เล่ม 2 ตอนที่ 11-1 ยายหลานพบหน้า

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 11-1 ยายหลานพบหน้า

แม่ทัพน้อยมู่ที่น่าสงสารแต่เดิมก็ไม่ได้สติอยู่แล้ว พอถูกเหวี่ยงทิ้งเช่นนี้ หัวก็ฟาดเข้ากับประตูดังโครม ใบหน้าถูกฟาดจนบวมปูดขึ้นมาสองลูก

เฉียวเวยรีบวิ่งเข้าไปหา นางก็บอกไม่ถูกว่าตนเองวิ่งเข้าไปแย่งคนหรือเพราะตกใจกลัว

นางอุ้มแม่ทัพน้อยมู่ขึ้นมาสำเร็จก็ใช้เท้าถีบระหว่างช่องว่างประตู แสงสว่างที่สะท้อนจากพื้นหิมะลอดผ่านเข้ามา เฉียวเวยอาศัยแสงเลือนรางนี้จนมองเห็นใบหน้าของราชันอสูรชัด

ราชันอสูรนั่งทำหน้าเคร่งขรึมอยู่บนเก้าอี้ แผ่นหลังเหยียดตรง สองมือวางอยู่บนหัวเข่า สายตามองไปด้านหน้าราวกับว่าเจ้าคนที่ทำให้เฉียวเวยตกใจจนใจหายใจคว่ำไม่ใช่เขา

เฉียวเวยได้ยินเสียงตนเองกัดฟันกรอด…

ทว่าเสียงนี้ไม่นานก็ถูกอีกเสียงหนึ่งกลบทับไป

โครกคราก!

ท้องของราชันอสูรส่งเสียงร้อง

ซิ่วฉินปิดประตูเสร็จก็คิดว่าหลอก ‘นักรบมรณะ’ สำเร็จแล้ว นางวิ่งไปหาเฉียวเวยที่ท้ายเรือนทันที คิดไม่ถึงว่านางยังไม่ทันเดินได้กี่ก้าวก็พบเฉียวเวยกับ ‘นักรบมรณะ’ คนเมื่อครู่อยู่ด้วยกันในห้องครัว ในมือของ ‘นักรบมรณะ’อุ้มเม่ทัพน้อยมู่ที่หมดสติอยู่ ไม่รู้ว่าใบหน้าของแม่ทัพน้อยมู่ถูกสิ่งใดกระแทกเข้าจึงทั้งบวมทั้งเบี้ยวอย่างมาก

ปฏิกิริยาแรกของซิ่วฉินก็คือคิดในใจว่า เจ้าหมอนี่จากไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุไฉนจึงกลับมาอีก เขากลับมาได้อย่างไร แล้วเข้ามาจากตรงไหน

ปฏิกิริยาที่สองของซิ่วฉินก็คือคิดว่าเฉียวเวยถูก ‘นักรบมรณะ’ คนนี้จับตัวมา ชั่วพริบตานั้นซิ่วฉินไม่สนแล้วว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ ‘นักรบมรณะ’ นางคว้าเคียวเล่มหนึ่งที่แขวนอยู่บนกำแพง พุ่งเข้าไปฟัน ‘นักรบมรณะ’!

ความเร็วของนาง ยามอยู่ในสายตาของเฉียวเวยนับว่ารวดเร็วอย่างยิ่ง แต่ในสายตาของยอดฝีมือเช่นนักรบมรณะ กลับเหมือนภาพเคลื่อนไหวช้าจากกล้องความคมชัดสูง ราชันอสูรยกตัวแม่ทัพน้อยมู่ในมือขึ้นมาอย่างเชื่องช้าแล้วดันไปหาคมเคียวของซิ่วฉินอย่างไม่รู้สึกละอายใจแม้แต่น้อย

ซิ่วฉิน “…”

เฉียวเวย “…”

ซิ่วฉินจะทำใจฟันเคียวนี้ลงไปได้หรือไม่ เฉียวเวยไม่ทราบ แต่เฉียวเวยรู้เพียงว่าตอนนี้นางอยากเอาดาบฟันหัวราชันอสูร!

