ตอนที่ 10-1 พี่ซิวมาแล้ว
ณ เขาหมั่งฮวง พายุหิมะโหมกระหน่ำ จีหมิงซิวฝ่าพายุหิมะที่โหมพัดทั่วท้องนภามาถึงริมสะพานหิน
เขากำลังจะข้ามสะพาน เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็คว้าแขนเขาไว้อย่างมือไวตาไว “นายน้อย! บนสะพานมีแต่หิมะกับน้ำแข็ง เดี๋ยวก็ลื่นตกลงไป ให้ข้าข้ามไปก่อนเถิด!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานกลับไปที่จวนอ๋องมารอบหนึ่งแล้ว พวกเขาพาองครักษ์มาด้วยไม่น้อย แล้วยังมีอุปกรณ์ฉุกเฉินอีกจำนวนหนึ่ง ทว่าแม้แต่ของเหล่านี้ก็ยังรับมือกับสะพานหินที่อยู่ท่ามกลางลมพายุโหมกระหน่ำกับหิมะตกหนักหน่วง แถมยังลื่นไถลลำบากอยู่เล็กน้อย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยผูกเชือกนิรภัยกับร่างของตนเอง ส่วนอีกข้างหนึ่งมัดไว้กับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
เขาเดินไปพลางก็ใช้ด้ามพลั่วกะเทาะน้ำแข็งกับหิมะบนสะพานออก
รอจนกระทั่งเขาเดินไปถึงฝั่งตรงข้ามแล้ว เขาจึงใช้วิชาตัวเบาเหินตรงลงไปที่ถ้ำ หลังจากยืนที่ปากถ้ำมั่นคงแล้ว เขาก็มัดเชือกไว้กับหินที่มั่นคงก้อนหนึ่งอย่างแน่นหนา
ไห่สือซานหยิบเชือกที่มัดเป็นปมไว้เรียบร้อยก่อนแล้วออกมาคล้องไว้กับเชือก “นายน้อย ข้าจะข้ามไปก่อน หากไม่มีปัญหาท่านค่อยตามมา”
ปลายเชือกสองฝั่งมัดไว้อย่างดีแล้ว แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ฝั่งถ้ำจึงมีเยี่ยนเฟยเจวี๋ยดึงอยู่ ส่วนปลายฝั่งต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นก็มีองครักษ์ดึงอยู่เช่นกัน ไห่สือซานไถลเข้าไปในถ้ำอย่างปลอดภัย
หลังจากนั้นจีหมิงซิวกับองครักษ์อีกหกนายก็ไถลข้ามมา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระชากเชือกดู แล้วจิ๊ปากบอกว่า “แน่นดีทีเดียว ขากลับอาจยังใช้ได้อีก”
“ตัดเสีย” จีหมิงซิวเอ่ยอย่างไม่ลังเลสักนิด
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนิ่งอึ้ง “ตัด…ตัดหรือ นี่กว่าจะมัดได้ไม่ง่ายเลยนะ รอพวกเราตามหาพวกเขาพบแล้วยังต้องปีนขึ้นไปอีกนะ”
แม้จะบอกว่าปีนขึ้นไปด้านบนถ้ำได้ แต่ทำเช่นนั้นก็ต้องเดินผ่านสะพานหินอีกรอบหนึ่ง เสี่ยงจะพลัดตกหน้าผาไปอีกหน ไม่สู้ใช้เชือกเส้นนี้ดึงคนไปฝั่งตรงข้ามไม่ดีกว่าหรือ
ไห่สือซานครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เห็นด้วย “ตัดเถอะ เยี่ยนเฟยเจวี๋ย หากปล่อยให้เจ้าพวกลัทธิศักดิ์สิทธิ์พบเชือกเส้นนี้เข้า พวกเขาต้องเดาออกแน่ว่าพวกเราย้อนกลับมา ถึงตอนนั้นพวกเขาออกค้นหาพวกเราไปทั่วภูเขา พวกเราก็คงไม่มีเวลาว่างไปค้นหาฮูหยินน้อยกับแม่ทัพน้อยมู่แล้ว”
