ราวกับโลกได้แปรเปลี่ยนในพริบตาที่แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่อง
ป่าแมงมุมที่กำลังตกอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่งก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เหล่าสัตว์ป่าและสัตว์อสูรต่างหลับไหล ราวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนกลางคืนเป็นเรื่องโกหก
หลังจากคณะของอินกองพบกับอมิตาภา ระลอกการโจมตีก็หยุดลงแต่ก็ไม่อาจไว้วางใจได้นัก พวกเขาจึงผลัดกันพักผ่อนโดยสลับเวรยาม
ดาฟเน่ผู้ที่เฝ้ายานเป็นตนสุดท้ายได้เล่าสิ่งที่เกิดให้กับไลแคนโทรปทั้งสามที่เพิ่งตื่น
เคทลินและเซร่าต่างเขินอายกับการกระทำของพวกนาง เฟลิซีเข้าปลอบประโลมทั้งสองพลางมอบหมายงานให้โรบิน เนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้ย่ำแย่กว่าตอนที่กัมมะจากไป นางคิดว่าพวกเขาควรแจ้งข่าวเพิ่ม
โรบินรีบเดินทางไปอย่างรวดเร็วในร่างสัตว์สมิง คณะของอินกองที่เหลือใช้เวลาพักรับประทานอาหารก่อนจะเดินทางเข้าส่วนลึกของป่าแมงมุม
ไม่มีสัตว์ป่าพุ่งเข้ามาโจมตีแต่อย่างใด ที่พวกเขาพบก็เป็นเพียงสัตว์ที่เหนื่อยล้าในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ทั้งหมดจึงเลี้ยงโดยไม่มีการปะทะเกิดขึ้น
ด้วยแผนที่ย่อของอินกอง
คณะเดินทางก็พบตัวอมิตาภาอยู่บริเวณใกล้เคียงกับม่านพลัง ส่วนเจ้าแรคคูนที่ยืนรออยู่บนก้อนหินก็ได้แต่ส่งสายตามาทางพวกเขาอย่างไม่พอใจ
“อะไรเนี่ยฮะ ทำไมเหมือนมีใครก็ไม่รู้เพิ่มขึ้นมาฮะ?”
สายตาของแรคคูนตัวน้อยเพ่งเล็งไปยังกรีนวินด์ที่ลอยตัวอยู่ข้างอินกอง กรีนวินด์กอดอกพูดโต้ตอบออกมาในลักษณะเดียวกับที่คารัคทำ
“เจ้าแรคคูนพูดมาก ข้าก็อยู่เคียงข้างนายท่านเมื่อวาน ฉะนั้นมันก็สมควรที่จะมีส่วนของข้าด้วย”
เสียงอันโอ่อ่าของที่ราบอินคา แต่อมิตาภากลับไม่ค่อยชอบใจในเนื้อหาของเสียงนั้น
“หล่อนเป็นเทพารักษ์นิฮะ ทำไมอมิตาภาต้องทำของวิเศษให้ผู้พิทักษ์อย่างหล่อนด้วยฮะ?”
กรีนวินด์ส่ายหน้าปัดคำพูดของเจ้าแรคคูนพลางกล่าวแย้งกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ข้าเป็นของนายท่านและนายท่ายก็เป็นของข้า ใช่แล้ว เพื่อให้ได้รับคำชม ข้าต้องการจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องมิให้นายท่านได้รับบาดเจ็บ”
หลังจากพูดเสร็จ กรีนวินด์ก็หันมายิ้มให้อินกอง แววตาของนางบ่งบอกว่า ‘ถึงเวลาชมข้าแล้ว’
ขณะที่ทุกสายตาจ้องมาที่ทั้งสอง อินกองก็ได้แต่ลูบหัวชมเชยกรีนวินด์อย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นั่นทำให้อมิตาภายืนอึ้งไปกับเหตุการณ์ตรงหน้า
คารัคพูดตัดขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
“ข้าอยากจะบอกว่ามีสหายของพวกเราอีกหนึ่งที่เพิ่งจะเดินทางไปแจ้งข่าวเพิ่มเติม แน่นอนว่าสหายผู้นั้นก็อยู่กับพวกเราด้วยเมื่อวาน”
สหายที่ว่าก็คือโรบิน
อมิตาภาได้แต่กรีดร้องออกมาแทนคำตอบ ก่อนจะชำเลืองไปยังเหล่าผู้ที่ไม่ได้พูดคุยด้วยเมื่อวาน
“องค์หญิงลำดับที่แปดและองครักษ์สินะฮะ?”
