สองวันผ่านไปอย่างช้าๆ…
ในช่วงระหว่างเวลาที่มีเพียงการร้องเพลง บรรเลง และร่ายรำที่น่าเบื่อเช่นนี้ หลี่ฉางโซ่วก็ได้เรียนรู้วิชาเวทใหม่อีกอย่าง
เขาร่ายเวทวายุวัจน์เพื่อเฝ้าสังเกตสภาพแวดล้อมในขณะที่ค่อยๆ อ่านตำราที่เขายืมมาจากหอพระสูตรเต๋าด้านนอก
เขารู้สึกเบื่อเล็กน้อย
เขาคิดว่า ส่วนที่น่าตื่นเต้นที่สุดของงานชุมนุมกวาดล้างปีศาจนี้ น่าจะเป็นส่วนการให้สมบัติและอาวุธเวทของวังมังกร รวมถึงการที่ศิษย์จากสำนักต่างๆ มารวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและพูดคุยกันซึ่งทำให้พวกเขามีความสุขมากขึ้นในช่วงหลัง
หลี่ฉางโซ่วไม่สนใจสมบัติและอาวุธเวทใดๆ ของวังมังกร
ความจริงแล้วย่อมไม่มีผู้ใดรังเกียจที่จะครอบครองสมบัติและอาวุธเวทมากขึ้น แต่ครั้งนี้มีคนจำนวนมากเกินไปที่อยากได้สมบัติและอาวุธเวท ซึ่งไม่สัมพันธ์กับจำนวนรางวัลที่มีน้อยเกินไป และผู้บำเพ็ญที่อยู่เพียงขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นสองเช่นเขา ย่อมไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปแย่งชิงได้
อีกอย่าง เขาคาดว่าวังมังกรจะต้องเกิดภัยพิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคต และเขาไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรรมของพวกเขา
หากเขาต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เช่นนั้นก็ต้องถือว่าเป็นความผิดของจิ่วอู
เมื่อคำนวณเวลาตามตำแหน่งของดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าแล้ว ก็ดูเหมือนว่างานชุมนุมกวาดล้างปีศาจใกล้จะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
ชั่วขณะนั้นหลี่ฉางโซ่วก็เหลือบมองไปที่แท่นสูงที่ลอยอยู่ในอากาศ หลังจากการประชุมสองวันที่ผ่านมานี้ บรรดาเซียนเทียนจากสำนักต่างๆ น่าจะเสร็จสิ้นการหารือเกี่ยวกับอาณาเขตของทะเลบูรพา และประเด็นอื่นๆ อีกมากมายแล้ว
แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขามากนัก
จิ่วจิ่วยังคงไม่สามารถแก้ผลึกลูกบาศก์อมตะหกสีได้ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นโดยตรงว่า ไม่มีความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างระดับการฝึกบำเพ็ญและสติปัญญา แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็ทำให้นางได้ใช้เวลาสองวันที่น่าเบื่อนี้ผ่านไปได้โดยไร้สุรา
ดูเหมือนโหย่วฉินเสวียนหย่าจะเข้าใจอะไรบางอย่างหลังจากครั้งสุดท้ายที่หลี่ฉางโซ่วปฏิเสธนาง แม้ว่านางจะมองกลับไปที่เขาในทุกๆ ครึ่งชั่วยาม แต่นางก็ไม่ขยับเข้าไปใกล้เขาอีกเลย
ดังนั้นโดยทั่วไปแล้ว ทั้งสองวันนี้จึงผ่านไปอย่างสงบสุข
ทว่าขณะที่อ่านพระสูตรด้วยความสบายใจอยู่นั้น จู่ๆ หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกว่ามีดวงตาเป็นอริแรงกล้าจ้องมาที่เขา
