ตอนที่ 39.2 สามสำนัก ผู้บำเพ็ญ และทัณฑ์สวรรค์ (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บรรพบุรุษแปดสิบชั่วอายุคนล้วนแต่เป็นมนุษย์และอาจมีผู้บำเพ็ญอัจฉริยะที่สร้างความประหลาดใจให้กับโลกถือกำเนิดขึ้น ซึ่งนี่ก็คือกรณีของหลิงเอ๋อร์

หลี่ฉางโซ่วเงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินหัวข้อสนทนาที่น่าสนใจอื่นๆ… อัตราความสำเร็จของผู้บำเพ็ญมนุษย์ในการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์

สิ่งนี้ยังไม่อาจสรุปได้ และความหวังที่จะทำได้สำเร็จนั้นก็ขึ้นกับศิษย์ผู้บำเพ็ญแต่ละคน

สำหรับผู้บำเพ็ญที่มีมรดกเต๋าของภายนอกสามสำนักบำเพ็ญเต๋า พวกเขาจะไม่มีเคล็ดวิชาการฝึกฝนที่เหนือกว่า หรือได้รับการคุ้มครองภายใต้สามสำนักบำเพ็ญเต๋า และอัตราความสำเร็จในการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ของพวกเขานั้น ในสิบคนจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะรอดพ้นได้

ในทางกลับกันหากผู้บำเพ็ญที่มีมรดกเต๋าจากทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าไม่ได้ทำผิดพลาดใดๆ ผู้บำเพ็ญเต๋าจากสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานและสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินจะมีอัตราความสำเร็จในการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ห้าสิบถึงหกสิบส่วนจากหนึ่งร้อยส่วน

และควรต้องกล่าวถึงว่าอัตราการรอดตายโดยเฉลี่ยของผู้ที่มีมรดกเต๋าจากทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋านั้นแทบจะไม่ถึงสามสิบในหนึ่งร้อยส่วน เพราะค่าอัตราเฉลี่ยของมันถูกสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยดึงลงมาอย่างมาก

สำนักบำเพ็ญเต๋าฉานจะแสวงหาความเป็นเลิศ ดังนั้นศิษย์ของพวกเขาจึงมีอัตราการทะยานสู่เซียนในระดับสูงกว่า ในขณะที่มีจำนวนมรดกเต๋าอยู่ในระดับกลาง

ส่วนสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินจะยึดมั่นในหลักการ ‘ปล่อยวาง’ และศิษย์ของพวกเขาจะมีอัตราการทะยานสู่เซียนอยู่ในระดับปานกลาง ทว่าบรรพชนไท่ชิงไม่โปรดรับศิษย์มากนัก ดังนั้นมรดกเต๋าของพวกเขาจึงน้อยมาก

ส่วนสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยจะยึดมั่นในหลักการ ‘การศึกษาไม่แบ่งชนชั้น’ ดังนั้นศิษย์ของพวกเขาจึงเป็นส่วนผสมปนเปกันไปทั้งมนุษย์ ปีศาจ และวิญญาณ โดยที่อัตราการอยู่รอดของพวกเขาจะขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเขาเอง และการบรรลุเซียนของพวกเขาจะขึ้นอยู่กับระดับความรอบรู้ของพวกเขาเอง ดังนั้นมรดกเต๋าของพวกเขาจึงถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางในมหาตรีสหัสโลกธาตุ

ไม่ว่าวิถีธรรมแห่งเต๋าจากทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าจะยอดเยี่ยมเพียงใด และโชคชะตาของพวกเขาจะรุ่งเรืองเพียงใด หรือสมบัติเทพจะสามารถยับยั้งชะตากรรมของพวกเขาได้มากเพียงใด อัตราการบรรลุเซียนของพวกเขาก็ยังไม่อาจถูกดึงให้เพิ่มขึ้นได้

ยิ่งไปกว่านั้น ทงเทียนเจี้ยวจู่หรือปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ยังมิอาจยับยั้งสมบัติล้ำค่าที่สุดของกระบวนการศึกษาได้ และสิ่งที่เขาควบคุมได้ก็คืออาวุธสังหารร้ายแรงเฉกเช่นสี่กระบี่จู่เซียน

ดังนั้นหลี่ฉางโซ่วจึงรู้สึกขอบคุณอาจารย์ของเขาอย่างยิ่งที่นำเขามาที่สำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน…

“เสี่ยวฉางโซ่ว มานี่สิ” จู่ๆ อาจารย์อาจิ่วจิ่วก็ส่งข้อความเสียงถึงเขา และหลี่ฉางโซ่วก็แบ่งจิตหันไปมองอาจารย์อาจิ่วจิ่วที่กำลังกวักมือเรียกเขาทันที

