อมิตาภา อิคนิเซีย ช่างฝีมือผู้มีความสามารถเป็นที่หนึ่งในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า
สมกับเป็นสาวกผู้ตามติดอารักขาแสงสุดท้าย
“จะถามอีกครั้งนะฮะ ใครกันฮะ? มีกลิ่นอิชย์ฮะ? หรือเป็นเพื่อนของปราชญ์ดาบฮะ?”
เจ้าแรคคูนสงเสียงถามระรัว เฟลิซีได้แต่เอามือกุมขมับใช้ความคิดโพล่งออกมาอย่างงงงวย
“เดี๋ยวสิ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวนะ อมิตาภา? แรคคูนตัวนี้เนี่ยนะ?”
เจ้าแรคคูนที่อยู่ตรงหน้าคณะของอินกองต่างไปจากแรคคูนทั่วไป ร่างกายที่เล็กกว่าปกติ ใบหน้ากลมบ๊อก เหมือนกับเป็นลูกแรคคูนเสียมากกว่า
ทว่าดูเหมือนเจ้าแรคคูนจะไม่ชอบใจกับคำพูดของเฟลิซี มันขมวดคิ้วพูดโต้กลับมา เป็นที่ชัดเจนว่านี้ไม่ใช่แรคคูนธรรมดาทั่วไปแน่นอน
“ทำไมฮะ? มีปัญหาอะไรกับแรคคูนหรือไงฮะ? หรือว่าไม่เคยเห็นแรคคูนฮะ?”
“เอ่อ เปล่า ก็แค่… ฉันเพิ่งจะเคยเห็นแรคคูนพูดได้ครั้งแรกก็จริง แต่ว่า… ”
เฟลิซียิ่งคิดยิ่งสับสนจนนางหยุดคิดในที่สุด นี่เป็นแรคคูนที่ไม่ใช่แรคคูน แม้แต่เฟลิซีที่เดินทางสำรวจมามากมายก็อดสับสนมิได้
อาจเป็นเพราะอินกองเคยพบเจอกับอมิตาภาในเกมบทกวีแห่งผู้กล้าอยู่บ้าง นั่นทำให้ถึงเขาจะแปลกใจแต่สามารถระงับอาการไม่ให้แสดงออกมาได้
‘เอาวะ พวกนั้นโผล่มาทุกเพศทุกวัย รอบนี้จะเป็นแรคคูนก็คงไม่แปลก ถึงจะเคยเห็นครั้งแรกก็เหอะ’
ยิ่งเมื่ออินกองคิดเพิ่มเติม เขาก็พบความเป็นไปได้ขึ้นมา นั่นเพราะมีตำนานของบางประเทศที่เล่าขานว่าแรคคูนสามารถแปลงร่างได้หลากหลาย
อินกองกล่าวแนะนำตนเอง
“อมิตาภา เราคือเจ้าชายลำดับที่เก้าฉัตร อิกษณา เรามาที่นี่ตามคำแนะนำจากปราชญ์ดาบ”
อมิตาภาจ้องมองอินกองก่อนจะหรี่ตาหันไปมองเฟลิซี
“เจ้าหญิงลำดับที่หกเฟลิซี ดูมเบลด”
พวกเขาไม่ได้มาในฐานะตัวแทนจากวังจอมมาร แต่เป็นในฐานะเพื่อนของปราชญ์ดาบ นั่นทำให้ใบหน้าของอมิตาภาผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“อิชย์แนะนำมาหรือฮะ?”
“ถูกต้องแล้ว เราพบวัตถุดิบชั้นสูงบางอย่าง ปราชญ์ดาบเลยแนะนำช่างฝีมือให้เรา”
อมิตาภาหรี่ตามองสำรวจอินกองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหยุดจ้องที่แขนทั้งสองของเขา
“นั่นเป็นของวิเศษจากมังกรบรรพกาลนิฮะ”
“ถูกต้อง นี่มาจากพยานอันเคลและทรราชเอนคิดู”
อมิตาภาหรี่ตาอย่างไม่ไว้ใจยิ่งขึ้น ก่อนจะใช้มือทั้งสองกุมขมับแล้วส่ายหน้า
“ช่วยไม่ได้ฮะ ปกติก็คงจะไล่กลับหรอกฮะ แต่ว่าตอนนี้… ”
คำพูดที่เล็ดลอดออกมาพอบอกเป็นเค้าได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นอน เฟลิซีย่อตัวลงพูดถามอมิตาภา
“อมิตาภา มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่? พอจะอธิบายได้ไหม?”
