อมิตาภา อิคนิเซีย ช่างฝีมือผู้มีความสามารถเป็นที่หนึ่งในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า

 

 สมกับเป็นสาวกผู้ตามติดอารักขาแสงสุดท้าย

 

“จะถามอีกครั้งนะฮะ ใครกันฮะ? มีกลิ่นอิชย์ฮะ? หรือเป็นเพื่อนของปราชญ์ดาบฮะ?”

 

 เจ้าแรคคูนสงเสียงถามระรัว เฟลิซีได้แต่เอามือกุมขมับใช้ความคิดโพล่งออกมาอย่างงงงวย

 

“เดี๋ยวสิ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวนะ อมิตาภา? แรคคูนตัวนี้เนี่ยนะ?”

 

 เจ้าแรคคูนที่อยู่ตรงหน้าคณะของอินกองต่างไปจากแรคคูนทั่วไป ร่างกายที่เล็กกว่าปกติ ใบหน้ากลมบ๊อก เหมือนกับเป็นลูกแรคคูนเสียมากกว่า

 

 ทว่าดูเหมือนเจ้าแรคคูนจะไม่ชอบใจกับคำพูดของเฟลิซี มันขมวดคิ้วพูดโต้กลับมา เป็นที่ชัดเจนว่านี้ไม่ใช่แรคคูนธรรมดาทั่วไปแน่นอน

 

“ทำไมฮะ? มีปัญหาอะไรกับแรคคูนหรือไงฮะ? หรือว่าไม่เคยเห็นแรคคูนฮะ?”

 

“เอ่อ เปล่า ก็แค่… ฉันเพิ่งจะเคยเห็นแรคคูนพูดได้ครั้งแรกก็จริง แต่ว่า… ”

 

 เฟลิซียิ่งคิดยิ่งสับสนจนนางหยุดคิดในที่สุด นี่เป็นแรคคูนที่ไม่ใช่แรคคูน แม้แต่เฟลิซีที่เดินทางสำรวจมามากมายก็อดสับสนมิได้

 

 อาจเป็นเพราะอินกองเคยพบเจอกับอมิตาภาในเกมบทกวีแห่งผู้กล้าอยู่บ้าง นั่นทำให้ถึงเขาจะแปลกใจแต่สามารถระงับอาการไม่ให้แสดงออกมาได้

 

‘เอาวะ พวกนั้นโผล่มาทุกเพศทุกวัย รอบนี้จะเป็นแรคคูนก็คงไม่แปลก ถึงจะเคยเห็นครั้งแรกก็เหอะ’

 

 ยิ่งเมื่ออินกองคิดเพิ่มเติม เขาก็พบความเป็นไปได้ขึ้นมา นั่นเพราะมีตำนานของบางประเทศที่เล่าขานว่าแรคคูนสามารถแปลงร่างได้หลากหลาย

 

 อินกองกล่าวแนะนำตนเอง

 

“อมิตาภา เราคือเจ้าชายลำดับที่เก้าฉัตร อิกษณา เรามาที่นี่ตามคำแนะนำจากปราชญ์ดาบ”

 

 อมิตาภาจ้องมองอินกองก่อนจะหรี่ตาหันไปมองเฟลิซี

 

“เจ้าหญิงลำดับที่หกเฟลิซี ดูมเบลด”

 

 พวกเขาไม่ได้มาในฐานะตัวแทนจากวังจอมมาร แต่เป็นในฐานะเพื่อนของปราชญ์ดาบ นั่นทำให้ใบหน้าของอมิตาภาผ่อนคลายลงเล็กน้อย

 

“อิชย์แนะนำมาหรือฮะ?”

 

“ถูกต้องแล้ว เราพบวัตถุดิบชั้นสูงบางอย่าง ปราชญ์ดาบเลยแนะนำช่างฝีมือให้เรา”

 

 อมิตาภาหรี่ตามองสำรวจอินกองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหยุดจ้องที่แขนทั้งสองของเขา

 

“นั่นเป็นของวิเศษจากมังกรบรรพกาลนิฮะ”

 

“ถูกต้อง นี่มาจากพยานอันเคลและทรราชเอนคิดู”

 

 อมิตาภาหรี่ตาอย่างไม่ไว้ใจยิ่งขึ้น ก่อนจะใช้มือทั้งสองกุมขมับแล้วส่ายหน้า

 

“ช่วยไม่ได้ฮะ ปกติก็คงจะไล่กลับหรอกฮะ แต่ว่าตอนนี้… ”

 

 คำพูดที่เล็ดลอดออกมาพอบอกเป็นเค้าได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นอน เฟลิซีย่อตัวลงพูดถามอมิตาภา

 

“อมิตาภา มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่? พอจะอธิบายได้ไหม?”