แต่หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะให้นางพลางแสดงท่าทางบ่งบอกว่าเขาไม่ต้องการขยับ

ขณะที่จิ่วจิ่วจ้องมาที่เขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยการข่มขู่

แต่หลี่ฉางโซ่วก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นมัน เขายังคงแสร้งทำเป็นหลับตาและพักจิตใจ พร้อมกับรักษาเวทวายุวัจน์ของเขา

ไม่นานหลังจากนั้นจิ่วจิ่วก็เดินไปพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วนั่งลงข้างหลังโต๊ะเตี้ยของหลี่ฉางโซ่ว

จากนั้นจิ่วจิ่วก็ถามเสียงเบาว่า “ศิษย์หลานฉางโซ่ว เจ้านำของเล่นสนุกอะไรมาหรือไม่”

“ไม่ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วตอบผ่านการส่งข้อความเสียง “นั่นเป็นของที่เก็บสงวนเอาไว้ในยอดเขาหยกน้อยเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า ไม่สามารถนำออกมาจากยอดเขาหยกน้อยได้ขอรับ”

จิ่วจิ่วทรุดตัวลงอย่างกะทันหัน แต่ยังคงท่าทางที่สง่างามและบ่นผ่านการส่งข้อความเสียงมาว่า “มันน่าเบื่อมาก ที่นี่น่าเบื่อที่สุด และเราต้องรอที่นี่สองหรือสามวันก่อนงานชุมนุมจะเริ่มอย่างเป็นทางการ…แล้วท่านอาจารย์ก็อยู่ข้างบน ข้าจึงไม่อาจหลบไปที่ใดได้”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มเล็กน้อยพลางคิดหาวิธีให้อาจารย์อาจิ่วจิ่วกลับไปยังที่นั่งของนางโดยเร็วที่สุด

มันไม่ดีที่จะดึงดูดความสนใจมากเช่นนี้

เขาหยิบผลึกลูกบาศก์อมตะหกสีที่แกะสลักจากไม้ออกมาจากในแขนเสื้อ และหลี่ฉางโซ่วก็ถือมันเอาไว้ในมือแล้วขยับบิดมันเบาๆ มันเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่ขัดมันอย่างประณีตซึ่งให้ความรู้สึกดีมากเมื่อเลื่อนด้านของมัน และมันก็ดึงดูดความสนใจของจิ่วจิ่วได้อย่างรวดเร็วยิ่ง…

“นี่คืออันใดกัน”

ดวงตาของจิ่วจิ่วเป็นประกายขึ้นมาทันที

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็วางมันไว้ข้างจิ่วจิ่วก่อนจะส่งข้อความเสียงถึงนางว่า “อย่าให้ผู้ใดทั้งนั้นนะขอรับ”

“แน่นอน ไม่ต้องห่วง ข้ารู้กฎทั้งหมดของเจ้าแล้ว!”

จิ่วจิ่วรับคำทันทีพลางหยิบผลึกลูกบาศก์อมตะก่อนจะลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะเตี้ยของนาง

ในที่สุดก็สงบลงอีกครั้ง

หลี่ฉางโซ่วยังคงแสดงภาพเป็นระบบเฝ้าระวังมนุษย์ซึ่งไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น และรอให้งานชุมนุมกวาดล้างปีศาจสิ้นสุดลง

เมื่อผ่านไปครึ่งวันหลังจากนั้น สำนักเซียนต่างๆ ก็มาถึง จนทำให้แท่นดอกบัววารีเต็มไปด้วยบุรุษหล่อเหลาและสตรีพริ้มเพราซึ่งพวกเขาล้วนดูโดดเด่นโดยปกติอยู่แล้ว

ทันใดนั้นก็มีเสียงฆ้องและกลอง พร้อมด้วยหมู่เมฆขาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าซึ่งบนหมู่เมฆนั้น มี ‘ชนเผ่าทะเล’ หลายสิบคนในชุดเสื้อคลุมสีม่วงและเสื้อคลุมสีแดง พวกเขาคือ วงดนตรีทะเลขนาดใหญ่ที่วังมังกรส่งมา

มีหอยสาวน้อยเล่นฉินอย่างชำนาญและจากนั้นฉลามก็ขยับระบำเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าจะมีสาวใช้หอยบรรเลงพิณในขณะที่นางเงือกร้องเพลงประสานเสียงเบาๆ

มีมังกรวารีเป่าขลุ่ยไม้ไผ่ กุ้งตีกลอง ปูตีฆ้อง และเต่าเซียนเล่นเครื่องดนตรีทองเหลือง

จากนั้นก็มีสตรีผู้หนึ่งที่มีท่วงท่าสง่างามในชุดกระโปรงบางเฉียบเข้ามาร่ายรำท่ามกลางสถานที่กว้างขวางนี้