“มันค่อนข้างจะยาวฮะ หวังว่าหัวไวนะฮะ”
เจ้าแรคคูนจ้องมองเฟลิซีก่อนจะม้วนหางนั่งลง
“อมิตาภาอยู่ที่กลางป่านี้มาหลายเดือนละฮะ กะว่าอีกซักหกเดือนก็จะย้ายที่ฮะ แต่ดันเกิดเรื่องขึ้นฮะ พวกตัวประหลาดในแสงม่วงๆบุกเข้ามาฮะ”
สีหน้าของอินกองและเฟลิซีเปลี่ยนไปในทันที
นั่นไม่อาจเล็ดลอดสายตาอมิตาภาไปได้
“ทำไมฮะ? รู้จักหรือฮะ?”
“เราสู้กับพวกสัตว์อสูรในไอพลังสีม่วงมาก่อนในที่ราบอินคา พวกนั้นต้องการกำจัดเทพารักษ์ของที่นั่น”
อมิตาภาทำสีหน้าไม่พอใจออกมาทันที
“พวกนี้เป็นมืออาชีพฮะ สุดท้ายเทพารักษ์ของป่าแมงมุมก็เข้ามาพัวพันด้วยฮะ ป่านี้มีพวกพรานไลแคนโทรปลาดตระเวณเป็นระยะ อมิตาภาคิดว่าถ้าหยุดพวกนี้ไว้สักพักพวกไลแคนโทรปน่าจะมาแก้ปัญหาฮะ”
คำพูดนี้ทำให้อินกองนึกถึงไจแอนท์สีขาวที่เขาเห็นพยายามพังม่านพลังบางอย่าง อมิตาภามีชีวิตอยู่มายืนยาว การที่จะรู้จักเวทมนตร์โบราณจึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดสักเท่าไร
“แต่มันมีปัญหาสิฮะ มันมีพวกอื่นเข้ามาร่วมด้วยฮะ”
อินกองและเฟลิซีพยักหน้า นั่นเพราะพวกเขาไม่พบสัตว์อสูรที่ปกคลุมด้วยไอพลังสีม่วงในการต่อสู้ที่เพิ่งผ่านมาแต่อย่างใด มิหนำซ้ำศึกในคราวที่ราบอินคาก็ไม่มีภูติที่คลุ้มคลั่งปะปน
อมิตาภาถอนหายใจก่อนจะอธิบายต่อ
“เป้าหมายของพวกนี้คือแสงสุดท้ายฮะ ศัตรูเก่า… พวกนี้ต้องการแสงสุดท้ายมานานแล้วฮะ เหล่าภูติที่คลุ้มคลั่งแล้วไหนจะพระจันทร์ที่กลายเป็นสีเขียวอีกฮะ”
“พวกนี่เป็นใครมาจากไหนกันแน่?”
ดาฟเน่ ที่นั่งฟังกล่าวแทรกขึ้นมาอย่างอยากรู้และหวาดกลัว อมิตาภาลังเลสักครู่ก่อนจะตอบกลับมา
“พวกนี้เคยเป็นผู้พิทักษ์หรือเทพารักษ์ก่อนที่จะคลุ้มคลั่งฮะ พวกนี้ต้องการพลังของแสงสุดท้ายฮะ”
“แสงสุดท้ายนี่ล้ำค่าขนาดนั้นเลย?”
