ตอนที่ 78 ไม่ถือสาคนต่ำทราม

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 78 ไม่ถือสาคนต่ำทราม

อารมณ์ของเซียวฮูหยินไม่ดีนักเมื่อออกจากวัดจงเจิ้งมา

นางกำชับสารถีให้อ้อมตลาดทางตะวันออกและตลาดทางตะวันตกรอบหนึ่ง

“สุดท้ายก็ได้รับผลกระทบอยู่ดี”

ความโกลาหลที่เกิดขึ้น คนในตลาดไม่มากเท่าเมื่อก่อน

ถึงแม้จะไม่เงียบเหงา แต่ใจคนกลับสลายไปเล็กน้อย

ทุกคนต่างกลัว!

กลัวว่าไม่รู้เมื่อใด เมืองหลวงจะเกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง

ความหวาดกลัวที่ซ่อนอยู่ภายในใจ ความพลุกพล่านในตลาดจะรุ่งเรืองได้อย่างไร

นางพูดกับเยียนอวิ๋นเกอ “อวิ๋นเกอ เจ้าดูด้านนอก เจ้ามีความคิดอย่างไร”

เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิด สองมือทำท่า ‘เห็นได้ชัด ฮ่องเต้และขุนนางต่างไม่ให้ความสำคัญกับการค้า’

สมัยนี้การค้าไม่รุ่งเรือง

หนึ่งเพราะเส้นทางไม่ราบรื่น สองราชสำนักมักจะมีการเคลื่อนไหวกดขี่ทางการค้าอยู่เป็นประจำ

การค้าไม่รุ่งเรือง เมืองหลวงที่กว้างใหญ่กลับมีคนจำนวนมากที่ต้องกินข้าว ทำอย่างไร

เงินหายาก หน้าซีดเซียว ชีวิตลำบาก

เซียวฮูหยินถามนาง “เจ้ามองการค้าอย่างไร”

ท่าทางของเยียนอวิ๋นเกอชัดเจนอย่างมาก ‘บัณฑิตชนชั้นนำ กสิกร กรรมกร และพ่อค้า ชนชั้นทั้งสี่ ไม่อาจขาดหนึ่งใดไปได้ ราชสำนักให้ความสำคัญกับบัณฑิตชนชั้นนำ กสิกร แต่ดูถูกกรรมกรและพ่อค้า เป็นคนขาเป๋ตามรูปแบบ ฮ่องเต้และราชสำนักล้วนไม่มีเงิน แต่กลับกดขี่การค้า เพียงแค่ฮ่องเต้ยอมให้ความสำคัญกรรมกร และพ่อค้า ปัญหาเรื่องเงินย่อมได้รับการแก้ไข ไม่จำเป็นต้องกำจัดท่านอ๋องแย่งชิงทรัพย์สินของผู้อื่น’

เซียวฮูหยินพูด “ความคิดของเจ้า เหล่าขุนนางย่อมนึกถึง เหตุใดพวกเขาจึงยอมสละความง่ายไขว่คว้าหาความยาก ล้วนเป็นเพราะผลประโยชน์ ส่วนฮ่องเต้ เขาไม่รู้เศรษฐกิจและการดำรงชีวิตของประชาชน เขาเป็นคนขาเป๋ที่เจ้าพูดถึง”

เยียนอวิ๋นเกอหะวเราะขึ้นมา ‘ท่านแม่ราวกับเหยียดหยามฮ่องเต้มาก’

นางสงสัยอย่างมาก ตอนนั้นท่านแม่กับฮ่องเต้มีความขัดแย้งใดหรือไม่

เซียวฮูหยินเลิกคิ้ว “เจ้าสงสัยอดีตของข้าใช่หรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า ยอมรับอย่างเปิดเผย

นางสงสัยอย่างมาก

เซียวฮูหยินยิ้มเยาะเย้ยตนเอง “อันที่จริงข้ากับฮ่องเต้ไม่มความขัดแย้งกัน เวลานั้นยังเด็ก อาจมีถกเถียงบางคราเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความขัดแย้ง ข้าเพียงแค่ไม่ชอบที่เขาอยากได้ทุกสิ่ง แต่กลับไร้ความสามารถ”

อ้อ!