นางโบกแขนไปมาพร้อมด้วยแขนเสื้อพลิ้วไหว ทำให้การร่ายรำของนางนั้นดูสง่างามยิ่ง

แล้วการแสดงประสานรวมศิลปะขนาดใหญ่สองวันที่วังมังกรจัดขึ้น บัดนี้ก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

เมื่อเห็นภาพตระการตาเช่นนี้ หลี่ฉางโซ่วก็ยังคงสงบนิ่ง แต่การพูดคุยรอบกายเขาลดลงมาก เพราะขณะนี้คนส่วนใหญ่ล้วนเฝ้าชมการร้องเพลงพร้อมกับการร่ายรำ ส่งผลให้ข้อมูลที่เขาต้องจัดการก็ลดลงมาก

คงจะดีหากในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ สิ่งต่างๆ ยังคงสงบสุขปลอดภัยดีเฉกเช่นในยามนี้

หลี่ฉางโซ่วภาวนาเพื่อสิ่งเหล่านี้จากใจพร้อมไปกับการวิเคราะห์ว่า เขาอาจต้องเผชิญกับปัญหาใดบ้าง

อย่างไรก็ตามในครั้งนี้มันก็ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา เพราะเขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นสองในสายตาของทุกคน และนี่ย่อมไม่ใช่ที่สำหรับเขาที่จะขึ้นต่อสู้บนเวทีได้

นั่นก็หมายความว่าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์

เว้นเสียแต่ว่า…

หือ?

ยายตัวอันตรายโหย่วฉินเสวียนหย่าลุกขึ้นยืน และหยิบเบาะรองนั่งพลางเดินมาทางเขา พร้อมด้วยกระบี่เล่มใหญ่บนหลังของนาง

นี่…

ยามนี้ทุกคนไม่มีความคับข้องใจและไม่มีความเกลียดชัง ทำไมเจ้าต้องแข็งขันรุกรานถึงเพียงนี้

เมื่อโหย่วฉินเสวียนหย่าเพิ่งเดินไปได้สองก้าว จู่ๆ เสียงของหลี่ฉางโซ่วก็ดังเข้าไปในหูของนางผ่านการส่งข้อความเสียง

“ขออภัยด้วยศิษย์น้องหญิงเสวียนหย่า ข้าอยากพักผ่อนคนเดียว”

เป็นการดีกว่าที่จะปฏิเสธเพื่อไม่ให้นางคิดถึงเรื่องนี้อีก

ขณะนั้นโหย่วฉินเสวียนหย่าซึ่งอยู่ห่างออกไปสองจั้งก็เผยอาการตกใจเล็กน้อยออกมา แล้วมองไปที่หลี่ฉางโซ่วอย่างกะทันหัน ขณะที่วางเบาะรองนั่งเอาไว้ที่ด้านข้างของเซียนเสิ่นสตรีผู้หนึ่ง

เซียนสตรีผู้นั้นก็กล่าวออกมาพร้อมด้วยเสียงหัวเราะว่า “มานี่สิเสี่ยวหย่า เจ้าลองมาดูเนื้อเพลงที่อาจารย์อาเพิ่งเขียนนี้สิ?”

“เจ้าค่ะ…”

“ศิษย์พี่ฉางโซ่วไม่สบายหรือเจ้าคะ” นางส่งเสียงถามเสียงเบาพร้อมด้วยท่าทีห่วงใยลึกซึ้งในขณะที่ดวงตางดงามของนางเต็มไปด้วยความกังวล

หลี่ฉางโซ่วพลันส่ายศีรษะอย่างสงบและส่งรอยยิ้มให้นางพลางหลับตาลง

ใช่ มันน่าอึดอัดเล็กน้อย…

แต่หากศิษย์น้องหญิงผู้นี้ไม่มาหาเขาจนดึงดูดความสนใจของผู้อื่น มันย่อมจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า

หลี่ฉางโซ่วสัมผัสได้ว่า ตั้งแต่นางลุกขึ้นก็มีสายตาจำนวนมากโดยรอบมารวมตัวกันที่สำนักตู้เซียน

แม้ว่าทุกคนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญ แต่รูปร่างลักษณะและกิริยาท่าทีของโหย่วฉินเสวียนหย่านั้นยอดเยี่ยมเกินไปจนยากที่จะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น

หากผู้ใดอยากแต่งนางเป็นภรรยา ก็น่าจะขุนให้นางอ้วนขึ้นกว่านี้ แล้วพวกเขาก็จะรู้สึกสบายใจมากกว่า

นี่คือคำแนะนำอย่างมีสติรอบคอบจากศิษย์พี่ของนาง…หลี่ฉางโซ่ว

…………………………………………………