จากนั้นเขาก็ค่อยๆ วางม้วนตำราไผ่ในมือและจดจ่ออยู่กับการวิเคราะห์ข้อความจากเวทวายุวัจน์ ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็พบร่างเลือนรางของชายหนุ่มผู้หนึ่ง
หือ? มีความแค้นกับข้าหรือ เป็นไปได้อย่างไรกัน
หลี่ฉางโซ่วเงยหน้าขึ้นและพบว่าคนผู้นี้ยืนอยู่ที่ริมขอบของสถานที่จัดงานซึ่งห่างจากบริเวณที่นั่งของคนสำนักตู้เซียนราวหนึ่งร้อยจั้ง
กล่าวให้ถูกก็คือ นี่ไม่ใช่ ‘มนุษย์’ เขามีเขามังกรที่เหมือนเขากวางอยู่บนหน้าผาก
มังกรหนุ่มน้อยแห่งเผ่ามังกรหรือ
น่าจะเป็นมังกรหนุ่มที่จะเข้าประลองกับสำนักเซียนในงานชุมนุมครั้งนี้
ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็เกิดความสงสัยขึ้นมากมาย เพราะเขาพบว่าดวงตาของเจ้ามังกรผู้นี้จับจ้องมาที่เขา
เมื่อเขาเอนหลัง เขาก็ยังสังเกตเห็นว่าดวงตาของมังกรขยับเล็กน้อย และกำลังมองมาที่เขาอย่างแน่นอน
หากสังเกตดีๆ ก็จะพบว่ามีแสงสีฟ้าอ่อนในดวงตาของมังกรตนนี้
เป็นไปได้หรือไม่ว่าการปกปิดขอบเขตพลังของข้าถูกเจ้ามังกรตัวนี้มองเห็น?
แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้
เพราะหลี่ฉางโซ่วใช้วิธีปกปิดพิเศษที่สุดแล้ว ซึ่งสรุปได้จากการวิเคราะห์เชิงลึกของคาถาเวทต่างๆ ที่ผู้คนรอบตัวเขาใช้อยู่
หรือเป็นเพราะข้ามีระดับขอบเขตพลังต่ำที่สุดในหมู่ผู้คนจากสำนักตู้เซียน? เจ้าถึงตั้งเป้าหมายและจ้องมาที่ข้าอย่างนั้นหรือ
หลี่ฉางโซ่วเริ่มตั้งสมมติฐาน เขาครุ่นคิดอยู่ในใจครู่หนึ่ง แล้วขณะนั้นเขาก็จับความหมายผ่านเวทวายุวัจน์ตอนที่ชายหนุ่มผู้นั้นขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มมั่นใจเล็กๆ ได้
บางทีอาจเป็นไปได้ว่ามังกรหนุ่มตัวนี้ขาดความมั่นใจในตนเอง แต่ถูกสั่งให้ต้องเอาชนะผู้ใดผู้หนึ่งในการประลอง ดังนั้นจึงแสวงหาผู้ที่อ่อนแอที่สุดของสำนักใหญ่? ช่างเป็นวิธีที่ไร้การฝึกฝนยิ่ง…
หลี่ฉางโซ่วเหลือบมองไปที่มังกรและจ้องเข้าไปในดวงตาสีไพลินของมันอย่างนิ่งสงบ ทันใดนั้นแสงสีฟ้าในดวงตาของมันก็ค่อยๆ จางลง ขณะที่มันยังคงสบตากับหลี่ฉางโซ่วซึ่งอยู่ห่างออกไปนับร้อยจั้งอย่างเงียบๆ
อา…ตามกฎดั้งเดิมของ ‘การมองสบตากันสิบอึดใจ’[1] ทั้งสองน่าจะเป็น…
ทว่าจู่ๆ การสบตาของพวกเขาทั้งคู่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยร่างสีแดงสดของเต่าเซียนตนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ต่อหน้ามังกรหนุ่มน้อยผู้นั้น
“องค์ชายเหตุใดท่านจึงวิ่งมาที่นี่ ท่านควรจะขึ้นไปที่แท่นในไม่ช้านี้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์ชาย? โอรสแห่งราชามังกรงั้นหรือ
มันแย่จริงๆ ที่ต้องตกมาเป็นเป้าหมายให้ผู้อื่นจับจ้องเยี่ยงนี้!