สุดท้ายแล้วซิ่วฉินย่อมไม่ฟันลงมา

เฉียวเวยถลึงตาใส่ราชันอสูรอย่างโมโห “หากทำเช่นนี้อีกจะไม่ให้ของกินท่านแล้ว!”

ราชันอสูรอดกลั้นความอัปยศไม่ส่งเสียงสักแอะ

ซิ่วฉินมองภาพอันแปลกประหลาดที่คงจะแปลกประหลาดไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ในใจขนลุกซู่ “ฮูหยินน้อย ท่าน…ท่านรู้จักเขาหรือ”

“ใช่แค่รู้จักที่ไหนเล่า เขาคือ…” เฉียวเวยอยากจะบอกว่าเขาคือราชันอสูรของฮองเฮา แต่ก็กลัวว่าราชันอสูรจะได้ยินจึงงึมงำตอบอกมาเพียงประโยคเดียวว่า “ใช่แล้ว ข้ารู้จัก คนของพวกเราเอง”

ในมือจีหมิงซิวมีนักรบมรณะที่ร้ายกาจอย่างสือชีอยู่คนหนึ่งแล้ว หากมีคนที่ร้ายกาจกว่าเพิ่มขึ้นมาอีกคนก็ดูเหมือนจะพอฟังขึ้น ซิ่วฉินยอมรับเรื่องนี้อย่างรวดเร็วและไม่รู้สึกว่ามีตรงไหนผิดปกติ

ซิ่วฉินพาราชันอสูรไปที่ห้องของแม่ทัพน้อยมู่ ส่วนเฉียวเวยไปทำอาหารที่ห้องครัว

การได้พบราชันอสูรทำให้เฉียวเวยยินดีมาก ในเมื่อราชันอสูรมาแล้วก็หมายความว่าหมิงซิวอยู่ใกล้ๆ ด้วย

ความจริงแล้วพวกเขาเพิ่งแยกจากกันไม่นาน แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่นางไม่ปรารถนาจะให้บุรุษผู้นี้ต้องตื่นตระหนกหวาดกลัวเพราะตนเอง นางพลัดตกมาจากที่สูงปานนั้น เป็นตายมิอาจล่วงรู้ แม้บนใบหน้าของเขาอาจไม่แสดงออก ทว่าในหัวใจคงหวั่นไหวยิ่งกว่าเวลาใดทั้งสิ้น

เมื่อนึกถึงภาพเขาต้องข่มกลั้นความทุกข์ทรมานทั้งหมดไว้ในใจแล้วแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง เฉียวเวยก็ไม่อยากยอมรับว่าตนเองปวดใจอยู่เล็กน้อย

เพียงแต่ปวดใจก็ส่วนปวดใจ พอนึกถึงเด็กน้อยในท้องคนนี้ที่ถูกเขา ‘พูด’ จนเข้ามาอยู่ในท้องจริงๆ จู่ๆ หัวใจของเฉียวเวยก็เกิดความรู้สึกที่ยากจะพรรณนาขึ้นมา

เฉียวเวยหรี่ตาลง ยกมุมปากยิ้มอย่างชั่วร้าย

เฉียวเวยทำข้าวผัดไข่ใส่เนื้อตากแห้งให้ราชันอสูร จากนั้นจึงทอดถั่วเคลือบน้ำตาลหวานๆ อีกหนึ่งถุง ราชันอสูรกินข้าวอย่างว่าง่ายเสร็จ เฉียวเวยถึงยอมยกถั่วเคลือบน้ำตาลให้เขา

“อีกเดี๋ยวท่านจำไว้ว่าให้หมิงซิว…”

เฉียวเวยยังไม่ทันพูดจบ ราชันอสูรที่ได้ถั่วเคลือบน้ำตาลมาไว้ในมือก็เผ่นแผล็วหายไปแล้ว…

