เล่ม 2 ตอนที่ 11-2 ยายหลานพบหน้า

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 11-2 ยายหลานพบหน้า

เฉียวเวยได้ยินเสียงดังเอะอะก็เดาได้แล้วว่าพวกจีหมิงซิวคงกำลังต่อสู้กับใครอยู่ เมื่อไปถึงที่นั่นก็เห็นเยี่ยนเฟยเจวี๋ย ไห่สือซานกับองครักษ์สี่นายกำลังต่อสู้โรมรันอยู่กับนักรบมรณะของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ที่โผล่มาจากที่ใดก็ไม่ทราบ

นอกจากนั้นยังมีศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ที่สวมชุดของลัทธิสีเทาอ่อนสี่คนยืนนิ่งดูสถานการณ์อยู่ด้านข้างอีกด้วย

หากเฉียวเวยจำไม่ผิด ในหมู่ศิษย์เหล่านี้มีอยู่สามคนเป็นนักเวทศักดิ์สิทธิ์ที่ล้อมโจมตีสือชีในวันนั้น อีกคนหนึ่งรูปร่างกำยำมากกว่าแต่ใบหน้าไม่คุ้น เฉียวเวยไม่เคยเห็นมาก่อน

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานกำลังยุ่งอยู่กับการรับมือวิกฤติ จึงไม่เห็นเฉียวเวยที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด

กำลังภายในของทั้งสองคนก้าวหน้าขึ้นอย่างมั่นคงทุกวัน การรับมือกับนักรบมรณะดาบยาวทั้งหลายจึงไม่ใช่ปัญหา ไม่นานพวกเขาก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่โชคร้ายจังหวะที่ทั้งสองคนกำลังจะไล่เชือดคอนักรบมรณะดาบยาวทีละคนๆ ให้หมดนั่นเอง นักเวทศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งก็พลันเป่าขลุ่ย

หลังจากนั้น ‘ชาวบ้าน’ ที่แยกเขี้ยวกางกรงเล็บกลุ่มหนึ่งก็แห่กันออกมาจากในป่า

เฉียวเวยหน้าถอดสี “แย่แล้ว นั่นมันร่างพิษ!”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเคยถูกเจ้าตัวบัดซบพวกนี้กัดมาก่อน เขากระโดดถอยห่างตามสัญชาตญาณทันที ทว่าเมื่อเขากระโดดออกมาเช่นนี้ นักรบมรณะที่แต่เดิมกำลังจะถูกเขาฆ่าตายจึงเป็นอิสระ มันกระโจนมาถึงด้านหลังของเขาแล้วขวางทางถอยของเขาไว้

เพียงครู่เดียวไม่ใช่เพียงเขาที่ถูกขวางไว้ แม้แต่ไห่สือซานก็ถูกชาวบ้านพวกนี้ล้อมเอาไว้ด้วย

“โฮกกก”

ราชันอสูรตะลุยฆ่าศัตรูแล้วเหินเข้ามาพร้อมเสียงคำรามเกรี้ยวกราดดังก้องฟ้า เขาขยับทีเดียวก็กระชากร่างของชาวบ้านที่กำลังจะขย้ำไห่สือซานออกมาได้

เขาไม่กลัวเจ้าพวกนี้ มาคนหนึ่งก็ฉีกทิ้งคนหนึ่ง มาสองคนก็ฉีกมันทั้งคู่ ฉีกกระชากจนชาวบ้านที่ไร้สติเหล่านั้นรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัว

ทว่าหากคิดว่านี่เป็นจุดจบ ถ้าเช่นนั้นก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว ตรงกันข้ามทุกสิ่งเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

เฉียวเวยคิดว่าคนกลุ่มนี้ลงเขามาเพื่อตามหา ‘ศพ’ ของตนเอง แต่นางไม่เข้าใจอยู่บ้างว่าเหตุใดนักเวทศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจึงต้องตามมาด้วย จนกระทั่งพริบตาที่ราชันอสูรปรากฏตัวและบนใบหน้าของนักเวทศักดิ์สิทธิ์สี่คนนั้นปรากฏสีหน้ายินดีจางๆ เฉียวเวยจึงเข้าใจว่าคนกลุ่มนี้มาเพื่อจับตัวราชันอสูรต่างหาก