“เซร่า”
“แรคคูนพูดได้ สุดยอด!”
ไม่ต้องอธิบายมากมายก็รู้ว่าเป็นเสียงของเซร่าตามมาด้วยเคทลิน เคทลินอุทานออกมาอย่างลืมตัวก่อนจะระลึกถึงข้อผิดพลาดของนาง
แก้มของนางแดงก่ำอย่างเขินอาย
“เราคือเจ้าหญิงลำดับที่แปดเคทลิน มูนไลท์ เป็นเกียรติที่ได้พบกับช่างฝีมือตามตำนาน”
เมื่อมองข้ามสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น บุคลิกของเคทลินในตอนนี้ไม่แตกต่างไปจากราชินีเอเลนแต่อย่างใด
ทว่าแม้การกล่าวแนะนำตัวจะจบไปด้วยดี แต่ใบหน้าของนางก็ยังแสดงความเคอะเขินอยู่เล็กน้อย ดวงตาของนางจ้องมองไปยังอมิตาภาราวกับมีบางอย่างที่ยากแก่การพูดออกมา
อมิตาภาเห็นแววตานั้นก็ถามกลับพลางหัวเราะอย่างร่าเริง
“ทำไมฮะ อยากพูดอะไรรึเปล่าฮะ?”
“ข เราขอจับหน่อยจะได้ไหม?”
เคทลินถามอย่างลังเล เฟลิซีได้แต่ตกตะลึงกับท่าทางของนาง ส่วนเซร่าก็ได้แต่หัวเราะเล็กน้อยราวกับคาดการณ์เอาไว้แล้ว
คริสต์เปรียบเสมือนหมุดที่คอยตอกปิดผนึกอารมณ์ของเคทลินเอาไว้ ในยามคริสต์ไม่อยู่จึงไม่แปลกที่ความรู้สึกที่ถูกปิดกั้นจะแสดงออกมา
อมิตาภาสงวนท่าทีเล็กน้อยแต่ก็ตอบตกลง
“อมิตาภาไม่ว่าอะไรฮะ”
“ขอบคุณ”
เคทลินพุ่งตัวเข้าหาเจ้าแรคคูนอย่างยินดี นางเอื้อมมือออกไปลูบหัวอมิตาภาที่กำลังหลับตาพริ้มอย่างเพลิดเพลิน
กรีนวินด์ที่เห็นเหตุการณ์หรี่ตาลงก่อนจะถามอินกอง
“นี่ข้าแสดงท่าทางน่าอับอายเช่นนั้นออกมาเวลาได้รับคำชมจากนายท่านหรือเปล่า?”