เวลานี้พวกจีหมิงซิวแยกย้ายกันไปตามหาได้ครึ่งชั่วยามแล้ว หิมะเริ่มเบาลงมาก ทำให้มองเห็นได้ไกลกว่าเดิม จีหมิงซิวพาองครักษ์สองนายที่ติดตามเขามาจากต้าเหลียงจนถึงเยี่ยหลัวเหยียบย่ำกองหิมะอย่างยากลำบาก

ไม่นานเบื้องหน้าก็ปรากฏบ้านหลังน้อยหลังที่สามที่พวกเขาแวะไปเยี่ยมเยือน จีหมิงซิวเคาะประตู

คนที่มาเปิดประตูเป็นผู้เฒ่าอายุห้าสิบกว่าปีคนหนึ่ง แวบแรกที่ผู้เฒ่าเห็นพวกเขา ดวงตาพลันฉายแววระแวดระวังเล็กน้อย เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็แต่งตัวไม่เหมือนนายพรานในภูเขา

จีหมิงซิวใช้ภาษาเยี่ยหลัวถามผู้เฒ่าอย่างมีมารยาท “ภรรยาของข้าขึ้นเขามาเก็บสมุนไพรแต่พลัดร่วงลงมาจากด้านบน ข้ากำลังตามหานางอยู่ ขอถามท่านเคยเห็นหญิงสาวแปลกหน้าผ่านมาทางนี้บ้างหรือไม่”

หากจีหมิงซิวอยากประจบใครสักคนก็ไม่มีใครที่เขาประจบไม่ได้ ดวงหน้าหล่อเหลา กิริยาท่าทางสง่างาม น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนบัณฑิตผู้ซื่อตรงไร้อันตราย

ความคลางแคลงในหัวใจของผู้เฒ่ามลายหายไปแล้ว เขาบอกจีหมิงซิวว่า “วันนี้ไม่มี”

หลายวันก่อนมีอยู่คนหนึ่ง แต่คนที่เขาตามหาเพิ่งร่วงลงมาวันนี้ไม่ใช่หรือดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

จีหมิงซิวผงกศีรษะเบาๆ “ขอบคุณท่านผู้เฒ่า”

ผู้เฒ่าปิดประตูบ้าน

ทว่าระหว่างที่จีหมิงซิวกำลังถามข่าวคราวจากผู้เฒ่าอยู่นั่นเอง แม่เฒ่าที่เพิ่งกลับมาจากการล่าสัตว์ก็หิ้วคันธนูมือหนึ่ง หิ้วกระต่ายป่าอ้วนพีอีกมือหนึ่งหยุดยืนฟังอยู่ไม่ไกล

นางยืนอยู่หลังกองฟืนสูง ได้ยินสิ่งที่จีหมิงซิวพูดกับผู้เฒ่าไม่ตกหล่นสักคำ สายตาของนางจับจ้องบนร่างของบุรุษอาภรณ์สีขาวผู้นั้น เพ่งพิจอยู่นานจนกระทั่งจังหวะที่เขาหันกลับมา นางจึงก้าวเท้าจะเข้าไปหาอีกฝ่าย

ทว่าหนึ่งก้าวนี้ยังไม่ทันเหยียบลงไป เสียงดังแสกสากก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ สิ่งที่มาถึงที่แห่งนี้พร้อมกับเสียงนั่นคือนักรบมรณะที่สวมเกราะสีดำสนิทคนหนึ่ง

ราชันอสูรหรือ

นัยน์ตาของนางหดวูบ เท้าที่ก้าวออกไปหดกลับมาอย่างเชื่องช้า

จนกระทั่งพวกจีหมิงซิวสี่คนจากไปแล้ว นางจึงก้าวออกมาจากด้านหลังกองฟืน นางดึงปีกหมวกลงมาต่ำแล้วกลับไปยังบ้านของตนเองอย่างเย็นชา

จีหมิงซิวพาองครักษ์เดินมาได้ระยะหนึ่ง จู่ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง

องครักษ์นายหนึ่งถามว่า “นายน้อยเป็นอะไรหรือขอรับ”

สายตาของจีหมิงซิวจับจ้องบนกองฟืนที่ถูกหิมะทับถมไปค่อนครึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ข้าคงคิดไปเอง”

