บทที่ 64 สัตว์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

เฮ่อเหลียนเวยเวยยอมหลับตาให้ ก่อนจะหยักยิ้ม “ไม่ต้องอาย ข้าไม่กระโจนใส่เจ้าหรอก”  

 

 

หนุ่มรูปงามผมสีเงินถึงกับหน้าคะมำ แต่สีหน้าของเขากลับยังคงเดิม น้ำเสียงของเขาห่างเหินเย็นชา “แม่นาง เจ้าลืมตาได้แล้ว”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไปด้วยรอยยิ้ม แล้วก็พบว่าชายหนุ่มรูปงามแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว แขนเสื้อทั้งสองข้างปลิวไสวอยู่ในสายลมราวกับเทพสวรรค์  

 

 

ถึงเสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่จะเข้ากับเขาได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรมันก็เป็นชุดของนาง ดังนั้นความยาวช่วงแขน และช่วงขาจึงสั้นไปหน่อย เปิดเผยหน้าท้องที่เป็นประกายจากเหงื่อดูเย้ายวน  

 

 

เรือนผมยาวสะบัดพลิ้วทุกครั้งที่เขาขยับตัว เผยให้เห็นดวงตาสีเงินจาง เจือแสงแวววาวมีเสน่ห์แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนใบหน้าของเขา ขับเน้นให้ใบหน้าที่ถูกปั้นมาจนไร้ที่ตินั่นยิ่งเหมือนบรรดาเด็กหนุ่มหน้าสวยในการ์ตูนมากขึ้นไปอีก  

 

 

“ไม่เลวทีเดียว” เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบคางของตนพลางยิ้มอย่างชั่วร้าย “เจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าเจ้าเหมาะกับชุดผู้หญิงมากกว่า”  

 

 

ชายหนุ่มรูปงามหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยๆ เบือนหน้ากลับมา ดวงตาของเขาดูอันตราย “เจ้าลองพูดต่อสิ ข้าจะจับเจ้ากินทั้งตัวเลยคอยดู!”  

 

 

รอยยิ้มของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยิ่งสว่างสดใส “กินข้าหรือ เจ้ามั่นใจหรือ แมวที่เป็นโรคกลัวเลือดอย่างเจ้า ต่อให้กลายร่างเป็นมนุษย์ ก็ยังมีอาการเหมือนเดิมอยู่ดี” พอพูดจบ นางก็ขยับนิ้วเป็นวงกลม “ที่ข้าต้องทำก็แค่กัดนิ้วตัวเอง ยอมเสียเลือดแค่ไม่กี่หยด รอหลังจากที่เจ้าเป็นลมไปแล้ว ข้าอยากจะทำอะไรกับเจ้า เจ้าสามารถขัดขืนได้หรือ”  

 

 

ชายหนุ่มรูปงามตัวแข็งราวกับว่าเขาไม่เคยเจอผู้หญิงไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน เขาชี้นิ้วไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วเอ่ยเสียงแข็งว่า “ข้าไม่คิดที่จะต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิงอย่างเจ้าหรอก!”  

 

 

พอพูดจบเขาก็ตั้งใจจะเดินหนีไป แต่คาดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่ยกขาขึ้น ร่างกายของเขาจะหดเล็กลงอีกครั้ง มิหนำซ้ำเขายังไม่ทันได้มีโอกาสขัดขืนเลยด้วย!  

 

 

บัดซบ!  

 

 

“นี่ ถึงเจ้าจะกลับไปเป็นแมวเหมือนเดิมแล้ว แต่เจ้าก็ยังสวยอยู่ดีน่า ไม่จำเป็นต้องแกล้งทำเป็นนอนตายอยู่บนพื้นหรอก” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ขณะมองใบหน้าหม่นหมองของเจ้าแมว ไม่ว่านางจะมองอย่างไร มันก็น่าขำยิ่งนัก  

 

 

เจ้าแมวขาวเดินเข้ามา แล้วหมอบลงตรงหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่กับผู้หญิงคนนี้ ก่อนที่เขาจะสามารถกลับสู่ร่างที่แท้จริงของตัวเองได้  

 

 

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่านางแข็งแกร่งเพียงใด แต่นางก็ยังดีกว่าเจ้ามนุษย์โลภมากพวกนั้น!  