“ไม่เลย มันแย่กว่านั้นอีก”
คำตอบของอินกองทำให้กรีนวินด์ตาโต แต่อินกองก็ลูบหัวนาง กรีนวินด์ขมวดคิ้วก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างพึงพอใจในเวลาต่อมา
ท่ามกลางบรรยากาศอันแปลกประหลาดนี้ เฟลิซีเป็นผู้ที่กล่าวตัดบทออกมา
“อืมม เอ่ออ เอาเป็นว่า… มาเข้าประเด็นกันเถอะ”
อมิตาภาที่ตอนนี้อยู่ในอ้อมกอดของเคทลินพูดหยอกล้อออกมา
“จะกอดอมิตาภาก็ได้นะฮะ อมิตาภาไม่ว่าอะไรฮะ”
“นั่น… ไม่จำเป็น”
เฟลิซีตอบอย่างลังเลก่อนจะปฏิเสธแล้วนำพัดของนางขึ้นมากางปกปิดใบหน้า
การแสดงออกของเคทลินทำให้อมิตาภาอารมณ์ดีขึ้น แล้วการสนทนาก็เริ่มขึ้นในที่สุด
“คืนนี้พวกนั้นก็คงเข้าโจมตีม่านพลังอีกแน่ๆฮะ อมิตาภาก็วางแผนตั้งรับไว้แล้วฮะ”
อมิตาภากระโดดออกจากอ้อมกอดของเคทลินพลางดึงม้วนกระดาษออกมาจากอากาศธาตุ อินกองไม่มั่นใจว่านี่เป็นช่องเก็บของเช่นเดียวกับเขาหรือของวิเศษบางอย่าง แต่สิ่งที่สำคัญคือม้วนกระดาษนั้น
ภายในม้วนกระดาษเป็นลูกไฟขนาดเล็กพร้อมกับรายละเอียดภูมิประเทศโดยรอบ
“จนถึงตอนนี้กลยุทธของศัตรูแบ่งเป็นสองขั้นฮะ ขั้นแรกคือใช้พวกสัตวป่า/อสูรที่คลุ้มคลั่งเข้าโจมตีอย่างไร้แบบแผนฮะ อย่างที่เห็นกันแล้วเมื่อวานฮะ”
สัตว์ที่คลุ้มคลั่งเหล่านั้นวิ่งโจมตีไปมาและแน่นอนว่าเป็นอิทธิพลจากเหล่าภูติที่คลุ้มคลั่ง
อมิตาภาชำเลืองมองไปยังเคทลินและเซร่าแล้วหันไปหาอินกอง
“ไลแคนโทรปจะโดนอิทธิพลจากภูติที่คลุ้มคลั่งเพราะสัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวฮะ หวังว่าจะเตรียมวิธีการรับมือกันมาแล้วนะฮะ”
“เราเตรียมวิธีรับมือมาเรียบร้อย”
คณะของอินกองได้ปรึกษากันถึงเรื่องนี้มาแล้วเมื่อคืนวาน แน่นอนว่าคำตอบของอินกองสร้างความพอใจให้กับอมิตาภา
“พอม่านพลังเริ่มอ่อนกำลังลง เจ้าไจแอนท์สีขาวตัวนั้นก็จะโผล่มาทำลายฮะ เมื่อวานทันเห็นเจ้าตัวปัญหานั่นกันมั้ยฮะ?”
“อืม มันมีแสงสีขาวเรืองออกมาทั้งตัว”
“นั่นเป็นผลจากการรวมตัวของภูติที่คลุ้มคลั่งฮะ โดยมีพลังสีม่วงๆนั่นเป็นตัวช่วยฮะ”
ไจแอนท์สีขาวมีความสูงราวยี่สิบเมตร สูงยิ่งกว่าซอมบี้ดราก้อนเสียอีก
“พวกมันทำแบบนี้มาสักพักจนเรียกเป็นกิจวัตรละฮะ คิดว่าวันนี้ก็น่าจะเหมือนเดิมฮะ แผนของอมิตาภาก็ง่ายๆฮะ”
อมิตาภานำเหรียญสีแดงแทนศัตรูวางบนกระดาษแผนที่
“ถ้าทำให้ม่านพลังส่วนหนึ่งเป็นรู พวกมันก็น่าจะแห่กันโจมตีตรงนั้นฮะ ที่เหลือก็แค่ให้พวกองค์ชายคอยจัดการศัตรูบริเวณนั้นฮะ”
อมิตาภานำเหรียญสีน้ำเงินและสีขาววางลงตามลำดับ
“ถ้าม่านพลังไม่อ่อนพลังลง ไจแอนท์สีขาวตัวนั้นก็ไม่สามารถทำลายมันลงได้ฮะ หลังจากเป็นกิจวัตรประจำวันมาสักพัก อมิตาภาพอจะรู้ว่าไจแอนท์นั่นอยู่ได้ไม่นานฮะ”
อมิตาภาเคลื่อนเหรียญสีแดงแล้วใช้เหรียญสีขาวเคาะบริเวณที่น่าจะเป็นม่านพลัง
“พอถึงตอนเช้าถ้าม่านพลังยังไม่ถูกทำลาย พวกนั้นก็จะถอยกลับไปฮะ ถ้าพวกเราถ่วงแบบนี้ได้อีกสักสองวันพวกเราก็จะชนะฮะ”
หลังจากอมิตาภาอธิบายเสร็จ เฟลิซีก็ย่อตัวลงเพื่อพูดคุยในระดับสายตาของเจ้าแรคคูน
“จะบอกว่าอีกสองวันจะมีกำลังเสริมมาถึงสินะ?”