ตอนที่แม่เฒ่ากลับมาถึงที่พัก เฉียวเวยก็เก็บกวาดทุกที่นอกจากห้องของแม่เฒ่าจนเรียบร้อยหมดแล้ว ซิ่วฉินไม่เคยพบคนที่เก็บกวาดเก่งเช่นนี้มาก่อน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือคนผู้นี้ตั้งครรภ์อยู่…เหตุไฉนนางจึงไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกันนะ

ทุกสิ่งในบ้านเหมือนกลายเป็นของใหม่เอี่ยม แววตาของแม่เฒ่าชะงักไปชั่วครู่สั้นๆ

“ท่านแม่เฒ่า ท่านกลับมาแล้วหรือ” เฉียวเวยวางผ้าขี้ริ้วแล้วยิ้มแย้มทักทาย เมื่อเห็นอีกฝ่ายสีหน้าเรียบเฉย ไม่รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบจึงถามขึ้นว่า “ห้องของท่านแม่เฒ่าข้าไม่ได้แตะต้อง”

แม่เฒ่าตอบว่า “ในห้องของข้าไม่มีอะไร”

เฉียวเวยได้ยินคำนี้จึงยกอ่างน้ำขึ้นมาแล้วยิ้มแย้มบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปเก็บกวาดให้เอง”

แม่เฒ่าขานรับเรียบๆ

เฉียวเวยยกอ่างน้ำเข้ามาในห้อง นางกวาดพื้นก่อน หลังจากนั้นจึงเช็ดถูโต๊ะเก้าอี้ จัดวางเครื่องใช้บนโต๊ะให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เพียงครู่เดียวก็เก็บกวาดห้องจนสะอาดเอี่ยม ต่อมานางก็เปิดประตูตู้ หยิบผ้าห่มกับผ้าปูที่นอนสะอาดออกมาหนึ่งชุด ตั้งใจว่าจะเปลี่ยนของบนที่นอนแล้วนำไปซัก ทว่าทันใดนั้นเองก็มีกล่องใบหนึ่งร่วงออกมาจากปลอกผ้าห่ม

กล่องร่วงตกบนพื้นเสียงดังโครม ฝากล่องเปิดออก

เฉียวเวยยัดปลอกผ้าห่มกลับไปในตู้ ก้มตัวลงไปเก็บกล่องขึ้นมา แล้วจึงพบว่าใต้กล่องมีปิ่นเล่มหนึ่ง ตัวปิ่นทำจากไม้ หัวปิ่นเป็นรูปดอกกล้วยไม้สีขาว

เฉียวเวยจับปิ่นพลิกไปมาสำรวจดู เหตุใดดูแล้วเหมือนปิ่นเล่มนั้นที่ตนทำหล่นหายไปทุกอย่างเลยเล่า

แต่นางทำหล่นที่เผ่าซยงหนีว์ ส่วนท่านแม่เฒ่าเป็นผู้เร้นกายอยู่ในเทือกเขาหมั่งฮวง…

น่าจะ…หน้าตาเหมือนกันเท่านั้นกระมัง

“ท่านแม่เฒ่า ข้าอยากถามท่านเรื่องหนึ่ง ปิ่นเล่มนี้…”

เปรี้ยง!

เสียงประหลาดแผ่วเบาดังมาจากป่าไกลๆ ต่อจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงปะทะกันของอาวุธดังเอะอะ

เฉียวเวยแววตาวูบไหวก้าวออกจากบ้านไปทันที

ซิ่วฉินเพิ่งจะผ่าฟืนเสร็จ นางเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นแผ่นหลังของเฉียวเวยหายลับไปจากประตู “เอ๋! ฮูหยินน้อย! ฮูหยินน้อยท่านจะไปที่ใด”

แม่เฒ่าวางมีดที่ใช้เชือดกระต่ายลง แววตาล้ำลึกมองไปยังทิศทางของประตูใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นสะพายคันธนูเดินออกจากประตูบ้านไป