เยียนอวิ๋นเกอเข้าใจแล้ว

ภายในใจของเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา คิดว่าฮ่องเต้ไม่คู่ควรกับบัลลังก์

เยียนอวิ๋นเกอถาม ‘หากมีวันหนึ่ง ฮ่องเต้จะเรียกคืนพื้นที่ศักดินาของท่านแม่ ท่านแม่จะให้ความร่วมมือกับเขาหรือไม่’

เซียวฮูหยินยิ้ม “ระยะนี้ข้ากำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ จะจัดการอย่างไรถึงจะเหมาะสม ทั้งไม่ทำให้ฮ่องเต้ขุ่นเคือง แต่ก็ไม่เสียเปรียบมากนัก”

‘บางทีอาจขอความช่วยเหลือจากตระกูลหลิงได้’

ความคิดของเยียนอวิ๋นเกอเปรียบเสมือนแสงนำทาง

เซียวฮูหยินผงะพลันครุ่นคิด วิธีนี้เป็นไปได้

“ขอความช่วยเหลือจากตระกูลหลิงเป็นวิธีหนึ่ง เพียงแต่เจ้า…”

‘ท่านแม่ไม่ต้องห่วงลูก ลูกใจกว้างพอ’

ดังนั้น เยียนอวิ๋นเกอจึงทำเรื่องหนึ่ง นางเดินทางไปเยือนตระกูลหลิง

นางจงใจเลือกวันที่หลิงฉางจื้อพักผ่อน เดินทางไปเยือน

นางไม่อยากพบเจ้าโง่อย่างหลิงฉางเฟิง แต่เจ้าโง่นั้นไม่กล้าออกจากจวนเพราะหลิงฉางจื้อพักผ่อน

เมื่อรู้ว่าเยียนอวิ๋นเกอมาเยือน เขาร้องโหวกเหว “นางกล้ามาได้อย่างไร นางมีหน้าอันใด พี่ใหญ่ ในเมื่อนางกล้ามา สู้พวกเราเชือดนางทิ้ง ดับความแค้นภายในใจ”

หลิงฉางจื้อถลึงตา “หุบปาก! สิ่งที่ข้าพูดเจ้าลืมไปแล้วหรือ เรื่องนั้นผ่านไปแล้ว อย่าได้พูดถึงอีก เจ้าถือว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น”

หลิงฉางเฟิงน้อยใจ เขาจะถือว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นได้อย่างไร

เขาถูกเปลือยกายแขวนห้อยหัวอยู่บนเสา ถูกคนทั้งเมืองหลวงดูความอับอาย

เขาโตจนถึงบัดนี้ ยังไม่เคยได้รับการเหยียดหยามที่มากเพียงนี้

ถึงแม้ไม่มีหลักฐานว่าเป็นฝีมือของเยียนอวิ๋นเกอ แต่จากความขัดแย้งของเขากับบ้านใหญ่ตระกูลเยียน นอกจากเยียนอวิ๋นเกอแล้ว ไม่มีคนที่สอง

เขาน้อยใจอย่างมาก “พี่ใหญ่จะพบเยียนอวิ๋นเกอจริงหรือ”

หลิงฉางจื้อกวาดตามองเขา สีหน้านั้นราวกับกำลังบ่งบอกว่า มันไม่ใช่คำถามไร้สาระหรือ

ใรเมื่อคนมาแล้ว จะปิดประตูไม่พบได้อย่างไร

หลิงฉางจื้อรับสั่งบ่าวรับใช้ “พาคุณหนูสี่เข้ามา”

บ่าวรับใช้รับคำสั่งจากไป

เวลาเพียงหนึ่งจอกชา เยียนอวิ๋นเกอถูกเชิญมายังห้องโถงรับแขก

นางยังคงสวมชุดขี่ม้ายิงธนู รูปร่างสูงโปร่ง สง่างามอย่างยิ่ง

หลิงฉางเฟิงเคยได้รับบทเรียนจากธนูของนาง หวาดกลัวยิ่งนัก

เขาถลึงตามองด้วยความโกรธ สีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าขัดขืนพี่ใหญ่ของเขา หลิงฉางจื้อ

เยียนอวิ๋นเกอพบกับหลิงฉางเฟิง เหอะๆ เลิกคิ้วขึ้น ไม่ปิดบังท่าทีรังเกียจที่นางมีต่อหลิงฉางเฟิงแม้แต่น้อย

หลิงฉางจื้อกระแอมไอเสียเสีงยา “คุณหนูสี่นานๆ มาครั้ง!”