 

“มันค่อนข้างจะยาวฮะ หวังว่าหัวไวนะฮะ”

 

 เจ้าแรคคูนจ้องมองเฟลิซีก่อนจะม้วนหางนั่งลง

 

“อมิตาภาอยู่ที่กลางป่านี้มาหลายเดือนละฮะ กะว่าอีกซักหกเดือนก็จะย้ายที่ฮะ แต่ดันเกิดเรื่องขึ้นฮะ พวกตัวประหลาดในแสงม่วงๆบุกเข้ามาฮะ”

 

 สีหน้าของอินกองและเฟลิซีเปลี่ยนไปในทันที

 

 นั่นไม่อาจเล็ดลอดสายตาอมิตาภาไปได้

 

“ทำไมฮะ? รู้จักหรือฮะ?”

 

“เราสู้กับพวกสัตว์อสูรในไอพลังสีม่วงมาก่อนในที่ราบอินคา พวกนั้นต้องการกำจัดเทพารักษ์ของที่นั่น”

 

 อมิตาภาทำสีหน้าไม่พอใจออกมาทันที

 

“พวกนี้เป็นมืออาชีพฮะ สุดท้ายเทพารักษ์ของป่าแมงมุมก็เข้ามาพัวพันด้วยฮะ ป่านี้มีพวกพรานไลแคนโทรปลาดตระเวณเป็นระยะ อมิตาภาคิดว่าถ้าหยุดพวกนี้ไว้สักพักพวกไลแคนโทรปน่าจะมาแก้ปัญหาฮะ”

 

 คำพูดนี้ทำให้อินกองนึกถึงไจแอนท์สีขาวที่เขาเห็นพยายามพังม่านพลังบางอย่าง อมิตาภามีชีวิตอยู่มายืนยาว การที่จะรู้จักเวทมนตร์โบราณจึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดสักเท่าไร

 

“แต่มันมีปัญหาสิฮะ มันมีพวกอื่นเข้ามาร่วมด้วยฮะ”

 

 อินกองและเฟลิซีพยักหน้า นั่นเพราะพวกเขาไม่พบสัตว์อสูรที่ปกคลุมด้วยไอพลังสีม่วงในการต่อสู้ที่เพิ่งผ่านมาแต่อย่างใด มิหนำซ้ำศึกในคราวที่ราบอินคาก็ไม่มีภูติที่คลุ้มคลั่งปะปน

 

 อมิตาภาถอนหายใจก่อนจะอธิบายต่อ

 

“เป้าหมายของพวกนี้คือแสงสุดท้ายฮะ ศัตรูเก่า… พวกนี้ต้องการแสงสุดท้ายมานานแล้วฮะ เหล่าภูติที่คลุ้มคลั่งแล้วไหนจะพระจันทร์ที่กลายเป็นสีเขียวอีกฮะ”

 

“พวกนี่เป็นใครมาจากไหนกันแน่?”

 

 ดาฟเน่ ที่นั่งฟังกล่าวแทรกขึ้นมาอย่างอยากรู้และหวาดกลัว อมิตาภาลังเลสักครู่ก่อนจะตอบกลับมา

 

“พวกนี้เคยเป็นผู้พิทักษ์หรือเทพารักษ์ก่อนที่จะคลุ้มคลั่งฮะ พวกนี้ต้องการพลังของแสงสุดท้ายฮะ”

 

“แสงสุดท้ายนี่ล้ำค่าขนาดนั้นเลย?”