ไม่ผิดจากที่คาด นักเวทศักดิ์สิทธิ์สามคนนั้นหยิบตาข่ายยักษ์สีแดงหม่นผืนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วเหวี่ยงใส่ราชันอสูรทันที

เฉียวเวยไม่มีทางลืมว่าสือชีถูกตาข่ายหน้าตาเช่นนี้ทำร้ายจนบาดเจ็บรักษาไม่หาย แต่ตาข่ายหนนี้เหมือนจะสีเข้มกว่าเดิมเล็กน้อย

ราชันอสูรใช้มือเปล่าจับตาข่ายที่จับตนเองเอาไว้ ทว่าชั่วพริบตาที่สัมผัสโดน ฝ่ามือก็ส่งเสียงดังฉ่ามีควันดำสายหนึ่งลอยออกมา

ราชันอสูรเจ็บปวดจนต้องชักมือกลับ!

ตาข่ายทำท่าจะร่วงลงมาใส่หน้าของราชันอสูร

“รีบหนีเร็วเข้า”

เฉียวเวยตะโกนลั่น

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานชะงัก พวกเขาได้ยินอะไรอยู่ ใช่เสียงของฮูหยินน้อย (แม่หนู) หรือไม่

ราชันอสูรล้มตัวลงบนพื้นก่อนจะกลิ้งหลุนๆ ลอดตาข่ายออกมา

ทว่าแม้ตัวเขาจะออกมาได้แล้ว แต่ถั่วเคลือบน้ำตาลดันตกอยู่ด้านใน

ราชันอสูรโกรธแล้ว เขาสาวเท้าเดินเข้าไปเหมือนไม่รู้ว่าตนเองจะได้รับบาดเจ็บแล้วคว้าตาข่ายยักษ์สีแดงหม่นผืนนั้นขึ้นมาฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ!

ทว่ามือของเขาก็บาดเจ็บจนไม่มีจุดไหนอยู่ในสภาพดี เขาเก็บถั่วเคลือบน้ำตาลที่ยังมีไอร้อนลอยกรุ่นถุงนั้นมาซุกในอกเสื้ออย่างทะนุถนอม

นักเวทศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคนหันไปมองคนที่สี่อย่างคาดไม่ถึง “ศิษย์พี่!”

นักเวทศักดิ์สิทธิ์คนที่สี่แววตาสั่นไหววูบหนึ่ง จากนั้นเขาก็ล้วงตาข่ายยักษ์สีแดงประกายทองผืนหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ

ตอนนี้ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยถูกนัรบมรณะกับ ‘ชาวบ้าน’ ยื้อเอาไว้จนไม่มีเวลาผละตัวมา เฉียวเวยจึงตัดสินใจชักกริชออกมาจะพุ่งเข้าใส่คนกลุ่มนั้น

ทว่ามือเรียวข้างหนึ่งกลับจับข้อมือของนางเอาไว้

เฉียวเวยหันกลับไปมอง “ท่านแม่เฒ่า”

แม่เฒ่าถามว่า “เจ้าเกี่ยวข้องอย่างไรกับพวกเขา”

เฉียวเวยพองขนตอบทันที “ระหว่างข้ากับพวกคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!”

หญิงชราปล่อยมือเฉียวเวยอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันไปมองนักเวทศักดิ์สิทธิ์หลายคนนั้นด้วยสายตาดูแคลน จากนั้นจึงง้างคันธนูยิงลูกธนูดอกหนึ่งออกไปดัง ฟิ้ว!

นักรบมรณะดาบยาวคนหนึ่งสัมผัสได้ถึงลูกธนูดอกนี้ เขาจึงใช้ร่างเป็นโล่บังลูกธนูดอกนี้ไว้

ลูกธนูพุ่งปักหน้าอกของเขา ทว่ามันกลับไม่หยุดเพียงเท่านี้ มันพุ่งทะลวงผ่านร่างของเขา โลหิตสะท้อนแสงเป็นประกายสาดกระเซ็นไปรอบด้าน จากนั้นลูกธนูก็พุ่งเข้าไปปักหัวใจของนักเวทศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งอย่างเย็นชา

นักเวทศักดิ์สิทธิ์คนนั้นเพิ่งจะจับตาข่ายดึงได้มุมเดียวก็ล้มลงตายตาไม่หลับอยู่บนพื้นทั้งอย่างนั้น

