ภาพตรงหน้าทำให้อินกองคิดอะไรขึ้นมามากมาย

 

‘เรือแบบนั้นลอยอยู่บนอากาศได้ไงวะ?’

 

‘ทำไมจู่ๆซิลวานถึงโผล่มาเนี่ย?’

 

‘มีวิธีโจมตีตั้งเยอะแยะ คิดยังไงใช้เรือชนวะ?’

 

 ทว่าคำตอบของข้อสงสัยเหล่านี้ก็ผุดตามมาเช่นกัน

 

 สำหรับเหล่าเอลฟ์รัตติกาลแล้ว สิ่งนั้นไม่ใช่พาหนะสำหรับเดินทางบนน้ำแต่เป็นยานบิน ยิ่งเมื่ออ้างอิงจากในเกมบทกวีแห่งผู้กล้าด้วยแล้ว ซิลวานที่ตั้งตนเป็นเจ้าเวหาจะเดินทางด้วยยานลำนี้อยู่เสมอ

 

 ถึงกระนั้นการเห็นจากในเกมกับการเห็นมันเกิดขึ้นจริงช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เรือใบลำนั้นกำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าในลักษณะเรือที่แล่นบนผิวน้ำ ต่างไปจากยานบินที่ร่อนบินไปในอากาศ ยิ่งเมื่อผู้สังเกตการณ์เป็นคนจากโลกที่อ้างอิงวิทยาศาสตร์อย่างอินกอง ภาพตรงหน้าทำลายทฤษฎีทั้งหมดอย่างไร้เยื่อใย

 

 สาเหตุการปรากฏตัวของซิลวานก็ยังคงเป็นที่คลางแคลงเล็กน้อย

 

 แม้ทั้งสองจะทรงพลังขึ้นมากเมื่ออยู่ด้วยกัน แต่ซิลวานกับเฟลิซีไม่ได้ไปไหนด้วยกันเสมออย่างคริสต์กับเคทลิน ที่จะใช้เป็นเหตุผลได้ก็คือการยึดถือเรื่องสายสัมพันธ์ของเผ่าเอลฟ์รัตติกาล นั่นอาจจะทำให้ซิลวานออกตามหาเฟลิซีที่หายตัวไปนานกว่าปกติ

 

 ส่วนข้อสุดท้ายอินกองได้แต่คาดเดาว่าเป็นการโจมตีอย่างเร่งรีบเพื่อมาช่วยเหลือ

 

 ระหว่างที่เขาพยายามหาสาเหตุอื่น ฉากที่เกิดขึ้นก็ทำให้เขาตกตะลึง

 

 ร่างกายท่อนบนของไจแอนท์ตนนั้นระเบิดออก ระบุอย่างชัดเจนก็คือร่างกายบริเวณที่โดนพุ่งชนระเบิดแตกกระจาย

 

 สิ่งที่ผิดปกติก็คือร่างกายของไจแอนท์ระเบิดออกก่อนที่เรือของซิลวานจะพุ่งโดนมันเสียอีก

 

 หรือก็คือเจ้าไจแอนท์หลบการโจมตีนี้ด้วยการแยกตัวของมันเอง

 

 เรือใบพุ่งทะลุร่างของไจแอนท์ขาวก่อนจะหยุดเพื่อตั้งลำใหม่ ระหว่างนั้นชิ้นส่วนที่แตกกระจายออกของไจแอนท์ก็กลับรวมตัวกันใหม่อีกครั้ง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เว้นเสียแต่เสียงกรีดร้องจากเฟลิซี

 

“ซิลวาน!”