สองวันดูจะเร็วไปหากนี่หมายถึงกำลังเสริมที่จะมาพร้อมกับกัมมะ แต่เหมือนอมิตาภาจะไม่ได้หมายความเช่นนั้น
“มีกำลังเสริมแน่นอนฮะ แต่จะเรียกว่าไม่ใช่กำลังเสริมก็ได้ฮะ”
อมิตาภายิ้มพลางชี้ไปยังลูกไฟ
“ใจกลางม่านพลังบริเวณที่แสงสุดท้ายฝังรากอยู่ อมิตาภากำลังเติมพลังให้อาวุธวิเศษอยู่ฮะ หลังการเติมพลังเสร็จสิ้นอาวุธนี้จะทรงพลังพอที่จะใช้กำจัดไจแอนท์ตัวนั้นได้ฮะ”
เสียงของอมิตาภาดังขึ้นเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิในอาวุธวิเศษของตน นัยน์ตาของเฟลิซีส่องประกายขึ้นมาหลังจากได้ยินเกี่ยวกับอาวุธวิเศษ แต่คารัคต่างออกไป
“ทำไมถึงสร้างให้ต้องเติมพลังด้วย”
อาวุธที่ใช้ได้เพียงครั้งคราวไม่เป็นที่สนใจของเจ้าออร์คสักเท่าไร
อมิตาภาจ้องไปยังคารัคก่อนจะใช้หางทุบพื้น
“ไม่มีวัสดุอะไรที่สามารถเก็บพลังของแสงสุดท้ายไว้ได้นานหรอกฮะ เอาเป็นว่าพอจะเข้าใจแผนการคร่าวๆแล้วใช่มั้ยฮะ?”
“คิดว่านะ สรุปก็คือพวกเราแค่ต้องต้านทานเอาไว้สองวัน?”
เฟลิซีถามเพื่อความมั่นใจและเจ้าแรคคูนก็พยักหน้ารับ
“ใช่แล้วฮะ ตามการคาดการณ์ของอมิตาภาพวกเราไม่จำเป็นต้องสู้กับไจแอนท์ตัวนั้นฮะ”
เป็นแผนการที่ดูดีจนเกินไป อินกองหยิบเหรียญสีแดงขึ้นบางส่วนก่อนถามเพิ่ม
“อมิตาภา พวกนั้นจะเคลื่อนที่ตามแผนนี้จริงรึ?”