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น เขามีความรู้สึกว่าในร่างของนางมีอะไรบางอย่างกำลังหลับใหลอยู่  

 

 

เขาพยายามตรวจสอบดู แต่ก็ถูกพลังที่ไม่รู้ที่มานั่นหยุดเอาไว้ เขาไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน  

 

 

เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นเจ้าแมวที่อยู่ในสภาพเหม่อลอยเบื้องหน้าตน นางก็เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง  

 

 

“ทำไมเจ้าถึงควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ล่ะ”  

 

 

เจ้าแมวขาวปรายตามองนาง “ข้าอยู่ในระหว่างการทดสอบ แต่พวกมนุษย์จอมเจ้าเล่ห์เช่นพวกเจ้ากลับวางแผนเล่นงานข้าตอนที่ข้าอ่อนแออย่างที่สุด! และพยายามจะทำพันธสัญญากับข้าตอนที่ข้าอยู่ในระหว่างการทดสอบอันยากเย็นแสนเข็ญนี้ ข้าสู้กับเจ้าพวกที่อยู่ทางตะวันตกจนเหนื่อย ร่างที่แท้จริงจึงถูกเปิดเผย เจ้าคิดว่าปกติพวกมนุษย์จะมีบุญได้เห็นร่างจริงของข้าหรือ ไม่มีทางเสียล่ะ!” หลังจากพูดจบ เขาก็ส่งเสียง ‘ฮึ่ม’ ออกมาครั้งหนึ่ง  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยกอดอกแล้วพินิจพิเคราะห์มองเขา “แล้วทำไมตอนนี้เจ้าถึงแสดงร่างจริงออกมาง่ายๆ อย่างนี้ล่ะ”  

 

 

เจ้าแมวขาวสัมผัสได้ในทันใดว่าแก้มทั้งสองข้างของตนกำลังเห่อร้อน แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ว่า ต่อให้แมวหน้าแดง นางก็คงไม่มีทางมองออก เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็สบายใจขึ้น “ถ้าข้ากลายร่างเป็นมนุษย์ แล้วใครจะรู้ล่ะว่าเจ้าจะทำอะไรข้าหรือเปล่า นี่ เจ้ามนุษย์โรคจิต นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนอื่นนอกจากท่านแม่มาเห็นร่างเปลือยของข้านะ! เจ้าต้องรับผิดชอบ!”  

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เบนสายตาไปอีกทาง “เจ้าไปได้แล้ว”  

 

 

เจ้าแมวตัวขาวชะงักไปราวกับคาดไม่ถึงว่านางจะปฏิเสธเขา  

 

 

ในใจของเขารู้สึกแปลกๆ  

 

 

จากนั้น เขาก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งและเย็นชาว่า “หากไม่ใช่เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของเผ่าไป๋เจ๋อ [1]  คือการตอบแทนบุญคุณ เจ้าคิดหรือว่าข้าจะยอมให้เจ้ารับผิดชอบ”  

 

 

“เผ่าไป๋เจ๋อหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยกอดอกมองเจ้าแมวขาว “เชื้อสายของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนานนั่นน่ะหรือ”  

 

 

เจ้าแมวขาวพยักหน้าเป็นคำตอบ  

 

 

“ในเมื่อเจ้าอยากตอบแทนข้า เช่นนั้นก็ตอบแทนข้ามาสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดปลาย่าง แล้วก็สังเกตเห็นว่าเจ้าแมวตัวแข็งทื่อ นางจึงยิ้มออกมาอีกครั้ง “ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่สั่งให้เจ้าทำอะไรเหลือบ่ากว่าแรงหรอก แค่ช่วยข้าทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาๆ สักตัว แล้วก็พาข้าออกไปจากที่แปลกๆ นี่ก็พอ ข้าพยายามเดินหาทางออกดูแล้ว แต่ก็พบว่าสถานที่แห่งนี้มีอะไรแปลกๆ อยู่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นค่ายกลอาคม”  

 

 

เมื่อได้ยินการวิเคราะห์ของนาง ดวงตาของเจ้าแมวก็เป็นประกายพลางมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความประหลาดใจ  

 

 

มีมนุษย์เพียงไม่กี่คนที่จะสามารถสังเกตเห็นค่ายกลอาคมได้ภายในเวลาสั้นๆ เช่นนี้  

 

 

ผู้หญิงคนนี้ปราดเปรื่องเอาการ  

 

 