เยียนอวิ๋นเกอยิ้มตาหยี หัวเราะขึ้นมา สองมือทำท่า ‘นายน้อยใหญ่เกรงใจ! วันนี้ข้ามีเรื่องจึงเดินทางมา คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ควรเชิญออกไปหรือไม่’

พูดตรงเพียงนี้หรือ

หลิงฉางจื้อเลิกคิ้ว พูด “ฉางเฟิงเป็นน้องของข้า อีกทั้งเป็นพี่เขยของท่าน เขาไม่ใช่คนที่ไม่เกี่ยวข้อง”

ถุย!

หลิงฉางเฟิงมีสิทธิใดเป็นพี่เขยของนาง

นางหัวเราะเหอะๆ ‘นายน้อยใหญ่ยังคงแค้นเรื่องในคืนนั้นหรือ’

หลิงฉางจื้อยิ้มอย่างมีนัย “ข้าคิดว่าคุณหนูสี่ยังยังคงแค้นเรื่องในคืนนั้นเสียมากกว่า มิฉะนั้นเหตุใดท่านจึงให้เชิญฉางเฟิงออกไป”

เยียนอวิ๋นเกอเลิกคิ้ว ‘ข้าเป็นคนใจกว้าง เรื่องคืนนั้นล้วนเป็นความเข้าใจผิด ข้าไม่ถือสา แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลเยียนเมื่อปีก่อน ขอโทษที ข้าไม่กล้าลืมแม้แต่วันเดียว!’

หลิงฉางจื้อหยิบแก้วชาขค้น หัวเราะเสียงเย็น “พูดถึงเรื่องเมื่อปีที่แล้ว มันเป็นความผิดของฉางเฟิงจริงคุณหนูสี่ทวงความยุติธรรมแทนพี่ใหญ่ ข้าเข้าใจได้ ท่านระบายความโกรธแทนพี่ใหญ่ เหยียดหยามฉางเฟิง อีกทั้งยังเดือดร้อนข้า เรื่องเมื่อปีที่แล้วท่านควรปล่อยวางแล้วหรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมา ‘หากอยากให้ข้าปล่อยวางก็ไม่ยาก แต่ต้องดูนายน้อยใหญ่จะทำอย่างไร’

หลิงฉางจื้อเลิกคิ้วด้วยความสนใจ “ท่านต้องการสิ่งใด”

เยียนอวิ๋นเกอกวาดตามองหลิงฉางเฟิง

หลิงฉางเฟิงตกในในทันที

โธ่เอ้ย เหตุใดเขาจึงกลัวเยียนอวิ๋นเกอ

เห็นผีแล้ว!

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะเยาะออกมา เจ้าคนขี้ขลาด

นางทำท่าด้วยสองมือ ‘ฝ่าบาทเรียกคืนพื้นที่ศักดินาของราชวงศ์อย่างแน่นอน เรื่องนี้นายน้อยใหญ่มีความเห็นอย่างไร’

หลิงฉางจื้อยิ้มอย่างกระจ่าง “ไม่เห็นอย่างไร!”

เยียนอวิ๋นเกอพูดไม่ได้ จึงไม่อยากสิ้นเปลืองเวลา

นางพูดอย่างตรงไปตรงมา ‘ท่านช่วยข้าครั้งหนึ่ง เรื่องในอดีตหายกัน’

“ช่วยท่าน?” หลิงฉางจื้อยิ้มอย่างมีนัย “ข้าได้ประโยชน์อันใด”

‘ท่านต้องการสิ่งใด’

หลิงฉางจื้อเล่นแหวนบนนิ้วโป้ง เขาฝึกฝนการขี่ม้ายิงธนูแต่เด็ก ได้ยินผู้ใต้บังคับบัญชาบอกว่า วิชาการขี่ม้ายิงธนูของเยียนอวิ๋นเกอร้ายกาจกว่าเขาเสียอีก

