การต่อสู้ของจอมเวทสามารถจำแนกได้เป็นสามประเภท

 

 อย่างแรกก็คือแบบไม่ทันตั้งตัว หรือในอีกความหมายก็คือ เป็นการต่อสู้ที่จอมเวทโดนลอบโจมตี

 

 อย่างที่สองก็คือแบบที่จอมเวทเตรียมการวางแผนเอาไว้

 

 และอย่างสุดท้ายก็คือแบบที่จอมเวทวางกับดักรอศัตรู

 

 สาเหตุก็มาจากพลังในการรบที่แตกต่างอย่างสุดขั้วของทั้งสามประเภท เช่นเดียวกับพลังรบของเหล่าทหารที่สู้ศึกในถิ่นศัตรู ในสมรภูมิกลาง และในเขตปราสาทตนเอง

 

 การเข้าใจในข้อจำกัดทางกลยุทธนี้เป็นความรู้เบื้องต้นของเหล่าจอมเวท และยิ่งระดับความสามารถของจอมเวทที่สูงขึ้น ความแตกต่างของพลังรบที่สามารถแสดงออกมาก็ยิ่งทวีคูณขึ้นไปเช่นกัน

 

 เฟลิซีถือได้ว่าเป็นจอมเวทสูงทีเดียว นางมีเวลาเตรียมการรบราวครึ่งวัน ประกอบกับการที่รู้เป้าหมายของศัตรูชัดเจน นี่เรียกได้ว่าเป็นสมรภูมิรบที่สมบูรณ์แบบที่สุดนับตั้งแต่ที่นางพบกับอินกอง

 

 ทว่าปัญหาในคราวนี้มิใช้ศัตรูผู้ทรงพลังเพียงหนึ่งเดียวอย่างทุกที ปัญหาคือจำนวนอันมหาศาล

 

 ในมือของเฟลิซีคือคทาที่ยืมมาจากคลังแสงของอมิตาภา คทาที่ช่วยเพิ่มสัมผัสพลังเวทมนตร์ให้แก่ผู้ใช้

 

 เมื่อค่ำคืนเข้าย่างกราย พลังของเหล่าภูติที่คลุ้มคลั่งก็แสดงตัวอีกครั้งพร้อมกับภาพลวงที่แผ่ขยายเข้ามา แต่ในครั้งนี้เฟลิซีได้เตรียมพร้อมรับมือมาอย่างเรียบร้อย

 

 เฟลิซีรับรู้ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นรอบตัวผ่านการสัมผัสทางพลังเวทมนตร์ นางรับรู้ถึงสิ่งที่อาจถูกบดบังหากมองด้วยตาเปล่า นางร่ายคาถาออกมาราวกับต้องการประกาศศักดาให้โลกได้รับรู้!

 

เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!

 

 ฟ้าผ่าลงมาก่อนจะตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องอันสนั่นหวั่นไหว หมีป่าที่บุกเข้ามาภายใต้ภาพลวงถูกย่างสดจนไหม้เกรียม เหล่าสัตว์ที่บ้าคลั่งในระยะต่างถูกสายฟ้าที่ผ่าตามลงมาพรากชีวิตในพริบตา

 

 สัตว์ที่บุกเข้ามาเป็นทัพหน้าตายหมดสิ้นอย่างรวดเร็ว แต่นั่นก็ไม่สร้างความหวั่นกลัวให้สัตว์ที่เหลือแต่อย่างใด พวกมันกรูกันเข้ามาทดแทนช่องว่างที่เกิด เหยียบย้ำซากศพที่ดำเป็นตอตะโกอย่างไม่แยแส เฟลิซีก็ไม่นิ่งเฉย หลังจากสายฟ้าก็ตามมาด้วยเปลวไฟพวยพุ่ง

 

 ไฟป่าที่เกิดขึ้นนี้แผ่ขยายไปหลายทิศทางตามการควบคุมของภูติลม ถึงสัตว์ป่าและสัตว์อสูรที่บุกเข้ามาจะอยู่ในสภาพคลุ้มคลั่ง แต่สัญชาตญาณกลัวไฟในตัวของพวกมันก็ยังคงส่งผลให้พวกมันชะงักเล็กน้อย

