ตอนที่ 10-2 พี่ซิวมาแล้ว
ฝั่งพวกจีหมิงซิวข้ามน้ำข้ามเขาเป็นเวลาหนึ่งคืนกับหนึ่งวันเต็มๆ สุดท้ายก็มาถึงก้นผา เพียงแต่ว่าก้นผาแห่งนี้ใหญ่เหลือเกิน ทอดสายตามองไปขาวโพลนไปหมด แล้วพวกเขาสองคนอยู่ที่ใดกันแน่เล่า
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองไปมองมาก็บังเอิญมองเห็นรูปปั้นน้ำแข็งตัวใหญ่เป็นเงาดำทะมึนอยู่ก้อนหนึ่ง เขาตกใจสะดุ้งโหยงทันใด “เฮ้ย! ผู้ใดกัน!”
กึกๆ! รูปปั้นน้ำแข็งขยับแล้ว น้ำแข็งร่วงกราวลงมา จากนั้นราชันอสูรก็โผล่หัวออกมาจากกองเศษน้ำแข็งแล้วเดินเลี้ยวมาหาอย่างเชื่องช้า
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เขาล้มลงไปก้นจ้ำเบ้าบนพื้นน้ำแข็ง หลังจากมองเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายชัดเจน เขาจึงถามอย่างหวาดผวา “ผู้อาวุโสเหตุใดเป็นท่านเล่า ท่านมาตั้งแต่เมื่อใด ไม่ใช่ให้ท่านอยู่ที่จวนอ๋องหรือ”
งานนี้คือการตามหาคน ไม่ใช่สู้กับคน พวกเขากลัวว่ายังไม่ทันหาเฉียวเวยกับแม่ทัพน้อยมู่พบก็จะทำราชันอสูรที่รักผู้สมองใช้การไม่ค่อยได้คนนี้หายไปอีกคน ดังนั้นจึงให้เขาอยู่เฝ้าจวนอ๋อง
แต่ดูจากสภาพของราชันอสูร เขาน่าจะแอบตามออกมา และไม่เพียงตามมาแต่ยังแซงหน้าพวกเขามาด้วย ไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ในสถานที่บัดซบนี่นานเพียงใดแล้ว เขาถึงถูกแช่แข็งกลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งตัวโตตัวหนึ่งได้!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลุกขึ้นมาโดยที่ยังไม่หายผวา
ราชันอสูรทำหน้าบึ้งใส่เขา แล้วสะบัดก้นให้!
จีหมิงซิวสายตายอดเยี่ยมอย่างยิ่ง แม้จะมีพายุหิมะทั่วท้องนภา แต่เขาก็ยังมองเห็นแสงโคมไฟเลือนรางจุดหนึ่ง “ด้านนั้นมีคนอยู่ ไปดูกันหน่อย”
“มีหรือ” ไห่สือซานมองตามทิศทางที่จีหมิงซิวบอกอย่างรวดเร็ว แต่เขามองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น ทว่าในเมื่อนายน้อยบอกว่ามี เขาก็จะเดินทางไปดูฝั่งนั่นสักหน
ไม่นานไห่สือซานก็กลับมา “มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่งจริงๆ ข้าสอบถามเรื่องฮูหยินน้อยกับพวกเขาแล้ว พวกเขาบอกว่าไม่เคยพบ แต่พวกเขาบอกว่าใกล้ๆ มีบ้านของชาวบ้านอยู่หลายหลัง พวกเราตามหาไปทีละหลังได้ แต่มันอาจจะอยู่ไกลกันสักหน่อย พวกเราแยกย้ายกันตามหาจะดีที่สุด”
“อืม” จีหมิงซิวพยักหน้า จากนั้นก็แยกกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยและไห่สือซาน แต่ละคนพาองครักษ์ไปด้วยสองนาย แยกกันสามทาง ก่อนจะแยกย้ายกัน เขาถามราชันอสูรว่าอยากตามไปกับผู้ใด
ราชันอสูรมองทั้งสามคน แล้วมอง ‘หน่วยองครักษ์เล็กๆ’ ด้านหลังทั้งสามคน เสร็จแล้วก็โมโหโทโสแยกไปคนเดียว!
“เฮ้ย! ผู้อาวุโส! ผู้อาวุโส!…” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเห็นเงาของราชันอสูรหายไปท่ามกลางพายุหิมะก็โมโหจนกระทืบเท้า “ท่านไม่กลัวเดินหลงทางหรือไร ข้า ข้า ข้า…ขอเตือนท่าน หากท่านหลงทางหายไปล่ะก็ พวกข้าจะไม่ไปตามหาท่าน!”
ราชันอสูรผู้กระโจนเหินอยู่กลางอากาศ หันกลับมาทำหน้าผีใส่อย่างดูแคลน
ราชันอสูรหยุดอยู่หน้าบ้านไม้น้อยหลังหนึ่ง เขายกเท้าขึ้นเตรียมจะถีบประตูบ้าน แต่พอนึกทบทวนอีกหนก็วางเท้าลงช้าๆ แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาอย่างสุภาพบุรุษ…
ปัง! ปัง! ปัง!
ปัง! ปัง! ปัง!
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!…
เฉียวเวยเพิ่งจะซักผ้าเสร็จ นางนอนหลับอยู่บนเตียง แต่แล้วนางก็ถูกเสียงเคาะประตูดังสนั่นเล่นงานจนเกือบร่วงตกเตียง!