“ไม่รู้สิฮะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกนั้นจะกลืนกินพลังของแสงสุดท้ายได้หรือเปล่าฮะ แต่ที่แน่ๆคือเรียกได้ว่าแสงสุดท้ายเป็นสิ่งที่เลอค่าที่สุดฮะ พวกนั้นเชื่อว่าหากดูดกลืนพลังของแสงสุดท้ายมาได้… พวกนั้นจะกลับเป็นปกติ กลับไปยังสภาพก่อนที่จะคลุ้มคลั่งฮะ”
อมิตาภาเรียกได้ว่าเป็นช่างฝีมือระดับสูง แต่พลังที่แฝงมากับผลงานไม่ได้มาจากตัวพวกเขาเอง พลังนี้มาจากรัศมีเทพของแสงสุดท้ายที่อมิตาภาใช้ในขั้นตอนการสร้างของวิเศษต่างหาก
ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าพลังของ ‘แสงแรก’ ตามตำนานไม่เป็นที่กังขา
“เอาเป็นว่าอมิตาภาเสริมพลังให้ม่านป้องกันไปแล้วฮะ เพื่อที่จะปกป้องผู้พิทักษ์ของป่าแมงมุมด้วยฮะ แต่นั่นก็ทำให้พลังบางส่วนของแสงสุดท้ายฝังรากลงไปฮะ ถึงจะดึงออกได้แต่ก็ต้องใช้เวลาพอประมาณเลยฮะ”
สิ่งที่สำคัญที่สุดต่ออมิตาภาก็คือแสงสุดท้าย แม้อาจจะดูผิดต่อผู้พิทักษ์ของป่าแมงมุมอยู่บ้าง แต่ป่าแมงมุมเป็นเพียงเรื่องรองเท่านั้น
“พวกภูติที่คลุ้มคลั่งเข้าร่วมกับพวกพลังสีม่วงฮะ ยิ่งเวลาผ่านไปพวกมันก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างวันนี้ม่านป้องกันก็พังไปอีกหนึ่งฮะ ตอนนี้ก็เหลือม่านป้องกันแค่อันสุดท้ายแล้วฮะ”
ชัดเจนว่าไจแอนท์สีขาวตนนั้นพังม่านพลังลงได้สำเร็จ
เฟลิซีถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อมิตาภา จะเกิดอะไรขึ้นถ้าแสงสุดท้ายดับสูญไป?”
“ม ไม่รู้ฮะ อมิตาภาไม่เคยเห็นมาก่อนฮะ บางที… โลกนี้อาจจะดับสิ้นตามคำทำนายก็ได้ฮะ”
อมิตาภาตอบด้วยเสียงที่ไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง อมิตาภาเป็นสาวกติดตามแสงสุดท้าย เรื่องแสงสุดท้ายดับสูญจึงเป็นเรื่องที่สร้างความวิตกให้กับอมิตาภาอย่างมาก
“แล้วอิชย์อยู่แถวนี้ด้วยเปล่าฮะ?”
“ไม่อยู่”
คำตอบของอินกองทำให้เจ้าแรคคูนตัวน้อยถอนหายใจออกมา ซึ่งอินกองก็เข้าใจ เพราะหากปราชญ์ดาบอยู่กับพวกเขาด้วย ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้คงจบลงได้อย่างง่ายดาย
“บัดซบที่สุดฮะ เอาเป็นว่าอมิตาภาต้องการความช่วยเหลือฮะ”
อมิตาภาลุกขึ้นยืนอีกครั้งมองไปยังอินกองและเฟลิซี โดยเฉพาะเฟลิซี นางมีทีท่าใจอ่อนขึ้นมาเมื่อมองใบหน้ากลมบ๊อกที่มีดวงตาเอ่อคลอ
“ทั้งสองต้องช่วยอมิตาภาฮะ ปกป้องแสงสุดท้ายและป่าแมงมุมฮะ หยุดยั้งพวกนั้นด้วยเกียรติยศหน้าที่ของราชวงศ์ฮะ”
เฟลิซีพยักหน้าในทันทีเมื่อได้ยินคำว่า ‘เกียรติยศและหน้าที่’ แต่ก็มีเสียงดังแทรกขึ้นมา
“เดี๋ยวดิ! เดี๋ยวก่อน!”