 

“ไม่รู้สิฮะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกนั้นจะกลืนกินพลังของแสงสุดท้ายได้หรือเปล่าฮะ แต่ที่แน่ๆคือเรียกได้ว่าแสงสุดท้ายเป็นสิ่งที่เลอค่าที่สุดฮะ พวกนั้นเชื่อว่าหากดูดกลืนพลังของแสงสุดท้ายมาได้… พวกนั้นจะกลับเป็นปกติ กลับไปยังสภาพก่อนที่จะคลุ้มคลั่งฮะ”

 

 อมิตาภาเรียกได้ว่าเป็นช่างฝีมือระดับสูง แต่พลังที่แฝงมากับผลงานไม่ได้มาจากตัวพวกเขาเอง พลังนี้มาจากรัศมีเทพของแสงสุดท้ายที่อมิตาภาใช้ในขั้นตอนการสร้างของวิเศษต่างหาก

 

 ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าพลังของ ‘แสงแรก’ ตามตำนานไม่เป็นที่กังขา

 

“เอาเป็นว่าอมิตาภาเสริมพลังให้ม่านป้องกันไปแล้วฮะ เพื่อที่จะปกป้องผู้พิทักษ์ของป่าแมงมุมด้วยฮะ แต่นั่นก็ทำให้พลังบางส่วนของแสงสุดท้ายฝังรากลงไปฮะ ถึงจะดึงออกได้แต่ก็ต้องใช้เวลาพอประมาณเลยฮะ”

 

 สิ่งที่สำคัญที่สุดต่ออมิตาภาก็คือแสงสุดท้าย แม้อาจจะดูผิดต่อผู้พิทักษ์ของป่าแมงมุมอยู่บ้าง แต่ป่าแมงมุมเป็นเพียงเรื่องรองเท่านั้น

 

“พวกภูติที่คลุ้มคลั่งเข้าร่วมกับพวกพลังสีม่วงฮะ ยิ่งเวลาผ่านไปพวกมันก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างวันนี้ม่านป้องกันก็พังไปอีกหนึ่งฮะ ตอนนี้ก็เหลือม่านป้องกันแค่อันสุดท้ายแล้วฮะ”

 

 ชัดเจนว่าไจแอนท์สีขาวตนนั้นพังม่านพลังลงได้สำเร็จ

 

 เฟลิซีถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“อมิตาภา จะเกิดอะไรขึ้นถ้าแสงสุดท้ายดับสูญไป?”

 

“ม ไม่รู้ฮะ อมิตาภาไม่เคยเห็นมาก่อนฮะ บางที… โลกนี้อาจจะดับสิ้นตามคำทำนายก็ได้ฮะ”

 

 อมิตาภาตอบด้วยเสียงที่ไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง อมิตาภาเป็นสาวกติดตามแสงสุดท้าย เรื่องแสงสุดท้ายดับสูญจึงเป็นเรื่องที่สร้างความวิตกให้กับอมิตาภาอย่างมาก

 

“แล้วอิชย์อยู่แถวนี้ด้วยเปล่าฮะ?”

 

“ไม่อยู่”

 

 คำตอบของอินกองทำให้เจ้าแรคคูนตัวน้อยถอนหายใจออกมา ซึ่งอินกองก็เข้าใจ เพราะหากปราชญ์ดาบอยู่กับพวกเขาด้วย ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้คงจบลงได้อย่างง่ายดาย

 

“บัดซบที่สุดฮะ เอาเป็นว่าอมิตาภาต้องการความช่วยเหลือฮะ”

 

 อมิตาภาลุกขึ้นยืนอีกครั้งมองไปยังอินกองและเฟลิซี โดยเฉพาะเฟลิซี นางมีทีท่าใจอ่อนขึ้นมาเมื่อมองใบหน้ากลมบ๊อกที่มีดวงตาเอ่อคลอ

 

“ทั้งสองต้องช่วยอมิตาภาฮะ ปกป้องแสงสุดท้ายและป่าแมงมุมฮะ หยุดยั้งพวกนั้นด้วยเกียรติยศหน้าที่ของราชวงศ์ฮะ”

 

 เฟลิซีพยักหน้าในทันทีเมื่อได้ยินคำว่า ‘เกียรติยศและหน้าที่’ แต่ก็มีเสียงดังแทรกขึ้นมา

 

“เดี๋ยวดิ! เดี๋ยวก่อน!”