แต่หลี่ฉางโซ่วก็ยังไม่อาจเข้าใจเรื่องนี้ได้ว่าด้วยเหตุใดและอย่างไรกัน โอรสแห่งราชามังกรถึงเลือกจับจ้องเขาซึ่งเป็นเพียงศิษย์คนหนึ่งของสำนักตู้เซียน ท่ามกลางฝูงชนมากมายที่มาร่วมงาน
รูปร่างหน้าตาของข้ามีแรงดึงดูดมังกรตัวผู้ที่ไม่อาจอธิบายได้หรือไม่
หลี่ฉางโซ่วตกอยู่ในอาการครุ่นคิด เขาวิเคราะห์สาเหตุและผลกระทบทั้งหมดอย่างรอบคอบ และกำลังคิดว่าเขาควรหาข้ออ้างที่จะออกไปจากงานในเวลานี้ดีหรือไม่…
ในยามนี้สถานการณ์โดยรวมของเผ่าพันธุ์มังกรนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ยากจะจัดการได้จริงๆ
พวกเขามีปรมาจารย์มากมายที่สั่งสมมาแต่โบราณ เช่นเดียวกับสมบัติ ‘ความมั่งคั่ง’ นับไม่ถ้วนนับตั้งแต่สมัยโบราณ แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกครั้งใหญ่เมื่อถูกสวรรค์และปฐพีปฏิเสธหลังจากทำลายโลกบรรพกาลในสงครามยุคโบราณ
แม้จะมีปรมาจารย์มากมายในเผ่าพันธุ์มังกร จนดูเหมือนว่าพวกมันจะแข็งแกร่งมาก แต่ความจริงแล้ว ความแข็งแกร่งโดยรวมของมันไม่อาจพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วจนเท่าทันเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อีกต่อไป
นอกจากนี้เผ่าพันธุ์มังกรส่วนใหญ่ยังอาศัยสายเลือดเป็นหลักเพื่อให้ได้รับความแข็งแกร่ง หลังจากที่บรรพบุรุษมังกรที่แข็งแกร่งที่สุดตายไปในช่วงสงครามโบราณ ก็ไม่มีมังกรกำเนิดใหม่ตัวใดที่ครองความแข็งแกร่งเหนือไปกว่ามังกรบรรพบุรุษได้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลังจากที่เทพทั้งหกขึ้นครองอำนาจในช่วงระหว่างยุคบรรพกาล เผ่าพันธุ์มังกรก็ต้องระวังตัวด้วยกลัวว่าจะยั่วยุเทพทั้งหกให้พิโรธและถูกกวาดล้างเผ่าพันธุ์ ทว่าเผ่าพันธุ์มังกรก็ยังคงอยู่ในความฝันว่าสักวันมังกรจะเรืองอำนาจขึ้นเป็นราชาผู้ปกครองสวรรค์และปฐพี
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา วังมังกรทะเลบูรพาจงใจจัดกองทหารกุ้งที่เพิ่งได้รับการฝึกฝนกลุ่มเล็กๆ ให้สร้างหายนะบนชายฝั่งทะเลบูรพา ทว่าสำนักตู้เซียนได้จัดให้ศิษย์ไปกำจัดปีศาจในทะเลบูรพา และปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ซึ่งถือได้ว่าเป็นการตบหน้าวังมังกร
อย่างไรก็ตามวังมังกรก็ไม่กล้าโต้กลับ จึงได้จัดงานชุมนุมขึ้นเพื่อต้องการใช้โอกาสนี้ส่งเสริมกองกำลัง อีกทั้งกำหนดเขตแดนของทะเลบูรพากับผู้บำเพ็ญเผ่าพันธุ์มนุษย์