 

 กำปั้นของไจแอนท์ฟาดเข้าโจมตีบริเวณใบพัดท้ายเรือ อาจเป็นเพราะร่างของมันยังไม่กลับคืนอย่างสมบูรณ์ทำให้การโจมตีนี้ไม่หนักหน่วงอย่างที่ควรจะเป็น แต่ก็เพียงพอที่จะให้เรือใบเสียหลักพุ่งดิ่งลงพื้น

 

 ภาพเครื่องบินตกที่อินกองเคยเห็นจากภาพยนตร์ฉายขึ้นมาในหัวของเขา เรือใบตกกระแทกอย่างรุนแรงก่อนจะไถลไปตามพื้นดิน โค้นต้นไม้ที่ขวางทางไปพร้อมกับมัน

 ต้นฉบับเขียนลงจอดฉุกเฉิน แต่จากบริบทแล้วส่วนตัวคิดว่าเครื่องบินตกเห็นภาพชัดกว่า

 

 ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เฟลิซีร้องขึ้นอีกครั้งดึงสายตาของอินกองกลับมาที่ไจแอนท์ มันกำลังรวบรวมพลังเพื่อยิงโจมตีครั้งที่สี่

 

 ลางสังหรณ์ของเขาดังเตือนขึ้นมา

 

 นี่เป็นการโจมตีตัดสิน

 

เพล้ง!

 

 ลำแสงสีน้ำเงินพุ่งเข้ามาทำลายม่านพลัง เสียงแตกกระจายของกระจกดังระงมไปทั่ว กลุ่มควันสีม่วงที่ลอยคละคลุ่งอยู่พุ่งเข้ามาราวกับถูกดูด

 

 ม่านพลังถูกทำลายเผยถึงความเหน็บหนาวยามค่ำคืนและสายตาเย้ยหยันที่มองลงมาของไจแอนท์

 

บรึ้ม!

 

 เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง ไจแอนท์ขาวแตกกระจายเป็นเสี่ยงแต่มิใช้เพราะมันได้รับการโจมตี ดูเหมือนนี่จะเป็นขีดจำกัดในการรวมตัวของมัน

 

 ชิ้นส่วนของมันตกลงไปทั่วบริเวณราวยี่สิบชิ้น ก้อนดินโคลนสีขาวทะยอยก่อตัวเป็นรูปร่าง ก่อนจะเรืองแสงขึ้นอีกครั้ง

 

 ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ทั้งขนาดแสงที่เรืองออกมา รวมถึงพลังของแต่ละก้อนต่างกันออกไป

 

“ผู้พิทักษ์”

 

 อินกองพูดลอยขึ้น ชิ้นส่วนทั้งหมดคือผู้พิทักษ์ หรือก็คือภูติที่คลุ้มคลั่งที่อมิตาภากล่าวถึง

 

 ทั้งหมดเรืองแสงสีขาวและมีรูปร่างคล้ายสัตว์ป่า เว้นเสียแต่ตัวที่อยู่ตรงกลาง

 

 มีเพียงตัวตรงกลางเท่านั้นที่มีรูปร่างคล้ายคลึงสุรผสมกับเอลฟ์ และห่อหุ้มด้วยไอพลังสีน้ำเงินแห่งอาสัญ

 

 ตัวการที่ใช้ไอพลังสีม่วงควบคุมเหล่าสัตว์อสูรคือมันนั่นเอง

 

 ภูติที่คลุ้มคลั่งตนนั้นชูมือขึ้น แสงจันทร์สีเขียวเลือนหายไป รูปร่างของป่าก็เปลี่ยนแปลงไป

 

 เวทมนตร์ลวงตาและคาถาอาคมในป่าทั้งหมดเสื่อมสลายลง

 

 เหตุผลก็ง่ายดาย เมื่อเป้าหมายของมันอยู่ตรงหน้าแล้ว กลเม็ดยิบย่อยก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป แทนที่จะกระจายพลังออกป้องกันมิให้ศัตรูหนี มันเลือกจะทุ่มพลังทั้งหมดเข้าโจมตีเพื่อยึดแสงสุดท้าย

 

 แสงสีม่วงเรืองขึ้นจากด้านหลังของภูติที่คลุ้มคลั่งตนนั้น ราวกับกองทัพที่ได้รับสัญญาณบุก

 

 แม้การโจมตีที่ผ่านมาสองถึงสามวันจะพอมีไอพลังสีม่วงอยู่บ้างตามสัตว์ที่คลุ้มคลั่ง แต่ก็ไม่เข้มชัดเท่าในขณะนี้ มิหนำซ้ำอาการคลุ้มคลั่งที่ผ่านมาหดหาย เหลือเพียงแววตาดั่งทหารที่จงรักภักดีรอรับคำสั่ง

