ออกมาจากปากของตัวแรคคูนที่ยืนอยู่บนร่างของเดเลีย แรคคูนตัวนี้ต่างไปจากสัตว์ที่พวกเขาเจอมาตลอด แววตาของมันแสดงถึงพลังชีวิตอันเต็มเปี่ยม

 

“แกเป็นใครกัน?!”

 

 คารัคร้องถามขึ้นพลางยกขวานขึ้นมาอย่างลังเล แรคคูนตัวนั้นหันไปจ้องเขม็งใส่คารัคก่อนจะหันกลับมาจ้องอินกองที่รับไวท์อีเกิ้ลกลับมาติดที่แขนซ้าย แล้วตอบแนะนำตัว

 

“อมิตาภาฮะ สาวกผู้ติดตามแห่งแสงสุดท้ายฮะ”