“ถูกต้อง มันคือค่ายกลอาคม ดูจากชุดที่เจ้าสวมอยู่ เจ้าคงเป็นศิษย์จากสำนักไท่ไป๋” เจ้าแมวขาวยิ้มอย่างเย็นชา “หากไม่ใช่เพราะเจ้าคนพวกนั้น บรรดาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับล่างก็คงไม่จำเป็นต้องวางค่ายกลอาคมนี้เอาไว้ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ชอบมนุษย์อย่างมาก แต่คนพวกนั้นกลับแสร้งทำเป็นบาดเจ็บเพื่อล่อให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่จิตใจดีงามพวกนั้นออกมา จากนั้นก็จัดการสังหารหมู่พวกมัน แล้วใช้เลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในการเพิ่มพลังปราณ”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว “มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นด้วยหรือ” นางเคยได้ยินมาจากผู้อาวุโสห้วนว่า ถึงแม้มนุษย์กับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จะมีพันธสัญญาต่อกัน กระนั้นตั้งแต่ครั้งอดีตกาล ทั้งสองฝ่ายต่างก็อยู่ร่วมกันในฐานะผู้พิทักษ์ของกันและกัน แล้วจะเกิดการสังหารหมู่ขึ้นได้อย่างไร  

 

 

“เจ้าไม่รู้หรือ” หนวดของเจ้าแมวกระตุก “นั่นก็หมายความว่ามีคนลงมือทำเรื่องนี้ลับหลังเจ้าสำนักไท่ไป๋”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง  

 

 

แต่ไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตที่นางไม่รู้จักจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นรอบกายนางตั้งแต่เมื่อใด พวกมันต่างจากสัตว์ทั่วไปที่นางเคยเห็นมาก่อน ขนของพวกมันเป็นประกายวาววับราวกับกำลังเรืองแสงอยู่ มองเพียงปราดเดียวก็สามารถบอกได้ว่าไม่ใช่สัตว์ธรรมดา  

 

 

แต่ พวกมันกำลังทำอะไรกันน่ะ…  

 

 

เห็ดหรือ มิหนำซ้ำยังเป็นเห็ดพิษอีกด้วย  

 

 

ปลาทองหรือ ยังมีชีวิตดิ้นได้อยู่เลย  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยมองบรรดาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวเล็กๆ ที่กำลังเอาของมาวางไว้ตรงหน้านาง แล้วก็พากันวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว นางช้อนตาขึ้นมอง แล้วถามว่า “ให้ข้าหรือ”  

 

 

สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวเล็กๆ พร้อมใจกันพยักหน้า  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยชี้ไปที่อาหารที่มนุษย์ไม่สามารถกินได้พวกนั้น แล้วยิ้มออกมา “ขอบใจนะ”  

 

 

เมื่อได้ยินนางกล่าวคำขอบคุณกับพวกมันเช่นนั้น เจ้าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวน้อยก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มแล้วส่งเสียงดังออกมาเซ็งแซ่ ดูมีความสุขอย่างมาก  

 

 

เจ้าแมวขาวยืนคั่นกลางระหว่างนางกับพวกมันด้วยท่าทางสบายๆ และมองเฮ่อเหลียนเวยเวย สีหน้าของมันราวกับกำลังจะบอกว่า ‘แม้แต่แด็กน้อยที่ไร้เดียงสาและใจดีเช่นนี้ มนุษย์เช่นพวกเจ้าก็ยังกล้าที่จะทำร้ายพวกมันได้ลงคอ ช่างน่ารังเกียจนัก’  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยนิ่งเงียบ จากที่นางรู้มา วิธีเบื้องต้นในการฝึกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์คือต่อสู้กับพวกมัน ผู้แพ้จะต้องทำตามที่ผู้ชนะสั่ง  

 

 

เพราะในโลกใบนี้ ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอด  

 

 

แต่การหลอกใช้ความใจดีของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวน้อยพวกนี้มาทำร้ายพวกมัน  

 

 

ช่างน่ารังเกียจเสียจริง  

 

 

ยังไม่ทันที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะได้ประมวลข้อมูลทุกอย่างที่ได้มา นางก็ชะงักไป  

 

 

เพราะไม่ไกลจากพวกนาง มีสัตว์อสูรสีดำตัวมหึมายืนอยู่ ดวงตาสีแดงของมันจับจ้องอยู่ที่นาง ที่ปากมีน้ำลายหยดติ๋งๆ ดูเหมือนจะเห็นนางเป็นของหวานหลังมื้อค่ำอย่างไม่ต้องสงสัย…  

 

 

   

 

 

 

 

 

[1]  ไป๋เจ๋อ เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนานของประเทศจีน มีลักษณะลำตัวเหมือนสิงโต มีเขาสองข้าง มีเคราคล้ายแพะ ว่ากันว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ผู้ขับไล่ความชั่วร้าย