ตอนที่ 79 อวิ๋นเกอเปิดปากพูด

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 79 อวิ๋นเกอเปิดปากพูด

เรื่องที่ฮ่องเต้ทรงเข่นฆ่าเหล่าท่านอ๋องแพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินอย่างรวดเร็ว

ผู้คนต่างตกตะลึง!

สามัญชนถกเถียงกันวุ่นวาย ส่วนใหญ่ล้วนบอกว่าฮ่องเต้เสียสติ เข่นฆ่าเหล่าท่านอ๋องตามใจ ไม่มีกฎหมายราชสำนักและบ่าวรับใช้โอรสแห่งสวรรค์ในสายตา ส่วนขุนนางมองจักรพรรดิดุจศัตรู

ดังที่ว่า “จักรพรรดิมองขุนนางดุจมือเท้า ส่วนขุนนางมองจักรพรรดิดุจหัวใจ จักรพรรดิมองขุนนางดุจสุนัขและม้า ส่วนขุนนางมองจักรพรรดิดุจคนของบ้านเมือง จักรพรรดิมองขุนนางดุจดิน”

ฮ่องเต้มองเหล่าท่านอ๋องในราชสำนักดุจวัชพืช ก็อย่าโทษเหล่าท่านอ๋องบนแผ่นดินมองฮ่องเต้ดุจศัตรู

บุตรชายคนโตของท่านอ๋องหยู่หนิง เขาแต่งตั้งตนเองเป็นท่านอ๋อง ปลุกระดมกองกำลัง กวาดล้างขุนนางชั่วข้างกายจักรพรรดิ

เขาเพียงแค่ใช้กลอุบาย ไม่ได้บอกว่าจะก่อกบฏ

เพียงแค่บอกว่าข้างกายฮ่องเต้มีคนเลวทราม ฮ่องเต้ถูกคนเลวหลอกลวง จึงกระทำการอันมิชอบ

เรียกร้องให้บ่าวรับใช้โอรสแห่งสวรรค์กวาดล้างขุนนางชั่วร่วมกับเขา

กวาดล้างขุนนางชั่วคือกวาดล้างผู้ใด

ย่อมต้องเป็นตระกูลเถา รวมทั้งเถาฮองเฮาที่อยู่เบื้องหลังตระกูลเถา

ไม่คิดว่า ท่านอ๋องหยู่หนิงองค์ใหม่จะปลุกระดมให้คนมาเข้าร่วมได้มากมาย

ทหารจำนวนไม่น้อย เหล่าท่านอ๋องของบางพื้นที่ต่างตอบรับ สาบานว่าจะกวาดล้างขุนนางชั่ว

ไม่กวาดล้างขุนนางชั่วข้างกายฮ่องเต้หนึ่งวัน เรื่องนี้ย่อมไม่จบสิ้น

ท่านอ๋องตงผิงที่หนีกลับพื้นที่ศักดินาเห็นสถานการณ์นี้ สีหน้ากระอักกระอ่วน

ก่อนหน้านี้เขาลังเลเสมอมาว่าจะยกธงก่อกบฏหรือไม่

เมื่อนึกถึงค่ำคืนนั้นในเมืองหลวง เขาหนีตายอย่างลุกลี้ลุกลน ภายในใจคับแค้นอย่างยิ่ง

ก่อกบฏเป็นเรื่องสมควร!

แต่ว่า…

เขาครุ่นคิดไปครุ่นคิดมา ลังเลไปลังเลมา ไม่กล้าตัดสินใจเสียที

ไม่คิดว่าจะถูกท่านอ๋องหยู่หนิงคนใหม่แย่งชิงไปเสียก่อน อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจากบ่าวรับใช้

สิ่งที่ทำให้คนยิ่งโกรธคือตำแหน่งท่านอ๋องหยู่หนิงคนใหม่มาจากการแต่งตั้งเอง ไม่มีสารจากราชสำนักหรือพระราชโองการจากฮ่องเต้

ท่านอ๋องหยู่หนิงคนใหม่ที่มาอย่างไม่ถูกต้องนี้กลับได้รับการสนับสนุนจากคนมากมาย

น่าโมโหยิ่งนัก!