 

 พลังที่เก็บงำเอาไว้…

 

 ทั้งหมดก็เพื่อเวลานี้

 

 อมิตาภาชงักจากการที่ม่านพลังถูกทำลาย อินกองกล้ำกลืนน้ำลายชักมีดดวอฟออกจากฝัก ดึงสายตาจากสหายร่วมรบมาไว้ที่ตัวเขา

 

“ใต้ร่มเงากษัตริย์!”

 

 แสงสีขาวแผ่กระจายจากตัวอินกอง ไอพลังสีขาวก่อตัวรวมเป็นผืนธงโบกสะบัดท่ามกลางค่ำคืน อวยชัยให้กับผู้ที่รวมตัวภายใต้ธงนี้

 

 ใต้ร่มเงากษัตริย์มิใช่ทักษะเสริมพลังทั่วไป ทักษะนี้สามารถดึงดูดให้ศัตรูที่ยำเกรงเข้ามาสวามิภักดิ์ บารมีแห่งพระราชายังมอบขวัญกำลังใจและความฮึกเหิมอันเป็นปัจจัยสำคัญในการรบให้แก่เหล่าทหาร

 

 ผลจากทักษะช่วยดึงสติของอมิตาภาที่กำลังชะงักและเฟลิซีที่กำลังตื่นตระหนกกลับมา สายตาทั้งสองกลับมาหนักแน่นอีกครั้ง

 

 เคทลินกำหมัดของนาง ไม่ใช่อินกองเพียงฝ่ายเดียวที่กำลังเตรียมตัว ศัตรูก็เช่นกัน

 

 พวกภูติที่คลุ้มคลั่งรวมตัวกันอีกครั้ง พวกมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงจนมีร่างกายใหญ่โตเช่นไจแอนท์ขาว เหมือนพวกมันเข้ารวมตัวควบแน่นบีบอัดเข้าด้วยกันเสียมากกว่า

 

 ฝั่งของเหล่าภูติที่คลุ้มคลั่งปกคลุมด้วยพลังไอพลังสีม่วง จากการเข้ารวมตัวกันทำให้จำนวนพวกมันหลงเหลือเพียงสอง หนึ่งตนปกคลุมด้วยไอพลังสีน้ำเงินเข้ม ส่วนอีกตนมีสีเปลี่ยนไปจนออกเทา

 

“ลิซ-ซี่!”

 

 เสียงหนึ่งดังขึ้นจากบริเวณที่ห่างออกไป ไม่ต้องมีคำอธิบายก็บอกได้ว่าเป็นเสียงของซิลวาน

 

“ซิลวาน!”

 

 เฟลิซีร้องตะโกนออกมา และนั่นเป็นสัญญาณเปิดศึก ภูติที่คลุ้มคลั่งสีเทาวิ่งไปทางเสียงของซิลวาน ส่วนภูติที่คลุ้มคลั่งสีน้ำเงินก็ส่งสัญญาณให้เหล่าสัตว์ใต้บงการเข้าจู่โจม

 

 การบุกเข้ามาทำให้เฟลิซีถอยหลังก่อนจะเริ่มร่ายเวทมนตร์ ดาฟเน่อุ้มอมิตาภาขึ้นแล้ววิ่งถอยไปตั้งหลักที่ใจกลางป่าบริเวณที่แสงสุดท้ายฝังราก โดยมีคารัค เซร่า และเดเลียวิ่งประกบคุ้มกัน

 

 เคทลินและอินกองกระตุ้นลมปราณพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวรับศึก

 

 เสียงคำรามดังขึ้นจากทิศของซิลวานบ่งบอกว่าการต่อสู้ด้านนั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว บรรดาลูกเรือต่างคว้าอาวุธเข้าต่อสู้กับสัตว์อสูรที่บุกเข้ามา

 

 ภูติที่คลุ้มคลั่งสีน้ำเงินก็เริ่มออกเดิน

 