 

 แม้ศัตรูจำนวนมากจะถูกกำจัดลงอย่างรวดเร็ว แต่เหล่าศัตรูก็แห่กันมาเป็นจำนวนมากตามที่อมิตาภากล่าวเตือนไว้  จุดสีแดงในแผนที่ย่อของอินกองไม่มีวี่แววว่าจะหมดสิ้น

 

 สัตว์อสูรกรูเข้ามาอย่างไม่สนใจว่าทำไมด้านหน้าถึงชะงัก พวกมันเหยียบย้ำทุกสิ่งที่ขวางทาง แม้กระทั่งเส้นทางที่คณะของอินกองจัดเตรียมไว้ก็ไม่ละเว้น ต้นไม้ที่ไม่อาจทนได้ต่อจำนวนถาโถมล้มระเนระนาด เกิดเป็นเส้นทางเพิ่มให้เหล่าสัตว์ที่คลุ้มคลั่งใช้บุกจู่โจม

 

 เฟลิซีได้คาดการณ์เผื่อไว้ก่อนแล้ว นี่จึงไม่สร้างความวิตกให้นางแต่อย่างใด

 

 เวทมนตร์กรีซซ์ได้เปลี่ยนพื้นดินโดยรอบไว้ก่อนแล้ว ด้วยสภาพผืนดินที่เป็นโคลนตมทำให้พวกสัตว์ที่บุกเข้ามาเสียหลัก มีบ้างที่ล้มลงกระแทกพื้นอย่างรุนแรงจนตาย ส่วนใหญ่พวกที่ล้มจะถูกสัตว์ที่ตามมาเหยียบย้ำจนตายเสียมากกว่า

 

 บางจุดเป็นเพียงกับดักหลุมหนามทั่วไป แต่ใช้รับมือกับสถานการณ์แบบนี้ได้อย่างดี

 

 ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีสัตว์อสูรร่วมร้อยต่างโอดครวญล้มตายด้วยกับดักของเฟลิซี

 

 คารัคมองเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างเหลือเชื่อ เซร่าได้แต่อ้าปากค้าง ใบหน้าของเดเลียมีเพียงรอยยิ้มเล็กน้อย

 

 เจ้าหญิงลำดับที่หก เฟลิซี ดูมเบลด…

 

 บุตรีแห่งจอมมาร หนึ่งในตัวตนที่มิอาจมองข้ามได้!

 

บรึ้ม บรึ้ม!

 

 เสียงระเบิดดังขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่าเหล่าศัตรูบุกเข้ามาถึงกับดักชั้นสุดท้าย

 

“แผนสอง!”

 

 เฟลิซีตะโกนบอกให้อินกองและเคทลินเตรียมพร้อม ทั้งคู่ตั้งท่าก่อนจะพุ่งเข้ารับมือกับศัตรู

 

 ซากศพเหล่าสัตว์ที่ล้มตายก็ถือเป็นอุปสรรคต่อการบุก จำกัดเส้นทางที่ศัตรูที่เหลือสามารถใช้

 

 สิ่งที่อินกองและเคทลินต้องทำก็คืออุดช่องว่างที่หลงเหลือ แม้ทั้งสองจะแยกกันแต่ก็มีลมปราณสีขาวและน้ำเงินเชื่อมโยงมือของทั้งคู่เอาไว้ราวกับเส้นด้าย

 

 อินกองสูดหายใจเตรียมตัวรับมือกับสัตว์อสูรที่กำลังบุกเข้ามา

 

 ทักษะกายาชาตรี

 

 ทักษะนี้ทำให้อินกองเติบโตรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ระหว่างการต่อสู้

 

 แรกเริ่มเดิมทีการเคลื่อนไหวของอินกองดำเนินตามแต่ที่เขาคิด จนกระทั่งตัวเขาเองเริ่มสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลง อินกองเคลื่อนไหวร่างกายในลักษณะที่เหนือความคาดหมาย