“ได้ยินว่าคุณหนูสี่กำลังบุกเบิกหรือ”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้ายอมรับ

หลิงฉางจื้อพูดอีกครั้ง “ช่วยท่าน ช่วยเหนียงเหนียง ไม่ใช่ไม่ได้ หนึ่งปีเสบียงหนึ่งพันหาบ ระยะเวลาห้าปี”

เหตุใดท่านจึงไม่ไปปล้น

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะเสียงเย็น ‘ตระกูลหลิงเป็นเจ้าของที่ดินใหญ่ที่มีน้อยในแผ่นดิน ไม่ขาดแคลนเสบียง เหตุใดจึงต้องการเสบียงของข้า’

หลิงฉางจื้อถอนหายใจ “ระยะทางยาวไกล ขนส่งเสบียงจากแคว้นหงหนงมาเมืองหลวง อย่างน้อยต้องสูญเสียไปกว่าครึ่ง น่าเสียดายยิ่งนัก อีกทั้งดึงดูดสายตาผู้คน เวลานี้ข้าเป็นขุนนางราชสำนัก ต้องทำตัวไม่โดดเด่นมากจะเป็นการดี หากคุณหนูสี่ใจกว้างยอมช่วยเหลือ ข้าย่อมซาบซึ้งอย่างมาก”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า ‘ข้าสามารถขายเสบียงให้ท่านในราคาต่ำกว่าตลาดสองส่วน แต่เสบียงที่ไม่เสียเงิน ไม่มี! หากท่านต้องการเสบียงที่ไม่เสียเงิน คงไม่ต้องเจรจา ขอตัว!’

นางเด็ดขาดอย่างมาก ลุกขึ้นขอตัวจากไป

เจรจาไม่ได้ก็ไม่เจรจา

ท่าทีของนางเป็นเช่นนี้เสมอมา

นางพูดไม่ได้ อีกทั้งไม่อยากใช้ท่าทางให้สิ้นเปลืองเวลา

“เหตุใดคุณหนูสี่จึงรีบร้อนเพียงนี้! ข้ายังไม่ตอบ ท่านจะไปจริงหรือ”

หลิงฉางจื้ออ้าปากรั้งนางเอาไว้

นางหันกลับไปมองอีกฝ่าย ‘ราคาเหลือแปดส่วนของตลาด หนึ่งปีหนึ่งพันหาบ นับแต่ปีหน้าเป็นต้นไป หากท่านยอมรัยเงื่อนไขนี้ พวกเราก็ร่วมมือกัน หากไม่ยอมรับ ก็อย่าเสียเวลาทั้งสองฝ่าย’

หลิงฉางจื้อกระตุกมุมปาก

เยียนอวิ๋นเกอเป็นคนใจร้อนมากในบรรดาที่เขาเคยพบ

อีกทั้งเป็นหญิงสาวที่เด็ดขาดที่สุดในบรรดาหญิงสาวที่เขาเคยพบ

สมกับเป็นคุณหนูแห่งตระกูลเยียนที่โด่งดัง

เขาครุ่นคิด “ลดลงเหลือแปดส่วน ปีหนึ่งเสบียงหนึ่งปันหาบ ข้ายอมรับได้”

เยียนอวิ๋นเกอเผยรอยยิ้ม ‘เมื่อฝ่าบาทเรียกคืนพื้นที่ศักดินาของพระบรมวงศานุวงศ์ รบกวนนายน้อยใหญ่ช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง’

หลิงฉางจื้อเด็ดขาดเช่นเดียวกัน “ได้! คุณหนูสี่นาน ทีจะมาจวนตระกูลหลิง สู้อยู่ทานอาหารก่อนค่อยไป พี่สาวของท่านย่อมอยากพบท่าน”

เยียนอวิ๋นเกอกรอกตาขาวใส่เขา

เยียนอวิ๋นเพ่ยเป็นพี่สาวคนใดของนางกัน

นางทำท่าทาง ‘นายน้อยใหญ่ไม่ต้องลองเชิงข้ากับเยียนอวิ๋นเพ่ย รวมทั้งน้องชายของท่านหลิงฉางเฟิง ข้าดูถูกจากใจ อีกทั้งไม่อยากจะคบหากับพวกเขา ท่านก็รู้ ข้าพูดไม่ได้ ข้าเหนื่อยที่ต้องรับมือกับคน’