จากนั้นวังมังกรก็ส่งมังกรร้ายกาจไปที่สำนักตู้เซียนเพื่อส่งเทียบเชิญ แต่ก็ถูกปรมาจารย์หว่างฉิงตบหน้ากลับไปอีกครั้งซึ่งยิ่งเลวร้ายกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก
แต่วังมังกรก็ยังคงไม่กล้าทำอะไรกับสำนักตู้เซียน พวกเขาจึงได้แต่วางกับดักองุ่นเล็กๆ นี้เพื่อแก้แค้นและระบายความโกรธของพวกเขา…
ในขณะที่ประพฤติตนเหมือนเด็ก แต่ความไร้เดียงสาของพวกเขาก็ได้เผยให้เห็นถึงภาวะไร้พลังของเผ่าพันธุ์มังกร ว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะจัดการแก้ไขได้มากเพียงใดแล้ว
ในความเห็นของหลี่ฉางโซ่ว เผ่าพันธุ์มังกรนั้นดูแข็งแกร่งเพียงภายนอกเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วอ่อนแอ นิสัยเดิมๆ ของพวกเขานั้นไม่อาจจะแก้ไขเปลี่ยนแปลง เผ่าพันธุ์มังกรทั้งหมดล้วนดำเนินผิดทางจนยากที่จะกอบกู้ความแข็งแกร่งคืนมาได้อีก
แล้วมังกรตัวนี้กำลังจับตามองข้าด้วยเหตุผลเหล่านี้หรือไม่
หลี่ฉางโซ่วเงียบไปครู่หนึ่งขณะครุ่นคิดในใจ และในไม่ช้าเขาก็ตัดสินใจเฝ้าสังเกตดูการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อย่างเงียบๆ
ในสถานที่ที่มีมังกรและงูดินปะปนกัน[2] นั้น มันน่าจะปลอดภัยหากเขาอยู่กับสำนักของเขาเอง มากกว่าการที่จะออกไปในสถานที่ซึ่งต้องเผชิญกับอีกฝ่ายด้วยตัวเอง หากมีปรมาจารย์จากวังมังกรต้องการระบายโทสะใส่ผู้อ่อนแออย่างเขา นั่นย่อมจะทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายอย่างแท้จริง
บัดนี้หลี่ฉางโซ่วตัดสินใจว่าเขาจะยอมรับความพ่ายแพ้ทันที โดยใช้การฝึกฝนที่อ่อนด้อยกว่าของเขาเป็นข้ออ้าง หากเจ้ามังกรตัวนี้เรียกให้เขาเข้าร่วมต่อสู้โดยตรงหลังจากนี้
เมื่อบรรดานักแสดงที่บรรเลงเพลงและร่ายรำออกจากเวทีไปแล้ว เต่าเซียนคิ้วขาวก็ก้าวขึ้นไปบนเวทีโดยเหยียบกระดองเต่าสีทองเอาไว้ใต้เท้าของเขา จากนั้นเขาก็ร่ายยาวความรุ่งโรจน์ในอดีตของเผ่ามังกรอย่างช้าๆ ซึ่งหลี่ฉางโซ่วไม่อาจทนฟังได้
ฉับพลันนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาจ้องมองนั้นอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะหยุดใช้เวทวายุวัจน์และมองดูผู้ที่กำลังจะก้าวขึ้นไปบนเวที เขาคือ หนุ่มน้อยจากเผ่ามังกรผู้นั้น
……
[1] การมองสบตากันสิบอึดใจ เมื่อชายและหญิงสบตากันเป็นเวลาสิบอึดใจ ก็อาจถูกมองว่านั่นเป็นการแสดงความรักใคร่ชอบพอ
[2] มังกรและงูดินปะปนกัน หมายถึง มีทั้งคนดีและร้ายปะปนกัน