 ท่ามกลางเสียงอันอึกทึกของสนามรบ อินกองกลับรู้สึกเงียบสงัด

 

 เขาหันไปบอกบางอย่างกับเคทลินก่อนนางจะพยักหน้ารับ บ่งบอกว่านางเชื่อใจในการกระทำของอินกอง

 

 ภูติที่คลุ้มคลั่งตนนั้นยังก้าวเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน อินกองหันไปพยักหน้าให้กับเคทลินอีกครั้งก่อนทั้งสองจะตั้งกระบวนท่า

 

 แสงสีน้ำเงินจากภูติที่คลุ้มคลั่งแผ่ปกคลุมทั่วผืนดิน แม้จะสามารถรับรู้ได้ว่าภูติที่คลุ้มคลั่งตรงหน้าเก่งกาจกว่าจีราด เคทลินก็ถีบพื้นพุ่งกระโจนเข้าหามันอย่างไม่ลังเล

 

 ทว่าแทนที่จะเข้าร่วมสู้กับเคทลิน อินกองกลับหันหลังพุ่งกระโจนเข้าใส่สัตว์ที่กำลังบุกเข้ามา

 

 เฟลิซีที่เฝ้ามองเพื่อเตรียมสนับสนุนรู้สึกฉงนเล็กน้อย แต่นางก็มิได้พูดอะไรพลางหันไปจดจ้องที่เคทลินแทน นั่นก็เพราะนางเชื่อมั่นในการกระทำของอินกองเช่นกัน

 

 มีการตะลุมบอนอยู่ทั่วทุกที่ อินกองพยายามเลือกเข้าโจมตีศัตรูทีละหนึ่ง เขาเพ่งโจมตีบริเวณศีรษะหรือคอเพื่อสังหารอย่างรวดเร็วก่อนจะมองหาศัตรูตัวถัดไป

 

 ในเวลาที่อินกองใช้จัดการศัตรูสามตัว เคทลินได้ต่อสู้ไปแล้วห้ากระบวนท่า หลังจากเรียนรู้เคล็ดไอศวรรย์ราชันสุรกับก่อกำเนิดแก่นบริวารเคทลินก็แข็งแกร่งขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะต่อกรกับภูติที่คลุ้มคลั่งสีน้ำเงินได้อย่างซึ่งหน้า แทนที่จะโจมตีสวนกลับ แค่เพียงหลบการโจมตีก็ทำได้อย่างเต็มกลืน

 

 ภูติที่คลุ้มคลั่งสีน้ำเงินรับรู้ถึงการกระทำของอินกองแต่มันเลือกที่จะพุ่งความสนใจไปที่เคทลิน ในเมื่อศัตรูโง่งมถึงขนาดเข้ามาสู้กับมันโดยที่ไร้ทางชนะ ไม่มีเหตุผลอะไรให้มันต้องปฏิเสธข้อได้เปรียบนี้

 

 พลังแห่งอาสัญพุ่งเข้าโจมตีเคทลินอย่างไร้ความปรานี เคทลินรีบยกแขนของนางเพื่อเข้าปัดป้อง ไอพลังระเบิดเข้าใส่แขนของนางแทนทีจะเป็นศีรษะ เคทลินกระเด็นเซจากแรงปะทะของการระเบิด

 

 แต่ก็มีการโจมตีเข้าต่อทันที นั่นเพราะมันคาดการณ์ไว้แล้วว่าการโจมตีจะถูกป้องกันไว้ เคทลินกระโดดหลบการโจมตีที่ตามเข้ามาได้อย่างหวุดหวิด แต่แรงระเบิดจากการโจมตีครั้งนี้ก็ทำให้นางกระเด็นเสียหลักยิ่งกว่าเดิม

 

 เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพเน้นไปที่การระเบิดพลังออกโจมตีอย่างฉับพลัน ทำให้กระบวนท่าไม่เหมาะแก่การตั้งรับ เคล็ดไอศวรรย์ราชันสุรที่พัฒนามาจากเคล็ดนี้ก็ไม่ต่าง