“ฮ่าๆ…”

หลิงฉางจื้อหัวเราะเสียงดัง “คุณหนูสี่เด็ดขาดเสียจริง มีสิ่งใดพูดสิ่งนั้น! เช่นนี้ ข้าย่อมวางใจ”

หากเยียนอวิ๋นเกอตอบรับอยู่ทานอาหารเพื่อความร่วมมือ อีกทั้งยอมมีปฏิสัมพันธ์กับเยียนอวิ๋นเพ่ย เขาคงต้องสงสัยเจตนาที่แท้จริงของเยียนอวิ๋นเกอ ความร่วมมือนั้นย่อมไม่ต้องเจรจา

เยียนอวิ๋นเกอปฏิเสธการทานอาหาร ทำให้เขาวางใจ

เมื่อเจรจาเสร็จสิ้น เยียนอวิ๋นเกอยกมือขอตัว!

ไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว

“พี่ใหญ่ ท่านจะร่วมมือกับเยียนอวิ๋นเกอจริงหรือ เพื่อเสบียงหนึ่งพันหาบเท่านั้น?”

อดทนนาน หลิงฉางเฟิงที่สามารถพูดได้ในที่สุดก็โหวกเหวกเสียงดัง

หลิงฉางจื้อกวาดตามองเขา เขาก็ไม่กล้าเหิมเกริมอีกแม้แต่น้อย

หลิงฉางจื้อส่งเสียงไม่พอใจ “ข้าร่วมมือกับผู้ใด ต้องให้เจ้าพยักหน้ายินยอมก่อนหรือ”

หลิงฉางเฟิงยิ้มเก้อ อับอายอย่างมาก

“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้ ภายในจวนไม่ขาดแคลนเสบียงเพียงเล็กน้อยนั้น เหตุใดพี่ใหญ่พี่ใหญ่จึงต้องไปเกลือกกลั้ว ฮ่องเต้เรียกคืนพื้นที่ศักดินาเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ช่วยท่านหญิงจู้หยางไม่มีผลดีแม้แต่น้อย จำเป็นหรือ”

หลิงฉางจื้อหัวเราะเสียงเย็น “สิ่งใดคือน้ำใจของมนุษย์ น้ำใจของมนุษย์ก็คือเจ้าช่วยเหลือข้า ข้าช่วยเหลือเจ้า ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ช่วยท่านหญิงจู้หยางไม่เปลืองแรง เหตุใดต้องปฏิเสธ เสบียงหนึ่งพันหาบไม่มาก ในจวนไม่ขาดแคลนเสบียงเพียงเล็กน้อยนั้นก็จริง”

“แต่ที่นี่คือเมืองหลวง พระเนตรของฝ่าบาทไม่อาจมีฝุ่นเข้า หากข้าขนย้ายเสบียงมายังเมืองหลวงอย่างเปิดเผย แต่ไม่ออกขาย เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าสายสืบขององครักษ์จินอู่สามารถยัดตรอกให้เต็มได้ ซื้อเสบียงจากมือของเยียนอวิ๋นเกอ ไม่โดดเด่น อีกทั้งยังสามารถทำให้กลายเป็นจำนวนเล็ก ซื้อทีละน้อยในแต่ละครั้ง ไม่มีทางทำให้องครักษ์จินอู่ตื่นตระหนก เข้าใจหรือไม่”

ถึงแม้จะเข้าใจ แต่หลิงฉางเฟิงยังคงไม่ยอม

“เมืองหลวงมีร้านค้าเสบียงมากมาย เหตุใดต้องซื้อเสบียงจากมือของเยียนอวิ๋นเกอ”