ท่านอ๋องตงผิงตะโกนโหวกเหวกเสียงดัง “เจ้าหลานชาย! บังอาจแย่งโอกาสของข้า”

จี้ซินแสเกลี้ยกล่อม “เหตุใดท่านอ๋องจึงไม่แย่งชิงความสนใจจากเขากลับมา”

ท่านอ๋องตงผิงส่ายหน้าระรัว “ไม่ได้! หากข้าออกมาเรียกร้อง ย่อมต้องกลายเป็นเป้าในทันที ดึงดูดกองทัพเหนือมา อย่าเห็นว่าหลานชายสง่างามในเวลานี้ อีกไม่นานเขาจะกลายเป็นนักโทษของกองทัพเหนือ กองทัพเหนือหันทิศทางมุ่งหน้าไปทางหยู่หนิงแล้ว เขาจบสิ้นแล้ว!”

ท่านอ๋องตงผิงเป็นคนที่รู้จักเอาตัวรอดอย่างมาก

เมื่อสถานการณ์ยังไม่กระจ่างพอ เขาไม่มีทางยืนอยู่ฝ่ายใดล่วงหน้า

แต่มันก็เกี่ยวข้องกับความสามารถอันไม่เพียงพอของจวนท่านอ๋องตงผิง

มีต้นทุนเพียงเล็กน้อย ไม่อาจใช้ได้นาน

ดังนั้นเขาไม่กล้าลงพนันอย่างง่ายดาย

ดังนั้นทำให้เขาพลาดโอกาสจำนวนมาก แต่ก็สามารถรักษาพื้นที่ของตนเองเอาไว้ได้

มีเพียงเขาที่รู้ว่าข้อดีและข้อเสียจะมีมากหรือน้อย

จี้ซินแสแอบส่ายหน้า ท่านอ๋องไม่เด็ดขาดพอ

หากนายน้อยหกเซียวอี้ตัดสินใจ เขาคงปลุกระดมยกธงก่อกบฏเมื่อเดือนก่อนแล้ว

ไม่มีทางยืดเยื้อ ปล่อยให้ท่านอ๋องหยู่หนิงคนใหม่มีโอกาส

เรื่องการก่อกบฏ โดยเฉพาะก่อกบฏได้อย่างถูกต้องนั้น การเคลื่อนไหวก่อนย่อมได้ใจคนและบารมีจำนวนมาก

ถึงแม้วันหนึ่งอาจล้มเหลว แต่หากมีบารมีที่สูงส่งนั้น ฮ่องเต้ก็ไม่กล้ากำจัดอย่างง่ายดาย

ทำได้เพียงกักขังเอาไว้

โอกาสที่ดีเช่นนี้ เขากลับปล่อยให้หลุดมือไป

จี้ซินแสอดที่จะถอนหายใจไม่ได้

ไม่อาจพบนายที่มีความฉลาดเฉลียว ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดาย

แน่นอน จี้ซินแสไม่มีความคิดที่จะทรยศท่านอ๋องตงผิง

สมัยนี้ ทุกคนต่างยึดมั่นกับคำว่าจงรักภักดี

ในเมื่อพึ่งพาท่านอ๋องตงผิงแล้ว ย่อมต้องทุ่มเทสติปัญญาความสามารถ จนกว่าชีวิตจะหาไม่

จี้ซินแสพยายามเกลี้ยกล่อม “ท่านอ๋อง พวกเราไม่อาจไม่ทำสิ่งใดเลย ไม่ออกกองกำลังตอบรับเหล่าท่านอ๋อง กำจัดขุนนางชั่วร่วมกัน ก็ต้องยอมจำนนต่อราชสำนัก หากไม่เลือกฝั่ง อันตรายยิ่งนัก!”

หากสถานการณ์ไม่ราบรื่น คนที่ตายคนแรกย่อมต้องเป็นนกสองหัว

คิดจะคำนึงถึงแต่ประโยชน์ของตนเอง จากอำนาจของจวนท่านอ๋องตงผิง ยาก!