เฉียวเวยตั้งสติแล้วสวมรองเท้า ทว่าซิ่วฉินเดินออกมาจากห้องของตนเองก่อนแล้ว นางบอกเฉียวเวยว่า “ข้าเองเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยกลับไปนอนที่ห้องเถิด”
เฉียวเวยชะงักแล้วกลับไปนั่งบนเตียงอย่างเงียบๆ
ในเมื่ออีกฝ่ายเคาะประตู (ถึงแม้จะเคาะเสียงดังสนั่นไปหน่อย) เขาก็น่าจะเป็นชาวบ้านแถวนี้ เพราะหากเป็นนักรบมรณะที่ตามไล่ฆ่านาง พวกเขาจะต้องพังประตูบุกเข้ามาแน่ ซิ่วฉินคิดเช่นนี้จึงเปิดประตูให้อีกฝ่าย
แต่ซิ่วฉินคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าคนที่ยืนอยู่ที่ประตูจะเป็นนักรบมรณะรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ความแตกต่างระหว่างนักรบมรณะกับคนธรรมดา คนทั่วไปอาจมองไม่ออกแต่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ชาวเยี่ยหลัวจะมองไม่ออกได้อย่างไรเล่า
ซิ่วฉินไม่เคยพบราชันอสูร นางย่อมไม่รู้จักอีกฝ่าย ทว่าลมปราณอันแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากร่างของอีกฝ่ายทำให้นางสัมผัสได้ว่าเขาน่ากลัวว่านักรบมรณะคนใดที่นางเคยพบมา
ซิ่วฉินปิดประตูดัง โครม!
“เป็นอะไรไปหรือซิ่วฉิน” เฉียวเวยเดินออกมาจากห้อง
ซิ่วฉินดันเฉียวเวยเข้าไปในห้อง แล้วบอกอย่างเคร่งเครียดและหวาดกลัว “แย่แล้วเจ้าค่ะ นักรบมรณะไล่ตามมาแล้ว พวกเขาจะฆ่าพวกเรา!”
ซิ่วฉินกับเฉียวเวยต่างเป็นเป้าหมายที่นักรบมรณะไล่ล่า อีกทั้งเฉียวเวยเพิ่งร่วงจากหน้าผา อีกฝ่ายจะส่งคนมาไล่ล่าก็ฟังดูมีเหตุผลอย่างยิ่ง
เฉียวเวยแววตาเย็นชาขึ้นมา “พวกเราออกไปทางประตูหลังกัน”
ซิ่วฉินสีหน้าเคร่งเครียดบอกว่า “อันตรายเกินไปเจ้าค่ะ ผู้ใดจะรู้ว่าเขามีพรรคพวกอยู่ใกล้ๆ หรือไม่ ข้ารู้ว่าท่านแม่เฒ่ามีห้องใต้ดินห้องหนึ่ง ท่านพาแม่ทัพน้อยมู่ไปหลบในห้องใต้ดินก่อน”
“แล้วเจ้าเล่า” เฉียวเวยถาม
ซิ่วฉินตอบว่า “ข้าจะไปถ่วงเวลาไว้”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “ไม่ได้ อันตรายเกินไป”
“ไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ จะพูดเรื่องนี้ทำอะไรอีก” ซิ่วฉินมองท้องของนาง “ข้าหนีได้ หนก่อนข้าก็หนีมาแล้ว ท่านกับคุณชายน้อยต้องปลอดภัย”
พูดมาถึงตรงนี้ เฉียวเวยก็ทำเป็นเก่งต่อไม่ได้แล้ว แม้นางจะเก่งกาจสารพัด แต่เมื่อพะวงถึงลูกในท้อง นางย่อมใช้ความสามารถออกมาได้ไม่ถึงหนึ่งถึงสองส่วนของปกติ
เฉียวเวยเข้าไปในห้อง นางอุ้มแม่ทัพน้อยมู่ขึ้นมาแล้วเดินไปทางห้องใต้ดินที่ซิ่วฉินบอก
ห้องใต้ดินอยู่ในโพรงต้นไม้ของต้นไม้เก่าแก่อายุหลายร้อยปีนอกประตูหลังต้นหนึ่ง เดินไปไม่ยาก เพียงแต่จะส่งเสียงดังเกินไปไม่ได้
หลังจากเฉียวเวยออกจากประตูหลังไปแล้ว ซิ่วฉินก็ถูถ่านสีดำบนใบหน้าของตนเองสองสามหน จากนั้นจึงรวบรวมความกล้าดึงประตูหน้าเปิด แล้วบอกราชันอสูรที่ยังเฝ้าอยู่ตรงประตูว่า “ท่านกำลังตามหาคนใช่หรือไม่ ในบ้านข้าไม่มีใครหรอก ไม่เชื่อท่านก็เข้ามาหา”
ราชันอสูรเดินจากไป
ซิ่วฉินปิดประตู นางพิงร่างกับบานประตูแล้วถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง
ทว่ายังไม่ทันให้นางถอนหายใจจบ ราชันอสูรก็แอบลอบกลับมาอีกหน
เฉียวเวยอุ้มแม่ทัพน้อยมู่ตามหาโพรงบนต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นจนพบ นางเปิด ‘ประตูต้นไม้’ ออกแล้วก้มตัวเดินเข้าไป
ด้านในมืดสนิท มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น เท้าของนางเหยียบถูกสิ่งที่เหมือนม้านั่งตัวหนึ่ง นางจึงนั่งลงไปอย่างช้าๆดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
หลังจากนั่งลงไปเสร็จ นางก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้
เสียงแผ่วเบาเสียงหนึ่งดังเบาๆ ข้างหูของนาง “โฮกกก”
เฉียวเวย “!”
เฉียวเวยตกใจจนมือสั่น เผลอเหวี่ยงแม่ทัพน้อยมู่ทิ้ง!