 

 การโจมตีอย่างต่อเนื่องของภูติที่คลุ้มคลั่งทำให้กระบวนท่าตั้งรับของเคทลินเผยช่องโหว่ขึ้น หลังจากหมุนตัวหลบการโจมตีครั้งที่เจ็ดได้อย่างเต็มกลืน สีข้างของนางเกิดบาดแผลจากการโจมตีที่แฉลบผ่านไปอย่างกระชั้นชิด

 

 และนั่นเป็นช่องโหว่ที่ภูติที่คลุ้มคลั่งรอคอย มันรีบโจมตีเข้าต่ออย่างไม่รอช้า

 

 กำปั้นของภูติที่คลุ้มคลั่งพุ่งเข้าหาท้องของเคทลิน นางรู้ว่าไม่สามารถหลบการโจมตีครั้งนี้ได้จึงพยายามกระโดดไปตามทิศทางเพื่อลดแรงปะทะ ทว่าทั้งหมดถูกคำนวนคาดการณ์เอาไว้หมดแล้ว มืออีกข้างของภูติที่คลุ้มคลั่งคว้ามาจับไหล่ของเคทลินไว้โดยที่นางไม่ทันตั้งตัว

 

 เคทลินที่ไร้ทางหนีจึงทำได้เพียงเค้นลมปราณเพื่อรับการโจมตีเท่านั้น นางคำรามเค้นลมปราณออกมาเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะกระเด็นทิ้งไว้เพียงละอองเลือดล่องลอย

 

 ภูติที่คลุ้มคลั่งรวมพลังไปที่ขาเตรียมเข้าโจมตีปิดฉากเคทลิน แต่บางอย่างดึงความสนใจของมันไว้ อินกองผู้ท่วมไปด้วยเลือดกระโดดเข้ามารับตัวเคทลินพลางซัดบางอย่างจากแขนซ้ายออกมา ไวท์อีเกิ้ลพุ่งโจมตีราวกับลูกดอกที่ถูกยิงจากหน้าไม้

 

 ภูติที่คลุ้มคลั่งยกแขนทั้งสองขึ้นตั้งท่าเตรียมป้องกันแต่ก็เปล่าประโยชน์ นั่นเพราะเป้าหมายโจมตีของไวท์อีเกิ้ลกลับเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ด้านข้าง

 

‘เพราะอะไร?’

 

 ภูติที่คลุ้มคลั่งมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันช่างดูโง่งมและไร้เหตุผล ตัวเขาสังเกตการต่อสู้ในหลายวันที่ผ่านมาและรู้ว่าคนธรรพ์ตนนั้นคือตัวอันตราย

 

 ตัวเขาจึงสงสัย ว่าทำไมมันถึงทำอะไรเช่นนี้?

 

 มันน่าจะรู้ดีว่าไลแคนโทรปหญิงไม่ใช่คู่มือของตัวเขา ทำไมเจ้าคนธรรพ์จึงส่งนางมาสู้?

 

 ทำไมมันจึงหมกมุ่นกับการเข่นฆ่าสัตว์อสูรที่ปกคลุมด้วยไอพลังสีม่วง?

 

 เพราะเหตุใดมันจึงเลือกโจมตีสัตว์พวกนั้นแทนทีจะเป็นหัวหน้าอย่างตัวเขาทั้งที่มีโอกาส?

 

 หรือว่ามันจะเกรงกลัวที่จะเผชิญหน้ากับตัวเขา?

 

 หรือว่ามันจะเกรงกลัวการแทรกแซง จึงต้องการกำจัดมดปลวกให้หมดก่อนเผชิญหน้ากับตัวเขา?