 

 เจ้าออร์คที่นั่งฟังมาตลอดเป็นเจ้าของเสียงที่ดังขึ้น แน่นอนว่านี่สร้างความประหลาดใจให้กับทั้งอินกองและเฟลิซีแต่คารัคไม่สนใจทั้งสอง มันกอดอกแล้วจ้องมองลงมายังอมิตาภา

 

“ถ้าองค์หญิงองค์ชายช่วยแล้วจะได้อะไรตอบแทน?”

 

“ฮะ?”

 

“รางวัลไง รางวัลอะ คงไม่ใช่ว่าจะให้พวกเราเสี่ยงตายโดยไม่หวังอะไรตอบแทนหรอกนะ?”

ไม่เอ๊า ไม่เอา อย่าโลกสวยสิ ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆหรอกนะ ( ಠ ͜ʖ ಠ)

 

 ทั้งเฟลิซีและเดเลียจ้องมองกันอย่างงุนงงกับคำพูดของคารัค แต่สีหน้าของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปเมื่อหันไปเห็นว่าอินกองทำเพียงเฝ้าดูเหตุการณ์

 

 อมิตาภาจ้องมองอินกองกับเฟลิซีอย่างไม่อยากเชื่อสายตาก่อนจะตีอกตัวเองอย่างหงุดหงิด

 ไอ้พวกขุนนางคอรัปชั่นเอ้ยยยยย เจ้าแรคคูนตัวน้อยกรีดร้องในใจ (`皿´#)

 

“ไม่ได้ยินหรือไงฮะ? นี่มันสถานการณ์ขั้นวิกฤติที่แสงสุดท้ายอาจดับสูญไปได้เลยนะฮะ!”

 

“แต่แกก็บอกเองว่าแกก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บางทีถึงแสงสุดท้ายดับสูญไปก็อาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้”

 

 คารัคโต้ตอบด้วยคำพูดและสีหน้าเรียบเฉยอย่างไม่สะทกสะท้าน

 

 อมิตาภากำหมัดแน่นหลังจากได้ยินคำพูดไร้สาระของเจ้าออร์ค เจ้าแรคคูนใช้หางตีพื้นพลางตะโกนตอบอย่างไม่ชอบใจ

 

“ก็ได้ฮะ ไหนๆก็มาที่นี้เพราะจะให้ทำของให้อยู่แล้ว งั้นอมิตาภาจะทำของวิเศษอย่างละชิ้นให้องค์หญิงองค์ชาย ตกลงมั้ยฮะ?”

 

 สายตาของอมิตาภากลับไม่ได้จ้องไปที่อินกองและเฟลิซี แววตาคู่นั้นมองไปที่เจ้าออร์คอย่างเคียดแค้น

 

 ทว่านั่นก็ยังไม่เพียงพอ

 

“นั่นมันก็น้อยไปหน่อยนะ สาวน้อยที่หมดสติอยู่ตรงนั้นก็คือเจ้าหญิงลำดับที่แปดเคทลิน มูนไลท์ นางต่อสู้กับศัตรูจนหมดสติ แล้วไหนจะพวกเราที่ต้องเสี่ยงตายอีก ข้าไม่คิดว่าชีวิตของราชวงศ์จะราคาถูกขนาดนี้หรอกนะ ไหนจะเดเลีย เซร่า ดาฟเน่ กรีนวินด์อีก”

 

 คารัคละชื่อโรบินเอาไว้ ไม่ว่าด้วยความจงใจหรือหลงลืมก็ตาม

 

 อมิตาภากุมขมับนั่งลงบนหางอีกครั้งก่อนจะตอบด้วยเสียงเบาบาง

 

“ไอ้เ… รู้มั้ยว่าของวิเศษของอมิตาภาราคาเท่าไรกันฮะ?”

 

“ไม่รู้หรอก จำเป็นต้องรู้ด้วยเรอะ?”

 

 นี่จะเรียกว่าความกล้าหรือว่าบ้าบอดี?