“ผู้ใดจะตามหาแม่ทัพน้อยมู่” แววตาเย็นชาประหนึ่งคมดาบเย็นเฉียบของจีหมิงซิวตวัดฉับมา
ไห่สือซานรู้สึกขนหัวลุก เขาตระหนักทันทีว่าตนพูดผิดแล้ว นายน้อยไม่ชอบขี้หน้าแม่ทัพน้อยมู่อยู่แล้ว หนนี้แม่ทัพน้อยมู่ดันร่วงตกลงไปด้วยกันกับฮูหยินน้อย ก่อนจะตกลงไปยังช่วงบังธนูให้ฮูหยินน้อยอีก แต่เดิมสมควรเป็นนายน้อยที่ร่วมเป็นร่วมตายของผู้หญิงของตนเอง แต่มาวันนี้กลับกลายเป็นศัตรูความรักมาทำหน้าที่แทน หากนายน้อยสบายใจถึงจะแปลก
เกรงว่านายน้อยคงอยากจะให้คนที่ร่วงตกผาไปเป็นตนเองมากกว่าจะยอมให้แม่ทัพน้อยมู่ถูกมองว่าเป็นคนดีกระมัง
แต่จะว่าไปแล้วหากไม่ได้แม่ทัพน้อยมู่บังธนูดอกนั้นเอาไว้ โอกาสที่ฮูหยินน้อยจะรอดคงลดลงไปจนเกือบจะเท่ากับศูนย์จริงๆ ส่วนตอนนี้…เป็นต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ หากยังไม่พบศพของทั้งสองคน เขาไม่ยอมเชื่อเด็ดขาดว่าทั้งสองคนตายไปแล้ว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยใช้อาวุธลับตัดเชือกที่มัดบนต้นไม้ออกเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงสาวเชือกทั้งเส้นกลับมาไว้ในมือ หลังจากนั้นคนทั้งคณะก็ใช้เชือกเส้นนี้เดินทางลงไปใต้หน้าผาระยะหนึ่ง จนพบว่ามีทางเส้นน้อยที่พอจะเดินได้อยู่ตรงไหล่เขา
ถึงจะบอกว่าเป็นทางเส้นน้อย แต่ความจริงเป็นเพียงหินที่ยื่นโผล่ออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ระหว่างหินบางก้อนห่างกันไม่มากเพียงครึ่งก้าว แต่บางก้อนก็ห่างกันสามถึงสี่ก้าว ช่วงเวลาเหล่านั้นจำเป็นต้องอาศัยมีดสั้นเจาะรูบนหน้าผาพลางเคลื่อนไปข้างหน้า
พวกเขาต่างมีกำลังแขนไม่เลว แต่ภูมิประเทศสูงชันเกินไป อันตรายกว่าเดินบนสะพานหินมาก สะพานหินดีเลวก็ยังกว้างสามฉื่อ แต่ก้อนหินตรงนี้บางก้อนใหญ่ไม่เท่าก้อนอิฐก้อนหนึ่งด้วยซ้ำ ในตอนที่ไม่มีหินให้หยั่งเท้าก็ต้องอาศัยมีดเจาะกำแพงผาเพียงอย่างเดียว
ทว่าหนนี้ไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าห้วงเหวลึกใต้เท้าทำให้พวกเขาอยากเลิกล้มการเดินทางไปด้านหน้า
หลังจากพวกเขาฝ่าพายุหิมะปีนป่ายกำแพงผามาอย่างยากลำบากครึ่งชั่วยาม ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นพื้นดินในที่สุด หลังจากเหยียบลงบนแผ่นดินที่ถูกหิมะกองทับถมปิดไว้ ไม่นานพวกเขาก็พบป่าแห่งหนึ่ง หากเดินตามเส้นทางในป่าลงมาข้างล่าง อีกไม่นานก็น่าจะถึงก้นผา
ณ สถานที่แห่งหนึ่งที่ก้นผา ภายในบ้านไม้หลังน้อยเดียวดายหลังหนึ่ง ซิ่วฉินจัดสำรับอาหารสำหรับวันนี้ มีเนื้อตากแห้งที่แม่เฒ่ากับตนทำเองผัดกับกระเทียม กระต่ายที่เมื่อวานล่ามาได้ครึ่งหนึ่งนำมาปรุงเนื้อผัดพริกหมาล่า อีกครึ่งหนึ่งทำกระต่ายราดน้ำแดง จากนั้นก็ผัดผักป่าอีกสองจาน ต้มน้ำแกงถั่วกับกระดูกกระต่ายอีกหนึ่งหม้อ