หลิงฉางจื้อโกรธจัด ตำหนิเสียงดัง “เจ้าโง่! ร้านค้าเสบียงเมืองหลวงล้วนมีบันทึกการขาย หากจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ย่อมเป็นเพราะมีคนกินข้าวจำนวนมากขึ้น คนที่เพิ่มขึ้นมาทำสิ่งใด เหตุใดต้องซื้อข้าวสารจำนวนมาก เจ้าคิดว่าองครักษ์จินอู่ไม่ทำงานหรือ ทหารของตระกูลหลิงซ่อนเอาไว้ได้หรือไม่ ต้องดูว่าเสบียงนี้ซื้อจากที่ใด”

หลิงฉางเฟิงตอบรับ ‘อ่อ’ ถึงแม้จะเข้าใจ แต่ภายในใจของเขาก็ขมขื่น

หลิงฉางจื้อไม่อยากพูดกับเขา โบกมือให้เขาออกมา

หลิงฉางเฟิงรีบจากมาอย่างรวดเร็ว ยิ่งคิดยิ่งไม่พอใจ

เยียนอวิ๋นเกอเหยียดหยามเขาปานนั้น สุดท้ายไม่เป็นอันใด

พี่ใหญ่กลับหันมาตำหนิเขาว่าโง่ ยังไม่ให้เขาปะทะกับเยียนอวิ๋นเกอ

เพราะเหตุใดกัน…

เติบใหญ่ปานนี้ เขาไม่เคยต้องทนรับความไม่เป็นธรรมนี้

แต่ก่อนอยู่ในตระกูล มีแต่คนอื่นยอมเขา เขาไม่เคยยอมผู้อื่น

เขาวิ่งไปยังเรือนด้านหลัง หาเยียนอวิ๋นเพ่ย

“เล่าเรื่องเยียนอวิ๋นเกอให้ข้าฟัง นางเป็นคนอย่างไร”

ท่าทางโกรธเคืองของเขาทำให้เยียนอวิ๋นเพ่ยสงสัยอย่างมาก

“เหตุใดท่านพี่จึงอยากรู้เรื่องของน้องอวิ๋นเกอ นางเกิดเรื่องใดขึ้นหรือ”

หลิงฉางเฟิงถลึงตามองนาง “เจ้าไม่ต้องสืบเรื่องใดทั้งสิ้น ข้าถามเจ้า…ไม่ใช่ให้เจ้าถามข้า”

เยียนอวิ๋นเพ่ยพูดอย่างคล่องแคล่ว “พูดถึงน้องอวิ๋นเกอ ตอนอยู่ในตระกูล ชื่อเสียงของนางโด่งดังไปไกล นางมีอารมณ์ร้อน เมื่อเจรจาไม่สำเร็จก็ลงมือทำร้ายคน แต่นางมีพละกำลังมาก คนทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง แต่ก่อนข้าถูกนางรังแก อนาถอย่างมาก อีกทั้งนางยังกล้าลงมือแม้แต่กับท่านโหว”

หลิงฉางเฟิงส่งเสียงไม่พอใจ “เยียนอวิ๋นเกออกตัญญูเพียงนี้ ท่านโหวกว่างหนิงไม่สั่งสอนนาง?”

เยียนอวิ๋นเพ่ยส่งเสียง พูดเสริม “ข้าก็แปลกใจ! คนมีความสามารถอย่างท่านโหว เหตุใดจึงสั่งสอนเยียนอวิ๋นเกอไม่ได้ เวลานี้ครุ่นคิด เกรงว่าท่านโหวจะเจตนาปล่อยปะ เมื่อเยียนอวิ๋นเกอชื่อเสียงเสื่อมเสีย ย่อมออกเรือนไม่ได้ นางทำได้เพียงกลายเป็นสตรีชรา”

พูดถึงตรงนี้ เยียนอวิ๋นเพ่ยก็หัวเราะอย่างได้ใจ

หลิงฉางเฟิงทำสีหน้าไม่อยากมอง

สมกับเป็นความคิดของสตรี

หญิงสาวอย่างเยียนอวิ๋นเกอไม่จำเป็นต้องออกเรือน

นางโหดเหี้ยมเสียยิ่งกว่าชายใด สามารถสร้างอนาคตของตนเองได้

สมองเขามีน้ำเข้าหรือ ถึงได้สืบข่าวเยียนอวิ๋นเกอจากเยียนอวิ๋นเพ่ย