 

 ต่อหน้าความไร้ยางอายของคารัค อมิตาภาได้แต่พูดไม่ออก เจ้าแรคคูนพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังอินกองกับเฟลิซีแต่ก็ไร้ผล

 ไอ้พวกขุนนางคอรัปชั่นเน่าเฟะเอ้ยยยยย เจ้าแรคคูนตัวน้อยกรีดร้องในใจอีกครั้ง (ಥ﹏ಥ)

 

“ก็ได้ ก็ด้ายยยยยยย อยากได้อะไรก็เอาเลยฮะ อมิตาภาจะทำของวิเศษให้ทุกคนเลยฮะ พอใจรึยังฮะ?”

 

 เรียกได้ว่าเป็นข้อเสนอที่สุดจะเหลือเชื่อ แต่ก็ยังไม่พอสำหรับเจ้าออร์คที่ไร้ความปรานี

 

“มีพวกเราอีกคนที่กำลังเดินทางไปขอกำลังเสริม นางเป็นกำลังสำคัญขององค์ชาย”

 

 อินกองนึกถึงกัมมะแล้วผงกหัว ตัวเขาในตอนนี้มีองครักษ์เพียงสองตนจึงเรียกได้ว่านางเป็นกำลังสำคัญ

 

 อมิตาภากระโดดกรีดร้องออกมา

 

“แค่นั้นนะฮะ! ไม่มากไปกว่านั้นแล้วนะฮะ!”

 

“เข้าใจแล้ว หนึ่งชิ้นสำหรับกัมมะที่กำลังไปขอกำลังเสริม แล้วหนึ่งชิ้นต่อสมาชิกทั้งหมดตรงนี้… รับปากแล้วนะ?”

 

“อมิตาภาสัญญาฮะ”

 

 อมิตาภาคอตกพูดออกมา คารัคหัวเราะก่อนจะหันไปมองเจ้าหญิงเจ้าชายทั้งสอง

 

“องค์ชายองค์หญิงคิดว่ายังไงบ้าง?”

 

“ไม่เลวเลย”

 

“ทำดีมาก”

 

 อินกองตอบพลางมองไปยังเจ้าแรคคูนที่น่าสงสาร อมิตาภาทำได้แต่ส่งสายตาเคียดแค้นมองดูนายบ่าวที่น่าเกลียดชังตรงหน้า

 

“อมิตาภาจะกลับไปกลางป่าก่อนฮะ พวกคุณไม่ใช่ภูติเพราะงั้นตามมาก็หลงทางแน่นอนฮะ ภาพมายาพวกนี้จะหายไปในตอนเช้า เพราะงั้นถือเจ้านี่แล้วเข้ามากลางป่าฮะ มันจะช่วยให้สามารถเดินผ่านม่านพลังของอมิตาภาได้ฮะ”

 

 อมิตาภาส่งใบไม้ให้กับคณะของอินกอง เป็นใบไม้ที่ทำจากโลหะแต่มีรูปร่างที่สมจริงมาก

 

“เราเข้าใจแล้ว”

 

“งั้นเจอกันพรุ่งนี้ฮะ”

 

 อมิตาภาถอนหายใจออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ก่อนจะกระโดดหายเข้าไปในพงหญ้า

 

 หลังจากเวลาผ่านไปสักครู่จนอินกองมั่นใจว่าอมิตาภาจากไปแล้ว เขาก็ยักไหล่แล้วถามขึ้น

 

“อย่างกับฝ่าพายุมาได้เลย ว่ามั้ย?”

 

 ไม่ใช่เพียงคำเปรียบเปรย แต่อินกองรู้สึกเช่นนั้นจริง ไหนจะการเจรจากับอมิตาภาที่ดำเนินไปอย่างผิดคาดอีก

 

 คารัคเกาหัวของมันแล้วตอบ

 

“ข้าขอโทษถ้าทำอะไรเกินไป แต่มันก็ช่วยไม่ได้ในฐานะองครักษ์มือขวาขององค์ชาย”

 

 เมื่อพูดถึงเกียรติยศและหน้าที่ของราชวงศ์แล้ว อย่างไรเสียพวกเขาก็ต้องรับคำขอของอมิตาภาอยู่ดี

 

 เฟลิซีพูดออกมาอย่างยิ้มแย้มให้กับคารัค

 

“ผลสรุปออกมาไม่เลวเลย ยิ่งพวกเราได้ของวิเศษจากอมิตาภามากเท่าไรก็ยิ่งดี แต่ฉันก็แอบกังวลอยู่ว่าของวิเศษพวกนี้อาจมีตำหนิเพราะความโกรธของอมิตาภาหรือเปล่า?”