เจ้าออร์คที่นั่งฟังมาตลอดเป็นเจ้าของเสียงที่ดังขึ้น แน่นอนว่านี่สร้างความประหลาดใจให้กับทั้งอินกองและเฟลิซีแต่คารัคไม่สนใจทั้งสอง มันกอดอกแล้วจ้องมองลงมายังอมิตาภา
“ถ้าองค์หญิงองค์ชายช่วยแล้วจะได้อะไรตอบแทน?”
“ฮะ?”
“รางวัลไง รางวัลอะ คงไม่ใช่ว่าจะให้พวกเราเสี่ยงตายโดยไม่หวังอะไรตอบแทนหรอกนะ?”
ไม่เอ๊า ไม่เอา อย่าโลกสวยสิ ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆหรอกนะ ( ಠ ͜ʖ ಠ)
ทั้งเฟลิซีและเดเลียจ้องมองกันอย่างงุนงงกับคำพูดของคารัค แต่สีหน้าของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปเมื่อหันไปเห็นว่าอินกองทำเพียงเฝ้าดูเหตุการณ์
อมิตาภาจ้องมองอินกองกับเฟลิซีอย่างไม่อยากเชื่อสายตาก่อนจะตีอกตัวเองอย่างหงุดหงิด
ไอ้พวกขุนนางคอรัปชั่นเอ้ยยยยย เจ้าแรคคูนตัวน้อยกรีดร้องในใจ (`皿´#)
“ไม่ได้ยินหรือไงฮะ? นี่มันสถานการณ์ขั้นวิกฤติที่แสงสุดท้ายอาจดับสูญไปได้เลยนะฮะ!”
“แต่แกก็บอกเองว่าแกก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บางทีถึงแสงสุดท้ายดับสูญไปก็อาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้”
คารัคโต้ตอบด้วยคำพูดและสีหน้าเรียบเฉยอย่างไม่สะทกสะท้าน
อมิตาภากำหมัดแน่นหลังจากได้ยินคำพูดไร้สาระของเจ้าออร์ค เจ้าแรคคูนใช้หางตีพื้นพลางตะโกนตอบอย่างไม่ชอบใจ
“ก็ได้ฮะ ไหนๆก็มาที่นี้เพราะจะให้ทำของให้อยู่แล้ว งั้นอมิตาภาจะทำของวิเศษอย่างละชิ้นให้องค์หญิงองค์ชาย ตกลงมั้ยฮะ?”
สายตาของอมิตาภากลับไม่ได้จ้องไปที่อินกองและเฟลิซี แววตาคู่นั้นมองไปที่เจ้าออร์คอย่างเคียดแค้น
ทว่านั่นก็ยังไม่เพียงพอ
“นั่นมันก็น้อยไปหน่อยนะ สาวน้อยที่หมดสติอยู่ตรงนั้นก็คือเจ้าหญิงลำดับที่แปดเคทลิน มูนไลท์ นางต่อสู้กับศัตรูจนหมดสติ แล้วไหนจะพวกเราที่ต้องเสี่ยงตายอีก ข้าไม่คิดว่าชีวิตของราชวงศ์จะราคาถูกขนาดนี้หรอกนะ ไหนจะเดเลีย เซร่า ดาฟเน่ กรีนวินด์อีก”
คารัคละชื่อโรบินเอาไว้ ไม่ว่าด้วยความจงใจหรือหลงลืมก็ตาม
อมิตาภากุมขมับนั่งลงบนหางอีกครั้งก่อนจะตอบด้วยเสียงเบาบาง
“ไอ้เ… รู้มั้ยว่าของวิเศษของอมิตาภาราคาเท่าไรกันฮะ?”
“ไม่รู้หรอก จำเป็นต้องรู้ด้วยเรอะ?”
นี่จะเรียกว่าความกล้าหรือว่าบ้าบอดี?