“พวกนั้นจะเคลื่อนที่แบบนี้แน่นอนฮะ พวกนั้นถูกอิทธิพลจากภูติที่คลุ้มคลั่งทำให้ไม่สามารถคิดไตร่ตรองได้ฮะ นอกจากไจแอนท์ตัวนั้นแล้ว พวกที่มีควันสีม่วงไม่สามารถคิดว่างแผนอะไรได้แน่นอนฮะ อย่าห่วงฮะ”
อมิตาภาตอบอย่างมั่นใจก่อนจะหันไปทางเฟลิซี เคทลิน และอินกองตามลำดับ
“ปัญหาก็คือพวกองค์ชายจะรับมือกับศัตรูไหวรึเปล่าฮะ พวกนั้นน่าจะแห่กันมามากกว่าปกติฮะ”
ดูเหมือนศัตรูจะเข้ามารวมตัวบริเวณที่ม่านพลังมีช่องโหว่ เฟลิซีตอบรับคำเจ้าแรคคูนอย่างมั่นใจ
“ถ้าพวกเรารู้ล่วงหน้าว่าศัตรูจะมาจากทางไหน พวกเราก็สามารถเตรียมวิธีการรับมือได้หลากหลายไม่ใช่รึไง? แล้วยิ่งความสามารถของฉัตรกับเคทลินด้วยแล้ว เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาเลย”
เบื้องลึกแล้วเฟลิซีก็หวั่นเกรงว่าทั้งสองอาจได้รับอันตราย แต่นางเชื่อมันในตัวทั้งสอง
อมิตาภาหันไปจ้องอินกองกับเคทลินแล้วพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็พักเตรียมตัวกันเถอะฮะ… สายตานั่นต้องการอะไรฮะ?”
แน่นอนว่าประโยคสุดท้ายของอมิตาภามิได้มอบให้อินกอง เจ้าออร์คคารัคตอบแรคคูนน้อยอมิตาภาด้วยเสียงอันเป็นธรรมชาติ
“หืม แกพอจะสนับสนุนอะไรได้บ้างมั้ย?”
“สนับสนุนอะไรฮะ?”
“ที่นี่ก็เป็นถึงหมู่บ้านแรคคูน แถมพวกเรายังสู้เพื่อปกป้องมันด้วย มันก็น่าจะมีอะไรที่ใช้ช่วยเหลือได้บ้าง”
ความหมายของคารัคก็คือ ในเมื่อที่นี่เป็นถึงโรงเหล็กและคลังแสงของอมิตาภา แล้วไหนจะมีอาวุธวิเศษที่กำลังเติมพลังอยู่ ณ ใจกลางบริเวณที่แสงสุดท้ายฝังรากอีก ที่นี่ย่อมมีของวิเศษนานับประการเป็นแน่
อมิตาภาหรี่ตาลงอย่างไม่ชอบใจ
“แกหมายถึงของวิเศษที่อมิตาภาทำเสร็จไว้ก่อนแล้วหรือฮะ?”
“โอ้ ใช่แล้ว”
คารัคตบมือขึ้นราวกับเพิ่งระลึกถึงความเป็นไปได้
“ถ้าแกให้พวกเรายืมยุทโธปกรณ์เหล่านั้น พวกเราก็จะแข็งแกร่งขึ้น การหยุดยั้งศัตรูก็น่าจะเป็นเรื่องง่ายเลย จริงมั้ย?”
เป็นตรรกะที่สมเหตุสมผล อมิตาภาอึ้งกับคารัคก่อนจะหันไปถามอินกองอย่างลังเล
“แก… ไอ้นั่นมันเป็นออร์คจริงหรือฮะ?”
“ข้าเป็นออร์คเลือดแท้ๆ ไม่มีสายเลือดอะไรผสมทั้งนั้น”
แม้กระทั่งตัวอินกองเองก็แอบสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของคารัคอยู่เป็นบางครั้ง
อมิตาภาถอนหายใจอย่างยอมแพ้ในที่สุด
“ก็ได้ฮะ อมิตาภาจะให้ยืมของวิเศษที่ทำเสร็จแล้วฮะ ถึงจะแค่ยืมก็เถอะฮะ รู้ไว้ด้วยนะฮะว่าได้รับเกียรติขนาดไหนที่สามารถเลือกใช้ของวิเศษของอมิตาภาฮะ”
“ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
คารัคยิ้มรับส่วนอมิตาภาก็ได้แต่ขมวดคิ้ว
“นี่มันสุดยอดมาก”
เคทลินจับอมิตาภาขึ้นมากอดอย่างชื่นชม สีหน้าของอมิตาภายิ้มแย้มขึ้นมาในทันทีก่อนจะหัวเราะออกมา
“อื้ม เรื่องแค่นี้จิ๊บจ้อยมากฮะ”
แม้จะดูเหมือนแรคคูนตัวน้อยน่ารัก แต่บางทีนี่อาจจะเป็นแรคคูนโรคจิตก็เป็นได้ แล้วไหนจะมีนิสัยที่ไม่ต่างไปจากเด็กอีก
“ทำไมฮะ? หรือว่าอยากจะกอดอมิตาภาเหมือนกันฮะ?”