 

 เขามิได้เพียงระเบิดพลังลมปราณอย่างทุกที เขาควบคุมบงการมัน

 

 ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นต่างไปจากทุกครั้ง พลังที่พวยพุ่งออกมาทรงพลังมากยิ่งขึ้น

 

 หากอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ อินกองใช้เคล็ดวิชาเช่นทุกครั้ง แต่ในครั้งนี้เขาเข้าใจถึงแก่นและหลักการของมัน

 

 [เพิ่มระดับขั้นทักษะ เคล็ดประกาศิตจุตสุร – วายุ]
 [เพิ่มระดับขั้นทักษะ เคล็ดประกาศิตจิตสุร – ภูผา]
 [เพิ่มระดับขั้นทักษะ เคล็ดประกาศิตจุตสุร – อัสนี]

 

 การเข้าใจของอินกองส่งผลให้ระดับขั้นทักษะของเขาเพิ่มขึ้น นั่นก็เพราะการบรรลุถึงสิ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อฝึกฝนพยายามเข้าใจสิ่งนั้นอย่างถ่องแท้

 

 นี่ทำให้อินกองรู้สึกดีเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ความรู้สึกในแบบที่เขาเอาชนะศัตรูได้

 

 อินกองมีความชำนาญในทักษะมากขึ้น นี่เป็นความภาคภูมิใจที่เขี้ยวเล็บของตนแหลมคมยิ่งขึ้น เมื่ออินกองนึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่คารัคส่งดาบให้อินกองใช้ เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

 

 อินกองรับรู้ถึงความยินดีของเคทลินผ่านทางลมปราณที่เชื่อมทั้งคู่ไว้ นางแสดงความยินดีที่อินกองบรรลุบางอย่างได้ด้วยตนเอง ระหว่างที่ทั้งสองยังคงต่อสู้กับศัตรู ทั้งสองต่างผลักดันซึ่งกันและกัน และคอยระวังให้กันและกัน

 

 เป็นการประสานราวกับวังวน ที่ล่อลวงดูดกลืนทุกสิ่งเข้ามาทำลายให้ป่นปี้ นั่นทำให้เซร่าที่เฝ้ามองทั้งสองอยู่ประหลาดใจ

 

 การเคลื่อนที่ของอินกองและเคทลินประสานเข้าลงรอยอย่างเหลือเชื่อ ไม่ต่างจากการประสานระหว่างคริสต์และเคทลินที่ฝึกฝนด้วยกันมายาวนาน หรืออาจจะเหนือกว่านั้นอีกก็เป็นได้

 

“คุร่าฮ์!”

 

 คารัคส่งเสียงคำรามออกมา เซร่าหันไปมองคารัคที่กำลังกวัดแกว่งขวานในมือด้วยเสียงหัวเราะ มีประกายสายฟ้าส่องสว่างออกมาในทุกครั้งที่ปลายขวานสะบัด นี่เป็นอีกหนึ่งอาวุธวิเศษที่กู้ยืมมาจากอมิตาภา

 

 เซร่าเข้าใจความหมายที่เจ้าออร์คสื่อในทันที ‘นี่ไม่ใช่เวลามามัวยืนชื่นชม’ นั่นทำให้นางรู้สึกอับอายที่ลืมหน้าที่ของตนไปชั่วขณะ แต่ความตรงไปตรงมาของเจ้าออร์คก็ทำให้นางรู้สึกดี แล้วไลแคนโทรปผมบลอนด์ก็กลายร่างเป็นเสือดาวที่น่าเกรงขาม

 

 แนวหน้าทั้งสี่ต่างเข้าปะทะกับศัตรูตรงหน้า ขั้นตอนถัดไปจากนี้ไม่มีอะไรทียุ่งยาก จะมีก็จำนวนของศัตรูที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง

 