เวลานี้ จี้ซินแสเริ่มระลึกถึงนายน้อยหกเซียวอี้อีกครั้ง หากนายน้อยหกเป็นผู้บัญชาการ บางทีอาจหาทางออกที่สามได้

ท่านอ๋องตงผิงกัดฟัน ภายในใจลังเล ยังคงไม่อาจตัดสินใจได้

จี้ซินแสร้อนใจจนกระทืบเท้า “ไม่ว่าจะตามหลักทางอารมณ์หรือทางเหตุผล ท่านอ๋องล้วนสมควรกำจัดขุนนางชั่วร่วมกับเหล่าท่านอ๋อง ท่านอ๋องอย่าลืมค่ำคืนในเมืองหลวง พวกเราเกือบตายในมือของกองทัพเหนือ”

“ซินแสไม่ต้องเร่งเร้า สิ่งที่ท่านพูดข้าล้วนกระจ่าง เพียงแต่…”

“หากท่านอ๋องตัดสินใจไม่ได้ ลองเรียกนายน้อยทั้งหลายมาหารือร่วมกันดีหรือไม่”

ท่านอ๋องตงผิงลังเลเล็กน้อย พยักหน้า “ตามที่ซินแสบอก เรียกนายน้อยทั้งหลายมา ตกลงจะออกกองกำลังหรือยอมจำนนต่อราชสำนัก ให้ทุกคนต่างหารือกัน”

ในที่สุดก็ก้าวออกไปได้หนึ่งก้าว จี้ซินแสซับเหงื่อบนใบหน้า ยากเย็นเสียจริง!

เมืองหลวง!

นายท่านใหญ่ตระกูลเถามุ่งหน้าไปยังวังหลัง ขอเข้าเฝ้าเถาฮองเฮา

เขาร้อนใจ หวาดระแวงอย่างมาก

เหล่าท่านอ๋องบนแผ่นดินก่อกบฏโดยใช้ข้ออ้างกำจัดขุนนางชั่ว จะกำจัดคนของตระกูลเถา

หากฮ่องเต้ตลบหลัง ผลักตระกูลเถาออกไปรับโทษเพื่อสยบสถานการณ์จะทำอย่างไร

“ฮองเฮา พระองค์ต้องทรงหาวิธี! ฮ่องเต้กำจัดเหล่าท่านอ๋องได้ ย่อมกำจัดตระกูลเถาได้”

เถาฮองเฮาสีหน้าราบเรียบ “ท่านตื่นตระหนกอันใด! ท่านนั่งลง พูดช้าๆ ท่านพ่อมีความเห็นอย่างไร”

นายท่านใหญ่ตระกูลเถาทำหน้าขมขื่น เขาเข้ารับตำแหน่งในฐานะญาติฝ่ายนอก คนส่วนใหญ่ล้วนไม่พอใจเขา

แน่นอน ตระกูลเถามีอำนาจมาก คนส่วนใหญ่ล้วนเลือกที่จะยอมจำนนต่อตระกูลเถา

เพียงแต่คนที่ยอมจำนนนั้น ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะไปยอมจำนนต่อผู้อื่นด้วยหรือไม่

นายท่านใหญ่ตระกูลเถาพูด “ท่านพ่อไม่กังวลแม้แต่น้อยเช่นเดียวกับพระองค์ อีกทั้งยังบอกว่าข้าตื่นตูม! ท่านลองฟังเสียงเรียกร้องใต้หล้า พวกเราตระกูลเถากลายเป็นหมูข้ามตรอกที่ทุกคนต่างรังเกียจ สถานการณ์นี้ ท่านวางใจได้จริงหรือ ถึงแม้เวลานี้ฮ่องเต้ยังทรงสนับสนุนตระกูลเถา แต่หากสถานการณ์ย่ำแย่ลงกว่านี้ ฮ่องเต้อาจทรงผลักตระกูลเถาออกไปรับโทษ ฮองเฮาพวกเราต้องเตรียมการไว้ก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ!”