ซิ่วฉินสูดกลิ่นหอมที่ทำให้คนเบิกบานใจนี้แล้วน้ำลายก็เหมือนจะไหลออกมา นางกลืนน้ำลาย จากนั้นไปเชิญแม่เฒ่าในห้อง
แม่เฒ่านั่งลงที่โต๊ะ นางมองอาหารที่มากมายหลากหลายกว่าปกติหลายเท่าอย่างเห็นได้ชัด แล้วหันไปมองซิ่วฉินนิ่งๆ
ซิ่วฉินหัวเราะแหะๆ หยิบชามกับตะเกียบส่งให้นาง “ท่านแม่เฒ่ากินตอนยังร้อนๆ เถิด เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย”
นางหยิบตะเกียบขึ้นมาชิมเนื้อกระต่ายผัดพริกหมาล่าก่อนหนึ่งคำ
“เป็นเช่นไร อร่อยหรือไม่” ซิ่วฉินมองนางอย่างคาดหวัง
นางตอบเรียบๆ “ก็ธรรมดาๆ”
ซิ่วฉินขานอ้อคำหนึ่งอย่างผิดหวัง นี่ยังธรรมดาๆ อีกหรือ นางน้ำลายสอจะตายอยู่แล้วรู้หรือไม่
แม่เฒ่าชิมเนื้อกระต่ายราดน้ำแดงอีกหนึ่งคำ แม้ปากจะบอกว่าธรรมดาๆ แต่มือที่คีบอาหารกลับไม่ชักช้าสักนิด ระหว่างที่ซิ่วฉินช่วยตักน้ำแกงให้หนึ่งถ้วย เนื้อกระต่ายสองจานก็หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว
เฉียวเวยยกผักคลุกซีอิ๋วที่เพิ่งคลุกเสร็จใหม่ๆ จานหนึ่งออกมา ผักคลุกซีอิ๋วจานนี้ใช้ผักป่าปรุงเช่นกัน ลวกน้ำร้อนก่อน จากนั้นคลุกกับซีอิ๋วเย็นๆ รสชาติกรุบกรอบอมเปรี้ยวอร่อยลิ้น ช่วยให้เจริญอาหารอย่างยิ่ง
เฉียวเวยวางผักคลุกซีอิ๋วลงบนโต๊ะแล้วหันไปมองแม่เฒ่าที่ทานอาหารอยู่เงียบๆ ก่อนจะพูดขึ้นมาเสียงเบาว่า “ขอบคุณท่านแม่เฒ่ายิ่งนักที่ยอมให้พวกเราอยู่ต่อ”
นางทราบทราบความจริงที่ทำให้ได้อยู่ต่อเมื่อวานจากปากของซิ่วฉินแล้ว แม่เฒ่าเหมือนจะรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง หลังจากนางเป็นลมไป แม่เฒ่าก็จับชีพจรให้นาง พอทราบว่านางตั้งครรภ์อยู่ก็ไม่พูดคำใดทั้งสิ้นหมุนตัวเดินกลับไปที่ห้อง
นี่เท่ากับว่ายอมให้นางกับแม่ทัพน้อยมู่อยู่ต่อกลายๆ แล้ว
แม่เฒ่าคนนี้ดูแล้งน้ำใจ แต่เหมือนนางจะยอมผ่อนปรนและเห็นใจสตรีตั้งครรภ์อยู่นิดๆ …
ไม่ว่าจะว่าอย่างไร ทั้งเรื่องที่ตั้งครรภ์ ทั้งเรื่องที่ได้อยู่ต่อก็ทำให้นางดีใจมาก การปรุงอาหารมื้อนี้ไม่เพียงแต่เพื่อแสดงความขอบคุณต่อแม่เฒ่า แต่นางยังอยากจะฉลองให้กับเด็กน้อยที่มาหานางอีกด้วย
แม่เฒ่าเอ่ยเสียงเย็นชา “อย่าคิดว่าข้าให้พวกเจ้าอยู่เปล่าๆ”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ข้าเข้าใจแล้วท่านแม่เฒ่า! งานในบ้าน ข้าจะทำทั้งหมด! ข้าปรุงอาหารเก่งที่สุดแล้ว ท่านอยากกินสิ่งใดบอกข้าได้ทุกอย่าง! งานเย็บปักข้าก็พอทำเป็นอยู่บ้าง หากท่านต้องการซ่อมปะสิ่งใดก็หยิบมาให้ข้าได้เช่นกัน!”