 ระหว่างที่ดาฟเน่ใช้พรช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายให้เหล่านักรบ สายตาของนางก็ชำเลืองไปเห็นอมิตาภา เจ้าแรคคูนไม่มีท่าทางหัวเราะชอบใจอย่างปกติ สายตาของอมิตาภามองไปยังอินกองและเคทลิน สายตาในลักษณะของนายพรานที่พบเหยื่อพร้อมเสียงพึมพำเล็กน้อย

 

“เราอยากทำมันจริงๆแฮะ”

 

 ดาฟเน่ตาโตขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อกับสิ่งที่นางได้ยิน

 

“ดูเหมือนจะต้องปรับแต่งนิดหน่อย มันในตอนนี้ไม่เหมาะกับเจ้านั่นเลย”

 

 ของวิเศษตกทอดจากมังกรบรรพกาลแฝงไปด้วยพลังมากมาย แต่พลังเหล่านั้นก็ไม่สามารถถูกนำออกมาใช้ได้หากตัวของวิเศษกับผู้ใช้ไม่เหมาะสมกัน

 

“อมิตาภา?”

 

 น้ำเสียงที่ผิดแปลกไปจากทุกทีของเจ้าแรคคูนทำให้ดาฟเน่เรียกขึ้นอย่างแปลกใจ

 

 อมิตาภาเงยหน้ามองดาฟเน่ที่กำลังอมยิ้ม เจ้าแรคคูนตบหางใส่พื้นก่อนจะพูดปัดแก้ตัวออกมา

 

“นั่น นั่นมันไว้หลังจากเรื่องนี้จบลงก่อนฮะ”

 

“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะรอคอยของวิเศษจากเธอหลังจากเรื่องนี้จบลงนะ”

 

 เจ้าแรคคูนหัวเราะตอบดาฟเน่

 

 ระหว่างนี้เฟลิซีก็ยังคงร่ายเวทมนตร์ช่วยสนับสนุนทัพหน้าทั้งสี่อย่างต่อเนื่อง

 

 เวลาผ่านไปได้สักพัก…

 

 อินกองที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ของการต่อสู้ก็หยุดแขนขาของเขา นับรวมเมื่อวานด้วยแล้ว จำนวนศัตรูที่อินกองกำจัดไปก็หลายร้อย แต่เลเวลของเขายังคงเท่าเดิม

 

 ที่อินกองหยุดทบทวนเรื่องราวก็เพราะระลอกการโจมตีของเหล่าสัตว์ที่บ้าคลั่งได้จบลง

 

 เขามองสำรวจแผนที่ย่อและก็ไม่พบจุดสีแดงแต่อย่างใด สักพักเคทลินก็หยุดมือ ตามมาด้วยคารัคและเซร่า

 

“ไจแอนท์ขาวกำลังจะมาแล้วฮะ! กลับเข้ามาในม่านพลังได้แล้วฮะ!”

 

 อมิตาภาร้องเตือนขึ้น ทั้งสี่รีบถอยกลับเข้าไปในเขตม่านพลัง และอมิตาภาก็รีบอุดรูโหว่ของม่านพลังในทันที

 

“จบแล้วสินะ?”

 

 เฟลิซีถามขึ้นพลางทิ้งตัวลงกับพื้น จะเรียกว่าทั้งตัวนางเต็มไปด้วยเหงื่อก็ไม่ดูเกินเลยไปสักนิด

 

 อมิตาภาพยักหน้า

 

“ใช่แล้วฮะ ที่นี้พวกเราก็แค่รอฮะ อาจจะมีเสียงดังบ้างตอนที่ไจแอนท์นั่นพยายามทำลายม่านพลัง แต่ก็ไม่มีอะไรแล้วฮะ ขอบคุณทุกท่านมากฮะ”

 

 คณะของอินกองต่างแหงนหน้ามองท้องฟ้า มีบางสิ่งบางอย่างสีขาวกำลังก่อตัวขึ้นภายใต้ดวงจันทร์สีเขียว

 

 ไจแอนท์สีขาวปรากฏกายขึ้นต่อหน้าพวกเขา ด้วยขนาดอันใหญ่โตของมันก็ทำให้สมาชิกทั้งหมดกล้ำกลืนน้ำลาย