 

“ไม่มีทาง ยิ่งเก่งกาจก็ยิ่งทะนงตน เจ้าแรคคูนนั่นไม่มีทางทำของมีตำหนิออกมาแน่นอน”

 

 คารัคมิได้กดดันอมิตาภาโดยไม่คิด หากมันกลัวว่าจะได้รับของมีตำหนิอย่างเฟลิซี มันคงไม่เลือกใช้วิธีนี้

 

 อินกองก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน

 

“ผมเห็นด้วยกับคารัค ด้วยชื่อของอมิตาภาแล้ว ไม่มีทางที่ของพวกนี้จะออกมามีตำหนิแน่นอน”

 

 นั่นก็เพราะอมิตาภาเป็นเช่นนั้น ยิ่งเมื่อของเหล่านี้จะได้รับพลังจากรัศมีเทพของแสงสุดท้ายด้วยแล้ว การมีตำหนิยิ่งเป็นการหมิ่นต่อแสงสุดท้าย

 

“ถ้าอย่างนั้น ทำได้ดีมาก”

 

 อมิตาภาไม่ใช่ช่างฝีมือทั่วไป การได้เจรจาข้อตกลงก็นับว่าโชคช่วยแล้ว

 

 ในเมื่อการแลกเปลี่ยนนี้คงเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว การได้รับประโยชน์ให้มากที่สุดย่อมเป็นผลดีกับคณะของอินกอง

 

 คารัคหัวเราะรับคำชมจากเฟลิซีที่นานครั้งจะมี

 

“ด้วยความยินดี”

 

 ไม่เพียงแต่เฟลิซีเท่านั้น แม้แต่ดาฟเน่และเดเลียต่างก็จ้องมองคารัคอย่างชื่นชม สายตาของทั้งสองแฝงไปมากกว่านั้น ราวกับจ้องมองบุรษผู้เป็นหนึ่งในดวงใจ

 

‘ก็นะ ใครก็ตามที่ได้แต่งกับเจ้าออร์คนี่คงไม่อดตายแน่นอน’

 

 อินกองพยักหน้าอย่างเสียมิได้แล้วสูดหายใจ

 

“แต่ถึงอย่างนั้น… เหตุการณ์นี้มันต่างไปจากปกติซะเหลือเกิน”

 

 ยิ่งเมื่อมีเรื่องของแสงสุดท้ายเข้ามาพัวพันด้วยแล้วยิ่งทำให้สถานการณ์บานปลาย ถึงแม้จะไม่มีใครรับรู้ได้ว่าโลกจะดับสิ้นคู่กับการดับสูญของแสงสุดท้ายก็ตาม แต่การปล่อยให้เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สูญสิ้นก็คงไม่ต่างจากความหวังที่จางหาย

 

 นอกจากนี้ยังมีเรื่องของเหล่าสัตว์อสูรกับไอพลังสีม่วงอีก

 

 จุดประสงค์ของพวกมันคืออะไรกันแน่? ทำไมพวกมันถึงมาโจมตีที่นี่?

 

“แต่ก็อย่างที่อมิตาภาพูด  การปกป้องผู้พิทักษ์ของป่าแมงมุมและแสงสุดท้ายเป็นเกียรติยศและหน้าที่ของราชวงศ์ พวกเราต้องยื้อสถานการณ์ไว้ให้ได้จนกัมมะนำกำลังเสริมกลับมา”

 

 เฟลิซีประกาศออกมาพลางจ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ผิดแปลกไป อินกองก็เช่นกัน

 

 พระจันทร์สีเขียวบนท้องฟ้าส่องสว่างราวกับตอบรับคำของพวกเขา

 

 

ไม่รู้ช้าไปหรือเปล่านะครับ แต่จะเปลี่ยน “ผู้พิทักษ์ควิเอียน” เป็น “เทพพิทักษ์ควิเอียน” เพื่อไม่ให้สับสนกับผู้พิทักษ์ของสถานที่ต่างๆ ยังไงจะทยอยกลับไปแก้ตอนเก่าทีหลังครับ