ต่อหน้าความไร้ยางอายของคารัค อมิตาภาได้แต่พูดไม่ออก เจ้าแรคคูนพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังอินกองกับเฟลิซีแต่ก็ไร้ผล
ไอ้พวกขุนนางคอรัปชั่นเน่าเฟะเอ้ยยยยย เจ้าแรคคูนตัวน้อยกรีดร้องในใจอีกครั้ง (ಥ﹏ಥ)
“ก็ได้ ก็ด้ายยยยยยย อยากได้อะไรก็เอาเลยฮะ อมิตาภาจะทำของวิเศษให้ทุกคนเลยฮะ พอใจรึยังฮะ?”
เรียกได้ว่าเป็นข้อเสนอที่สุดจะเหลือเชื่อ แต่ก็ยังไม่พอสำหรับเจ้าออร์คที่ไร้ความปรานี
“มีพวกเราอีกคนที่กำลังเดินทางไปขอกำลังเสริม นางเป็นกำลังสำคัญขององค์ชาย”
อินกองนึกถึงกัมมะแล้วผงกหัว ตัวเขาในตอนนี้มีองครักษ์เพียงสองตนจึงเรียกได้ว่านางเป็นกำลังสำคัญ
อมิตาภากระโดดกรีดร้องออกมา
“แค่นั้นนะฮะ! ไม่มากไปกว่านั้นแล้วนะฮะ!”
“เข้าใจแล้ว หนึ่งชิ้นสำหรับกัมมะที่กำลังไปขอกำลังเสริม แล้วหนึ่งชิ้นต่อสมาชิกทั้งหมดตรงนี้… รับปากแล้วนะ?”
“อมิตาภาสัญญาฮะ”
อมิตาภาคอตกพูดออกมา คารัคหัวเราะก่อนจะหันไปมองเจ้าหญิงเจ้าชายทั้งสอง
“องค์ชายองค์หญิงคิดว่ายังไงบ้าง?”
“ไม่เลวเลย”
“ทำดีมาก”
อินกองตอบพลางมองไปยังเจ้าแรคคูนที่น่าสงสาร อมิตาภาทำได้แต่ส่งสายตาเคียดแค้นมองดูนายบ่าวที่น่าเกลียดชังตรงหน้า
“อมิตาภาจะกลับไปกลางป่าก่อนฮะ พวกคุณไม่ใช่ภูติเพราะงั้นตามมาก็หลงทางแน่นอนฮะ ภาพมายาพวกนี้จะหายไปในตอนเช้า เพราะงั้นถือเจ้านี่แล้วเข้ามากลางป่าฮะ มันจะช่วยให้สามารถเดินผ่านม่านพลังของอมิตาภาได้ฮะ”
อมิตาภาส่งใบไม้ให้กับคณะของอินกอง เป็นใบไม้ที่ทำจากโลหะแต่มีรูปร่างที่สมจริงมาก
“เราเข้าใจแล้ว”
“งั้นเจอกันพรุ่งนี้ฮะ”
อมิตาภาถอนหายใจออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ก่อนจะกระโดดหายเข้าไปในพงหญ้า
หลังจากเวลาผ่านไปสักครู่จนอินกองมั่นใจว่าอมิตาภาจากไปแล้ว เขาก็ยักไหล่แล้วถามขึ้น
“อย่างกับฝ่าพายุมาได้เลย ว่ามั้ย?”
ไม่ใช่เพียงคำเปรียบเปรย แต่อินกองรู้สึกเช่นนั้นจริง ไหนจะการเจรจากับอมิตาภาที่ดำเนินไปอย่างผิดคาดอีก
คารัคเกาหัวของมันแล้วตอบ
“ข้าขอโทษถ้าทำอะไรเกินไป แต่มันก็ช่วยไม่ได้ในฐานะองครักษ์มือขวาขององค์ชาย”
เมื่อพูดถึงเกียรติยศและหน้าที่ของราชวงศ์แล้ว อย่างไรเสียพวกเขาก็ต้องรับคำขอของอมิตาภาอยู่ดี
เฟลิซีพูดออกมาอย่างยิ้มแย้มให้กับคารัค
“ผลสรุปออกมาไม่เลวเลย ยิ่งพวกเราได้ของวิเศษจากอมิตาภามากเท่าไรก็ยิ่งดี แต่ฉันก็แอบกังวลอยู่ว่าของวิเศษพวกนี้อาจมีตำหนิเพราะความโกรธของอมิตาภาหรือเปล่า?”