 

 ไจแอนท์ตนนั้นพยายามบุกเข้ามา แต่เพราะมีม่านพลังขวางไว้ทำให้มันดูเหมือนกำลังเล่นละครใบ้ พร้อมเสียงบางอย่างทุบตีอย่างรุนแรง

 

 คณะของอินกองก้มตัวหาที่กำบังเตรียมรับแรงกระแทก

 

 แต่อินกองชะงักหยุดนิ่ง เขามองเห็นบางอย่างที่ตัวของไจแอนท์สีขาว บางอย่างที่ผิดแปลกไปจากเมื่อวาน บางอย่างที่คล้ายหมอกควันบางเบาสีน้ำเงิน

 

“มันไม่ใช่อย่างนี้นิ!”

เป็นคำที่คุ้นๆ แต่นึกไม่ออกว่าล้อเลียน/เอามาจากเรื่องอะไร

 

“ฉัตร?”

 

 เคทลินถามอินกองอย่างลังเล พร้อมเสียงตกตะลึงที่ดังขึ้นด้านหลัง

 

“พลังนี้มัน… อาสัญ?”

 

 อมิตาภา อิคนิเซีย อุทานขึ้นมา

 

 อินกองรีบหันกลับไปมองและก็พบกับอมิตาภาที่ตัวแข็งทื่อ ก่อนเสียงกรีดร้องของดาฟเน่จะดังขึ้น

 

เคล้ง!

 

 ม่านพลังสั่นสะเทือน ก่อนเจ้าไจแอนท์ตนนั้นจะถอยหลังออกไปราวกับต้องการจะทดสอบบางอย่าง มันก้าวขาข้างหนึ่งมาด้านหน้า ประสานมือทั้งสองไว้ที่เอว ก่อนจะเหวี่ยงมือทั้งสองชี้ตรงมาที่ม่านพลัง ยิงลำแสงบางอย่างออกมาจากฝ่ามือทั้งสอง ลำแสงสีน้ำเงินที่เต็มไปด้วยพลังแห่งอาสัญ!

 นี่มัน… kamehameha(พลังคลื่นเต่า)  Σ(°ロ°)

 

เคล้ง เคล้ง เคล้ง เคล้ง เคล้ง!

 

 ม่านพลังสั่นสะเทือนรุนแรงอย่างเทียบไม่ได้เลยกับที่ผ่านมาเข้าจู่โจมเหล่าสมาชิก คารัคเอื้อมมือไปคว้าเซร่าที่เสียหลักแล้วหันมามองอินกองอย่างลนลาน แต่อินกองไม่ได้สนใจเจ้าออร์ค เขากำลังมองท้องฟ้า หรือจะให้ถูกต้องก็คือเขากำลังมองรอยแตกบนท้องฟ้า

 

 ทว่าแท้จริงแล้วท้องฟ้าไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด สิ่งที่กำลังแตกก็คือ ม่านพลังของอมิตาภา!

 

“อมิตาภา!”

 

 เฟลิซีร้องตะโกนเรียกแต่ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเจ้าแรคคูนน้อย อมิตาภามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยใบหน้าที่เหลือเชื่อ

 เป็นไปไม่ได้ฮะ เจ้าไจแอนท์ไปเรียนวิชาในตำนานอันนี้มาจากที่ไหนกันฮะ

 

เพล้ง!