เฟลิซีส่ายหน้าให้กับคำถามอันมีเลศนัยของอมิตาภา
“ไม่จำเป็น ช่วยนำทางพวกเราไปเลือกอุปกรณ์ที่จะให้ยืมด้วย”
“ก็ได้ฮะ เตรียมใจตกตะลึงกันไว้ด้วยฮะ”
อมิตาภากระโดดออกจากอ้อมกอดของเคทลินด้วยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย ก่อนสีหน้านั้นจะเปลี่ยนเป็นวางมาดเดินนำทาง
จะเล็กจะใหญ่จะแบบไหนก็มีเสน่ห์เป็นของตัวเอง แรคคูนนิรนามได้กล่าวไว้ (≖ ͜ʖ≖)
ม ไม่ใช่นะฮะ ม มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดฮะ o(>﹏<)o
&
แล้วรัตติกาลก็มาเยือนป่าแมงมุมอีกครั้ง
หากจะกล่าวว่าอมิตาภาได้เตรียมปราการขนาดย่อมไว้ก็ไม่เกินเลย โขดหินและท่อนไม้ที่วางขวางทางเป็นรั้ว แต่ก็จัดเตรียมเป็นช่องทางเอาไว้
อินกองและเคทลินยืนอยู่ปปลายด้านหนึ่งของช่องทางนี้ ด้านหลังทั้งสองเป็นคารัคและเซร่าพร้อมอาวุธหลากชนิด เฟลิซีและเดเลียแอบประจำการอยู่ด้านข้างพร้อมจู่โจมสนับสนุน และด้านในสุดเป็นดาฟเน่กับอมิตาภา
ทั้งเคทลินและดาฟเน่ต่างก็สวมชุดที่สานขึ้นจากรากไม้บางอย่าง ชุดนี้สร้างขึ้นโดยดาฟเน่เพื่อปกป้องมิให้ทั้งสองได้รับผลกระทบจากภูติที่คลุ้มคลั่ง
อินกองกับเคทลินยืนจับมือกัน อินกองสวมพสุธากัมปนาทเตรียมไว้เรียบร้อย ส่วนเคทลินก็สวมสนับมือวิเศษของอมิตาภา แต่ถึงกระทั้งแก่นทั้งสี่ในตัวของทั้งคู่ต่างก็ส่งปฏิกิริยาต่อกันไม่ต่างจากการจับด้วยมือเปล่า
ทั้งสองกระตุ้นการไหลเวียนของลมปราณ ก่อนจะลืมตาขึ้นพร้อมกันพลางจ้องไปด้านหน้า
โลกกำลังถูกย้อมไปด้วยสีแสดยามอาทิตย์อัศดง ก่อนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงและมืดสนิทลง
อินกองและเคทลินเริ่มตั้งกระบวนท่าของเคล็ดไอศวรรย์ราชันสุร
ไวท์อีเกิ้ลบินขึ้นฟากฟ้าพร้อมภูติที่ดาฟเน่อัญเชิญเข้าประทับร่างเหล่าสมาชิก
“พวกมันมาแล้ว”
มีเสียงร้องเตือนดังขึ้น
พร้อมกับความเงียบสงัดยามค่ำคืนที่จางหายไปกับเสียงอึกทึกอันใกล้เข้ามา