เฉียวเวยตกตะลึงจนนิ่งอึ้ง

นักเวทศักดิ์สิทธิ์สามคนที่เหลือพบการมีอยู่ของนางแล้ว ทว่าพวกเขายุ่งอยู่กับการจับตัวราชันอสูร จึงไม่มีเวลาว่างปลีกตัวมา ด้วยเหตุนี้จึงเรียก ‘ชาวบ้าน’ จำนวนมากกว่าเดิมให้แห่ออกมาล้อมพวกเขาไว้ราวกับคลื่นน้ำ

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานเริ่มถูกต้อนมาอยู่ข้างพวกเฉียวเวย

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยขึ้นมาว่า “เป็นท่านจริงๆ ด้วย ท่านยังมีชีวิตอยู่สินะ อีกเดี๋ยวอย่าได้…อั้ก…”

ไห่สือซานอุดปากซวยๆ ของเขาไว้

เฉียวเวยมองกลุ่มคนมากมายจนแลดูเป็นเงาดำทะมึนแล้วถามอย่างขนหัวลุก “ท่านแม่เฒ่า มีร่างพิษมากมายถึงเพียงนี้จะทำเช่นไรดี”

นางตอบอย่างเย็นชา “ใช้ฉี่ของเด็กผู้ชาย”

เฉียวเวยหันไปมองไห่สือซาน ไห่สือซานหันไปมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหันไปมอง…

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระแอมแล้วหมุนตัวเดินไปหลังต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่งจัดการปล่อยฉี่ของเด็กผู้ชายออกมา

เฉียวเวย “…”

ไห่สือซาน “…”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหิ้วถุงน้ำกลับออกมา

แม่เฒ่าสั่งว่า “เทลงบนพื้น วาดเป็นวงกลม”

ชาวบ้านกลุ่มนั้นไม่กล้าก้าวข้ามมาจริงๆ ส่วนนักรบมรณะทั้งหลายที่เหลือ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานยังรับมือไหว ตอนนี้คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดจึงเป็นราชันอสูร

เห็นชัดว่าคนกลุ่มนั้นเตรียมตัวมาพร้อม พวกเขาพก ‘อุปกรณ์จับอสูร’ มาพร้อมสรรพ แต่ละสิ่งเมื่อโจมตีลงบนร่างราชันอสูรทำให้ราชันอสูรบาดเจ็บอย่างมาก

ก่อนหน้านี้กำลังภายในของราชันอสูรถูกกดเอาไว้ มาตอนนี้ร่างกายยังถูกตาข่ายยักษ์สีแดงประกายทองจับไว้อีก เขาจึงคำรามอย่างโมโหและเกรี้ยวกราด

แม่เฒ่าง้างคันธนู ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! นางยิงธนูติดกันสามดอก ตัดเชือกตาข่ายที่คนสามคนดึงอยู่

เฉียวเวยรีบวิ่งเข้าไปดึงตาข่ายบนตัวราชันอสูรออกมา

นักเวทศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคนมองแม่เฒ่าอย่างไม่พอใจ ศิษย์พี่เอ่ยว่า “พวกเจ้าไปจัดการสตรีสองนางนั้น ข้าจะจัดการกับราชันอสูรเอง!”

“ขอรับ!”

ศิษย์สองคนแยกย้ายกันพุ่งเข้าใส่เฉียวเวยกับหญิงชรา

ระหว่างที่ทั้งสองคนตกเป็นเป้าโจมตี ศิษย์พี่ก็เอื้อมมือขวาไปที่ขาซ้ายของตนเอง เขาเพิ่งจะยื่นมือออกมาไม่ทันไร ลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งเร็วรี่เข้ามาชนของที่เขามัดไว้บนขาหลุดร่วงไป

เขากัดฟันอย่างโกรธจัดแล้วเอื้อมมือไปที่ขาขวา ทว่าไม่ทันรอให้เขาคว้าได้ ลูกธนูอีกดอกหนึ่งก็แล่นมายิงของที่เขามัดไว้ฝั่งนี้ร่วงตกไปอีกหน

หลังจากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปหยิบของสำหรับจัดการราชันอสูรที่ผูกติดอยู่บนร่างไม่หยุด ทว่าอีกฝ่ายเหมือนเล็งจุดต่อไปที่เขาจะเอื้อมไปไว้ก่อนแล้วจึงสกัดเขาได้ทุกครั้ง “เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่!”

หญิงชราเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติจะรู้นามของข้า”

กล่าวจบก็เก็บธนูอย่างเฉยชา

ศิษย์พี่ตกตะลึง ขณะที่กำลังคิดว่าสตรีนางนี้โง่ใช่หรือไม่ เหตุใดจึงไม่สังหารเขา ชั่วพริบตาต่อมาราชันอสูรที่ฟื้นกำลังภายในกลับมาแล้วพลันบีบกะโหลกของเขาแตกกระจุยในฝ่ามือเดียว!

นักเวทศักดิ์สิทธิ์อีกสองคนที่กำลังมุ่งหน้ามาจัดการเฉียวเวยกับหญิงชราก็ถูกราชันอสูรบีบกะโหลกแหลกเละเช่นเดียวกัน

ราชันอสูรคำรามเกรี้ยวกราดดังสะเทือนฟ้า “โฮกกก”

นักรบมรณะดาบยาวกับชาวบ้านทั้งหลายหนีกระเจิงหางจุกตูดไปทันใด…

ในที่สุดการต่อสู้ก็จบลง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานทรุดลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง

ราชันอสูรยังคำรามเกรี้ยวกราดต่อ

เฉียวเวยมองบาดแผลบนร่างเขา ในใจรู้ดีว่าค่ำคืนนี้เขาถูกยั่วโมโหเข้าแล้วจริงๆ สิ่งที่ทำให้เขาโมโหจนขนพองไม่ใช่อาการบาดเจ็บ แต่เป็นการถูกจับอยู่ในตาข่ายกลายเป็นเนื้อปลาบนเขียงของผู้อื่น เรื่องนี้เป็นความอัปยศที่ไม่ว่าราชันคนใดก็ไม่อาจยอมทนได้

ในใจเฉียวเวยหวาดกลัวอยู่พอสมควร นางยื่นมือออกมาจิ้มแขนของเขาอย่างระมัดระวัง แล้วปลอบเบาๆ ว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเขาไปกันหมดแล้ว ไม่มีใครมาจับตัวท่านอีกแล้ว”

ราชันอสูรจึงเลิกคำราม

เฉียวเวยเดินไปตรงหน้าหญิงชราแล้วมองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจปนซาบซึ้ง “ขอบคุณท่านแม่เฒ่าที่ลงมือช่วยเหลือ”

อีกด้านหนึ่งจีหมิงซิวได้ยินเสียงคำรามเกรี้ยวกราดของราชันอสูร เขาจึงรีบเร่งเดินทางมาด้านนี้โดยเร็วที่สุด เขามองเห็นคนที่ดวงใจห่วงหาตั้งแต่แวบแรก นางยืนเนื้อตัวเปื้อนเลือดแต่ไม่มีตรงไหนบุบสลายอยู่กลางผืนหิมะคล้ายดอกกล้วยไม้สีขาวดอกหนึ่งถูกพร่างพรมด้วยโลหิต มุมปากของเขายกโค้งขึ้นนิดๆ รีบสาวเท้าเข้าไปหานางอย่างอดรนทนรอไม่ไหว

จากมุมที่จีหมิงซิวอยู่ เขาเห็นเพียงเฉียวเวยกับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านข้างเฉียวเวยเท่านั้น แต่มองไม่เห็นหญิงชราที่อยู่ด้านหลังต้นไม้

“จริงสิท่านแม่เฒ่า เมื่อครู่ข้าอยากจะถามท่านเรื่องหนึ่ง” เฉียวเวยหยิบปิ่นในอกเสื้อออกมา ทว่ามือดันลื่นทำมันร่วงตกลงไปบนหิมะ

เฉียวเวยกำลังจะก้มไปเก็บ แต่หญิงชรากลับก้มตัวลงไปก่อนนางหนึ่งก้าว

จีหมิงซิวเร่งรีบเดินมาถึงตรงนั้นในเวลาเดียวกัน

จีหมิงซิวคิดไม่ถึงว่าด้านหลังต้นไม้จะมีคนอยู่อีกคนหนึ่ง

คนที่อยู่หลังต้นไม้ก็คิดไม่ถึงว่าด้านนี้จะมีผู้มาใหม่มาเยือน

ทั้งสองคนจับปิ่นพร้อมกัน