 

 เสียงบางอย่างแตกพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนที่ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง รอยแตกของม่านพลังเริ่มกว้างขึ้น ลำแสงสีน้ำเงินแตกกระจายออกกลายเป็นกลุ่มควันสีม่วงลอยประปราย ก่อเกิดทิวทัศน์อันชวนสยดสยอง

 

 ม่านพลังอยู่ในสภาพจวนเจียนจะแหลกสลายเต็มที สภาพที่ไม่สามารถบอกได้ว่าจะทนรับการโจมตีได้เพียงอีกกี่ครั้ง

 

“พวกเราต้องรีบหยุดมันตอนนี้”

 

 อินกองร้องขึ้นอย่างร้อนรน ถึงเขาจะไม่รู้วิธีต่อสู้กับศัตรูที่สูงถึงยี่สิบเมตร แต่เขาต้องรีบหยุดมัน

 

 ตอนนี้อินกองมีระดับเลเวล 24

 

 ระดับเลเวลที่ไม่เพียงพอ แต่หากการคาดคะเนของอินกองถูกต้อง เขากำลังจะเพิ่มระดับเลเวล มันอาจจะมีทางออกสำหรับปัญหานี้หากเขาก้าวข้ามไปสู่เลเวล 25

 

 เจ้าไจแอนท์สีขาวยังคงตั้งท่ายิ่งลำแสงสีน้ำเงิน ดาฟเน่กำลังกอดอมิตาภาอย่างสับสน คารัคและเคทลินตางพยายามมองหาช่องทางหลบหนี

 

 ทันใดนั้นเคทลินก็ชี้ไปยังบางสิ่งบนท้องฟ้า

 

“นั่น… มันอะไรกัน?”

 

 ดวงจันทร์สีเขียว ไจแอนท์สีขาว ลำพังสองสิ่งนี้ก็มากพอที่จะดึงดูดทุกสายตาเอาไว้ แต่กลับมีบางอย่างในค่ำคืนนี้ที่ดึงดูดความสนใจจากสองสิ่งนี้ได้

 

 บางอย่างที่กำลังเคลื่อนตัวจากดวงจันทร์สีเขียวสู่ไจแอนท์สีขาว จุดสีเงินที่เริ่มใหญ่ขึ้นทีละนิด

 

 อินกองเงื้อมือไปกำอัสสุภูติราตรีเอาไว้ด้วยสัญชาตญาณ

 

 เฟลิซีก็เช่นกัน นางกุมสร้อยคอของนางเอาไว้ สร้อยคอทั้งสองที่เริ่มเรืองแสงสีม่วงขึ้นมา

 

 เฟลิซีรีบลุกขึ้น แต่แรงสั่นสะเทือนจากความพยายามของไจแอนท์ตนนั้นทำให้นางเสียหลัก อินกองรีบคว้าตัวนางเอาไว้ แววตาของนางยังคงจดจ่อมองผ่านรอยแตกไปยังจุดสีเงินบนท้องฟ้า

 

“เรือ?”

 

 คารัคอุทานขึ้น เซร่าขยี้ตาคิดว่าตนเห็นภาพหลอน

 

 และก็เป็นตามที่คารัคบอก จุดสีเงินนั้นมีรูปร่างที่คล้ายกับเรือ เรือใบขนาดใหญ่พร้อมใบเรือสีเงิน

 

 เคทลินกระพริบตา ไจแอนท์สีขาวที่กำลังตั้งท่ายิงลำแสงอีกครั้งหยุดชะงัก มองไปยังสิ่งแปลกปลอมที่ใกล้เข้ามา

 

 หลังจากมั่นใจในสิ่งที่เห็น เฟลิซีก็รู้สึกโล่งอกขึ้นในทันที เดเลียโบกมือทั้งสองขึ้นพลางกู่ร้อง

 

 อินกองก็เช่นกัน เขาจำเรือใบลำนี้ได้

 

 เรือใบที่โลดแล่นไปในท้องฟ้า ปฏิกิริยาตอบสนองจากอัสสุภูติราตรี…

 

 กัปตันเรือผู้โลดแล่นในห้วงนภาพร้อมกระบี่คู่ใจทิ่มทะลวงทุกอุปสรรค!

 

“ซิลวาน!”

 

 พี่ชายฝาแฝดของเฟลิซี

 

 บุตรแห่งจอมมาร เจ้าชายลำดับที่ห้าซิลวาน ดูมเบลด!

 

 เฟลิซีร้องเอาชัยให้เรือใบที่พุ่งเข้าชนอกไจแอนท์สีขาวอย่างรวดเร็ว