“ไม่มีทาง ยิ่งเก่งกาจก็ยิ่งทะนงตน เจ้าแรคคูนนั่นไม่มีทางทำของมีตำหนิออกมาแน่นอน”
คารัคมิได้กดดันอมิตาภาโดยไม่คิด หากมันกลัวว่าจะได้รับของมีตำหนิอย่างเฟลิซี มันคงไม่เลือกใช้วิธีนี้
อินกองก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
“ผมเห็นด้วยกับคารัค ด้วยชื่อของอมิตาภาแล้ว ไม่มีทางที่ของพวกนี้จะออกมามีตำหนิแน่นอน”
นั่นก็เพราะอมิตาภาเป็นเช่นนั้น ยิ่งเมื่อของเหล่านี้จะได้รับพลังจากรัศมีเทพของแสงสุดท้ายด้วยแล้ว การมีตำหนิยิ่งเป็นการหมิ่นต่อแสงสุดท้าย
“ถ้าอย่างนั้น ทำได้ดีมาก”
อมิตาภาไม่ใช่ช่างฝีมือทั่วไป การได้เจรจาข้อตกลงก็นับว่าโชคช่วยแล้ว
ในเมื่อการแลกเปลี่ยนนี้คงเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว การได้รับประโยชน์ให้มากที่สุดย่อมเป็นผลดีกับคณะของอินกอง
คารัคหัวเราะรับคำชมจากเฟลิซีที่นานครั้งจะมี
“ด้วยความยินดี”
ไม่เพียงแต่เฟลิซีเท่านั้น แม้แต่ดาฟเน่และเดเลียต่างก็จ้องมองคารัคอย่างชื่นชม สายตาของทั้งสองแฝงไปมากกว่านั้น ราวกับจ้องมองบุรษผู้เป็นหนึ่งในดวงใจ
‘ก็นะ ใครก็ตามที่ได้แต่งกับเจ้าออร์คนี่คงไม่อดตายแน่นอน’
อินกองพยักหน้าอย่างเสียมิได้แล้วสูดหายใจ
“แต่ถึงอย่างนั้น… เหตุการณ์นี้มันต่างไปจากปกติซะเหลือเกิน”
ยิ่งเมื่อมีเรื่องของแสงสุดท้ายเข้ามาพัวพันด้วยแล้วยิ่งทำให้สถานการณ์บานปลาย ถึงแม้จะไม่มีใครรับรู้ได้ว่าโลกจะดับสิ้นคู่กับการดับสูญของแสงสุดท้ายก็ตาม แต่การปล่อยให้เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สูญสิ้นก็คงไม่ต่างจากความหวังที่จางหาย
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของเหล่าสัตว์อสูรกับไอพลังสีม่วงอีก
จุดประสงค์ของพวกมันคืออะไรกันแน่? ทำไมพวกมันถึงมาโจมตีที่นี่?
“แต่ก็อย่างที่อมิตาภาพูด การปกป้องผู้พิทักษ์ของป่าแมงมุมและแสงสุดท้ายเป็นเกียรติยศและหน้าที่ของราชวงศ์ พวกเราต้องยื้อสถานการณ์ไว้ให้ได้จนกัมมะนำกำลังเสริมกลับมา”
เฟลิซีประกาศออกมาพลางจ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ผิดแปลกไป อินกองก็เช่นกัน
พระจันทร์สีเขียวบนท้องฟ้าส่องสว่างราวกับตอบรับคำของพวกเขา
ไม่รู้ช้าไปหรือเปล่านะครับ แต่จะเปลี่ยน “ผู้พิทักษ์ควิเอียน” เป็น “เทพพิทักษ์ควิเอียน” เพื่อไม่ให้สับสนกับผู้พิทักษ์ของสถานที่ต่างๆ ยังไงจะทยอยกลับไปแก้ตอนเก่าทีหลังครับ