เถาฮองเฮาดื่มชา ถามเสียงเบา “สถานการณ์ด้านนอกร้ายแรงเหมือนที่ท่านพูดจริงหรือ”

นายท่านใหญ่ตระกูลเถาพูดอย่างหนักแน่น “ร้ายแรงกว่าที่ข้าพูดเสียอีก”

เถาฮองเฮาส่งเสียงไม่พอใจ “เหล่าท่านอ๋องทั้งห้าล้วนตายหมดสิ้น เหล่าท่านอ๋องที่เหลืออยู่เป็นแค่ตัวตลกที่ไร้ความสามารถ แม่ทัพที่ฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายเหล่านั้นยิ่งไม่เพียงพอที่จะรับมือกับกองทัพเหนือ ท่านดู แม่ทัพที่มีอำนาจในมือจริง มีผู้ใดออกเสียง มีผู้ใดบอกว่าจะกำจัดขุนนางชั่วบ้าง เพียงแค่แม่ทัพที่มีอำนาจเหล่านี้ไม่ขยับ ตัวตลกเหล่านั้นก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้”

“ไม่อาจพูดเช่นนี้!” นายท่านใหญ่ตระกูลเถาพูดเสียงเบา “ทหารที่มีอำนาจในมือไม่ขยับเพราะว่าพวกเขากำลังดูทิศทางลม เมื่อสถานการณ์ย่ำแย่ ข้ารับรองได้ แม่ทัพเหล่านั้นจะมีการเคลื่อนไหว ไม่แน่ว่าอาจมีแม่ทัพที่ใจกล้า บุกเข้ามาในเมืองหลวงโดยตรง เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลเถาของพวกเราย่อมจบสิ้น”

เถาฮองเฮาสีหน้าดำทะมึน ถลึงตาใส่เขา “เหตุใดท่านจึงมักสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้อื่น ดับบารมีของตนเอง ท่านคิดถึงแต่สถานการณ์ย่ำแย่ เหตุใดจึงไม่คิดถึงความกล้าหาญของกองทัพเหนือ กองทัพเหนือเคลื่อนไหว โจรกบฏทั้งหลายล้วนพ่ายแพ้ ไม่ถึงหนึ่งปีย่อมสามารถสยบโจรกบฏได้”

นายท่านใหญ่ตระกูลเถารีบพูด “ข้าย่อมรู้ว่ากองทัพเหนือกล้าหาญ แต่กองทัพเหนือคนน้อย! โจรกบฏมีแสนกว่า หรือหลายแสนคน กองทัพเหนือมีไม่กี่หมื่นคน อีกทั้งยังเหลือเฝ้าเมืองหลวงครึ่งหนึ่ง อาศัยเพียงกองทัพเหนือ จะสยบความโกลาหลในหนึ่งปีได้อย่างไร”

เถาฮองเฮาทำหน้าเรียบเฉย “อย่าลืม นอกจากกองทัพเหนือ ยังมีตระกูลชนชั้นสูงในแผ่นดิน ทหารส่วนตัวของแต่ละตระกูล เมื่อรวมตัวกันก็เป็นจำนวนไม่น้อย มีความสามารถในการโจมตี”

นายท่านใหญ่ตระกูลเถาส่ายหน้า “ฮองเฮา ตระกูลชนชั้นสูงเชื่อถือไม่ได้ ระวังตระกูลชนชั้นสูงกับแม่ทัพร่วมมือกัน”

“ฝ่าบาทมีเตรียมการไว้แล้ว ท่านวิตกมากเกินไป”

แม้จะพูดเช่นนี้ แต่เถาฮองเฮายังคงได้รับผลกระทบจากนายท่านใหญ่ตระกูลเถา นางกังวลต่ออนาคตอย่างมาก

นางเกรงว่าหากสถานการณ์ย่ำแย่ต่อไป ฮ่องเต้จะสังหารตระกูลเถา

เมื่อถึงเวลานั้นจะทำอย่างไร

ตระกูลเถาไม่ได้รับความเป็นธรรม!

ทุกสิ่งที่ตระกูลเถาทำล้วนปฏิบัติตามรับสั่งของฮ่องเต้ ไม่มีเจตนาส่วนตัว

เจตนาส่วนตัวเพียงหนึ่งเดียวก็เพื่อแต่งตั้งองค์ชายสามเป็นองค์รัชทายาท

สุดท้ายแล้วก็ยังคงเพื่อรากฐานของบ้านเมืองและราชวงศ์ต้าเว่ย

แผ่นดินเกิดพายุโหมกระหน่ำ!

ฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการรับสั่งให้กองทัพใต้ออกจากเมืองหลวงร่วมมือสยบโจรกบฏร่วมกับกองทัพเหนือ

ในเวลาเดียวกัน ท่านอ๋องตงผิงตัดสินใจในที่สุด เขายกธงร่วมกับเหล่าท่านอ๋องทั่วแผ่นดินกำจัดขุนนางชั่ว

บุกไปถึงเมืองหลวง กำจัดคนของตระกูลเถา

เหล่าท่านอ๋องภายในแผ่นดินต่างก่อกบฏ!

ถึงแม้จะเป็นบรรดาท่านอ๋องที่มีความสามารถไม่มาก แต่เมื่อรวมตัวกันก็เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่กลุ่มหนึ่ง

แน่นอน เหล่าท่านอ๋องภายใต้แผ่นดินไม่มีทางเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้กองทัพเหนือและกองทัพใต้มีโอกาส

ในวันที่กองทัพใต้ออกจากเมืองหลวงมุ่งลงใต้สยบความโกลาหลนั้น เยียนอวิ๋นเกอก็นั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังพื้นที่บุกเบิกในแคว้นซี

นางเห็นเซียวอี้ที่นอกประตูเมือง

เซียวอี้สวมชุดเกราะเงาวับ สง่างามอย่างยิ่ง

เขารู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมองตนเอง

มองไปตามทิศทางของสายตา เขามองเห็นเยียนอวิ๋นเกอ

เขาเดินมาถึงหน้ารถม้า ดึงดูดผู้คนให้หันมอง

เยียนอวิ๋นเกอยิ้มให้เขาผ่านทางหน้าต่างรถ พูด “ขอบคุณ!”

เซียวอี้เลิกคิ้ว “เจ้าพูดได้แล้ว?”

เยียนอวิ๋นเกอลูบลำคอเบาๆ นางกดเสียงต่ำ น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “พูดได้เล็กน้อย ขอบคุณยาของเจ้า”

ฟังน้ำเสียงที่แหบพร่า เซียวอี้หัวเราะขึ้นมา “พูดได้ก็พอ! ต่อจากนี้ไม่ต้องทำท่าทางมั่วซั่วแล้ว”

ถุย!

เยียนอวิ๋นเกอกลอกตา

นางไม่ได้ทำท่าทางมั่วซั่ว

นางชี้ไปที่กองทัพใต้ “เจ้าจะไปฆ่าพ่อเจ้าหรือ”

เซียวอี้กระตุกมุมปาก ช่างพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดเสียจริง

เขาพูดอย่างจริงจัง “พ่อข้าคือพ่อข้า ข้าคือข้า!”

เยียนอวิ๋นเกอเลิกคิ้วยิ้ม “ข้าเข้าใจ ลงพนันสองข้าง!”

เซียวอี้เลิกคิ้ว ยิ้มอย่างมีนัย “เจ้าคิดว่าจวนท่านอ๋องตงผิงกำลังลงพนันสองข้างจริงหรือ”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า นางชี้ไปที่กองทัพใต้ “เจ้าแค่อยากจับปลาในน้ำขุ่น รวบรวมกำลังพล แต่กองทัพใต้เป็นทหารของฝ่าบาท เจ้าต้องการอำนาจทหาร การลงมือกับกองทัพใต้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด”

พูดมากเกินไปในคราวเดียว เยียนอวิ๋นเกอเจ็บคออย่างมาก

นางนวดคลึงคอ รู้สึกทรมาน

แม่นมชิวกำชับนาง หนึ่งวันพูดได้มากสุดสิบประโยค

หากรู้ว่านางพูดมากเพียงนี้ เกรงว่าคงจะโกรธมาก

เซียวอี้หัวเราะขึ้นมา “ฟังเจ้าพูดแล้วทรมานคอ เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว คุณหนูตัวน้อยอย่างเจ้ากังวลอำนาจทหารแทนข้าก็เปล่าประโยชน์ แต่ข้ายังคงรับเจตนาดีของเจ้า รอการบุกเบิกของเจ้ามีผลประกอบการ อย่าลืมขายเสบียงให้ข้า”

เยียนอวิ๋นเกอ “…”

ฮือๆๆ …

เหตุใดแต่ละคนจึงจับจ้องเสบียงของนาง

บนแผ่นดินมีตระกูลร่ำรวยและเจ้าของที่มากมาย เหตุใดไม่ไปซื้อเสบียงจากพวกเขา