 

 เรื่องทั้งหมดอยู่เกินกว่าการคาดเดาของตัวเขาผู้ที่สูญเสียบางอย่างไปในอดีต การที่ตัวเขาไม่สามารถเข้าใจสาเหตุจึงเป็นเรื่องปกติ

 

 หลังจากที่อินกองรับตัวเคทลินเอาไว้ได้ นางก็ร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวด นางพยายามเปิดปากพูดบางอย่างเพิ่มแต่กลับไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา

 

 อินกองใช้เวทมนตร์รักษาบาดแผลให้กับเคทลิน และนั่นทำให้เงื่อนไขบางอย่างสำเร็จลุล่วง

 

 ระหว่างที่เคทลินต่อสู้กับภูติที่คลุ้มคลั่ง อินกองได้กำจัดสัตว์อสูรไปแปดตัว

 

 อีกหนึ่งถูกกำจัดโดยไวท์อีเกิ้ล

 

 ในสองวันที่ผ่านมาอินกองได้สังหารสัตว์อสูรไปร่วม 220 ตัว

 

 และการรักษาเคทลินก็ช่วยให้เขาได้รับค่าประสบการณ์เล็กน้อยที่เขาขาดอยู่

 

[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]

 

 แสงสีขาวแผ่ออกจากตัวอินกอง ช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายของเขาให้กลับคืนในทันที

 

 แต่การฟื้นฟูร่างกายจากการเพิ่มระดับเลเวลไม่ใช่จุดประสงค์หลักของอินกอง

 

 เลเวล 25

 

 เลเวลที่บ่งบอกบ่งบอกถึงความพิเศษบางอย่าง

 

 การที่ระดับเลเวลเพิ่มขึ้นจะทำให้ตัวละครแข็งแกร่งขึ้นและปลดเงื่อนไขความสามารถของตัวละคร

 

 จุดมุ่งหมายของอินกองไม่ใช่อย่างแรก

 

 ถึงแม้เขาจะไม่มั่นใจ แต่เขาก็คาดหวังกับความสามารถที่ปลดเงื่อนไข

 

 ทั้งแซเฟียร์และล็อคค์ต่างก็เป็นตัวละครหลัก มีหลายอย่างที่ทั้งสองแตกต่างกัน แต่ก็มีบางอย่างที่ทั้งคู่คล้ายกัน

 

 สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือทั้งสองได้รับทักษะพิเศษอย่างหนึ่งเมื่อมีระดับเลเวล 25

 

[คุณได้เรียนรู้ทักษะติดตัว ปลุกพลังแฝง ขั้น1]

 

 ดาบของแซเฟียร์มีทักษะพิเศษ ‘มังกรพิโรธ’ ดาบวีรชนที่เป็นอาวุธประจำตัวล็อคค์ก็มีทักษะพิเศษ ‘สมรภูมิผู้กล้า’

 

 อินกองในตอนนี้มีอาวุธวิเศษถึงสองชิ้นอยู่กับตัว

 

‘นายท่าน!’

 

 เสียงร้องอันตื่นตระหนกของกรีนวินด์ดังขึ้น นั่นก็เพราะมีแสงหลากสีสาดส่องลงมาที่อินกอง

 

[พสุธากัมปนาท แห่งทรราชเอนคิดู]
[จากการปลุกพลังแฝง คุณได้เรียนรู้ทักษะ มหาวินาศ]

[โล่ชีวาตม์ แห่งพยานอันเคล]
[จากการปลุกพลังแฝง คุณได้เรียนรู้ทักษะ ขอบเขตสัมบูรณ์]

 

“ฉัตร”

 

 เคทลินเรียกด้วยเสียงอันแผ่วเบา อินกองดึงตัวเคทลินเข้ามาพลางกางแขนข้างซ้ายออกไป ไวท์อีเกิ้ลบินกลับมาหาอินกอง ในขณะนั้นภูติที่คลุ้มคลั่งก็เตรียมใช้พลังแบบที่ไจแอนท์ขาวใช้

 

 ไวท์อี้เกิ้ลกลับมาประดับที่แขนซ้ายของอินกองเรียบร้อย

 

 ภูติที่คลุ้มคลั่งรู้สึกถึงภยันตรายบางอย่าง มันรีบยิงลำแสงสีน้ำเงินออกมาทันที

 

 กรีนวินด์รีบร้องเตือนถึงหายนะ อินกองประกาศออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

 

“ขอบเขตสัมบูรณ์!”