แม่เฒ่าบอกต่อว่า “หิมะหยุดเมื่อใด พวกเจ้าจงไปเสีย”
เฉียวเวยมองไปนอกหน้าต่าง หิมะหนนี้ไม่รู้ว่าจะตกอีกนานเท่าใด พอถึงวันที่หิมะหยุดตก แม่ทัพน้อยมู่ก็น่าจะพ้นช่วงวิกฤติแล้ว ถึงตอนนั้นพาเขาเดินทางไปตามภูเขา บางที…น่าจะเดินทางไหวอยู่กระมังดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เฉียวเวยลูบหน้าท้องที่ยังไม่นูนออกมาเด่นชัด แล้วกล่าวกับแม่เฒ่าว่า “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่เฒ่า”
ห้องครัวยังมีอาหารเหลืออยู่หนึ่งอย่าง เฉียวเวยจึงไปทำงานในห้องครัวต่อ ซิ่วฉินรีบมาช่วย ความจริงแล้วซิ่วฉินก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก สมัยนางรับใช้ฟู่เสวี่ยเยียนนางเพียงดูแลเรื่องการยกสำรับอาหารไปตั้งกับที่หลับที่นอนเท่านั้น ไม่ได้เข้ามาอยู่ในห้องครัว นางจึงไม่มีทักษะในเรื่องเหล่านี้ ส่วนหลังจากมาอยู่ที่นี่ ทุกวันแม่เฒ่าก็เป็นคนทำอาหาร แม้จะไม่นับว่ารสชาติเลวร้ายแต่ก็ไม่อร่อยเท่าใดนัก
ตอนนี้ที่นางตามเฉียวเวยเข้ามา ความจริงเป็นเพราะอยากจะคุยกับนางเท่านั้น
“ท่านแม่เฒ่าเป็นคนจงหยวนหรือ” เฉียวเวยถาม
ซิ่วฉินส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ ตอนที่ท่านยังไม่มานางพูดภาษาเยี่ยหลัวอยู่ตลอด ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางพูดภาษาจงหยวนได้ แล้วยังพูดได้ดีขนาดนี้อีก”
เฉียวเวยเงียบไป ช่างมันเถิด คนจงหยวนหรือคนเยี่ยหลัวก็เป็นผู้มีพระคุณของพวกเขาทั้งสามคนไม่ใช่หรือไร
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว ซิ่วฉินก็เก็บชามกับตะเกียบ เฉียวเวยเดินไปที่ห้องของแม่เฒ่าแล้วหอบเสื้อผ้าที่นางผลัดเปลี่ยนไปซักที่ท้ายเรือน
แม่เฒ่ามองท้องของนางเป็นอย่างแรก จากนั้นก็มองท่าทางเหมือนไม่เป็นอะไรสักนิดของนาง ต่อมานางจึงหยิบคันธนูกับลูกธนู สวมเสื้อฟางกันฝนกับหมวกปีกกว้างเดินออกจากเรือนไปโดยไม่พูดอันใด