เหมือนอย่างพวกฉินจิ่วเกอ หากบอกว่ามากิน ก็คือมากินจริงๆ ทั้งยังกินล้างกินผลาญ พฤติการณ์เช่นนี้พวกมันไม่เคยพบพานมาก่อนเลยจริงๆ
“พวกมันกินกันเยอะขนาดนี้ จะมีเงินพอจ่ายรึ แถมยังไม่ใช่อาหารพื้นๆ ธรรมดาเสียด้วย” มีคนสงสัย ต่อให้คำนวณอย่างต่ำๆ ก็ต้องหลายสิบศิลาวิญญาณขึ้นไป เป็นเงินไม่ใช่น้อยๆ
“ตลกน่า หากกินแล้วไม่จ่าย อะไรจะเกิดขึ้น” อีกคนตอบ
“จริงของเจ้า ตระกูลม่อมีอำนาจล้นมือ จะมีใครกล้าไม่ไว้หน้าพวกมัน อีกอย่างบ้านเมืองมีขื่อมีแป เมืองซวนอู่ของพวกเราแต่ไรก็สงบเงียบมาโดยตลอด”
ผู้ชราท่านหนึ่งลูบเครายาวขาวไปพลาง ปากก็เอ่ยชมการปกครองของอาวุโสมู่หยวนไปพลาง
เจ้าอ้วนน่าตายกินไปแล้วสองโต๊ะ ทั้งกินทั้งดื่มจนสุขอุรา ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความเมามาย
ฉินจิ่วเกอไม่ได้ดื่ม เพียงเอื้อมมือไปลูบหน้าท้องบวมตุ่ยเหมือนคนตั้งครรภ์ได้สามเดือนของเจ้าอ้วนแล้วถามว่า “ศิษย์น้อง เจ้าคงอิ่มแล้วกระมัง?”
“ข้าอิ่มแล้ว” เจ้าอ้วนน่าตายอิ่มจนยัดอะไรลงท้องไม่ไหวอีก รู้สึกเหมือนไม่เคยสุขเท่านี้มาก่อน ความสุขระดับนี้จะเป็นรองก็แค่ได้ตบแต่งกับหรงเคอเคอเท่านั้น
“หนำใจหรือเปล่า?”
“หนำใจ!”
“มีความสุขหรือไม่?”
“สุขที่สุด!”
เห็นเจ้าอ้วนน่าตายมีความสุข ฉินจิ่วเกอก็สุขตามไปด้วย ก็มันเป็นศิษย์พี่ใหญ่นี่เนอะ ต้องคอยดูแลเหล่าศิษย์น้องที่น่ารักของมัน
ฉินจิ่วเกอผุดลุกขึ้น มือทุบอกประกาศก้อง “งั้นเราก็ไปกันเถอะ”
“ศิษย์พี่ ท่านลืมคิดบัญชี” เจ้าอ้วนน่าตายร้องเตือน ตาที่เคยหยีเล็กพลันเบิกกว้าง มันอยากเห็นภาพของศิษย์พี่ใหญ่ที่ต้องกัดฟันควักเงินจ่ายจนจะแย่อยู่แล้ว
ฉินจิ่วเกอกลอกตา แค่นเสียงออกจมูก “ศิษย์พี่ใหญ่เจ้าไม่มีเงิน อีกอย่างนักษัตรข้าคือปี่เซียะ มีแต่กลืนเข้า ไม่มีคายออก ไม่ได้หรือ?”
“งั้นก็แปลว่าพวกเรากินแล้วไม่มีเงินจ่ายน่ะสิ” เจ้าอ้วนน่าตายเอ่ยเสียงเบา เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี
ตบบ่าเด้งดึ๋งของเจ้าอ้วนน่าตายไปที ฉินจิ่วเกอก็หัวเราะบอกกล่าวออกมาว่า “ราชันกินแล้วไม่ต้องจ่าย เจ้าว่าแนวคิดนี้ใช้ได้หรือไม่”
เจ้าอ้วนน่าตายส่ายหน้าระรัว ไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้
“ตระกูลม่อติดหนี้ศิลาวิญญาณพรรคหลิงเซียวเราอยู่หลายร้อย แค่กินของพวกมันนิดๆ หน่อยๆ จะนับเป็นอะไรได้?” ฉินจิ่วเกอยืดอกอย่างผึ่งผาย ในเมื่อตระกูลม่อเลือกที่จะปิดประตูไม่ออกมาพบหน้าผู้คน เช่นนั้นตนก็คงได้แต่ต้องใช้วิธีนี้บีบให้พวกมันยอมเสนอหน้าออกมาเท่านั้น
เรื่องอย่างการทรมานบีบคั้นผู้คน ฉินจิ่วเกอหากบอกว่าเป็นสองก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าเป็นหนึ่ง ทั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้แก่บรรพชนทุกรุ่นที่สั่งสอนสืบต่อกันมาภายในพรรค
โอบพุงกลมๆ เดินลงชั้นล่าง คนทั้งสองตั้งท่าจะจากไปทั้งอย่างนี้
มิผิด เจ้าหนี้กลายเป็นปู่ เจ้าอ้วนน่าตายยามนี้กำลังสำแดงบารมีไปทั่ว แลดูน่าเกรงขามยิ่ง
เสมียนหน้าประตูพอเห็นภาพนี้ก็ไม่กล้าเรียกตัวเจ้าอ้วนไว้ เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นเจ้าหนุ่มละอ่อนทางด้านข้างแทน
“คุณชายท่านนี้ พวกท่านยังไม่ได้จ่ายตังค์ ทั้งหมดเป็นเงินจำนวนสามสิบสองศิลาวิญญาณ ข้าคิดให้สามสิบถ้วนท่านว่าอย่างไร?”
“อะไรนะ” ฉินจิ่วเกอก้าวถอยหลังอย่างระแวง นัยน์ตาเบิกกว้าง ใช้สายตาไม่อยากเชื่อมองไปที่เสมียนเฒ่า “กินข้าวยังต้องจ่ายเงิน นี่เป็นกฎของบ้านไหนกัน”
“อะไรนะ” เปลี่ยนเป็นฝ่ายเสมียนเฒ่าบ้างแล้วที่ต้องใช้สายตาไม่อยากเชื่อมองดูคนทั้งสอง กินข้าวแล้วไม่จ่ายตังค์ พวกเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร?
“พวกท่านตั้งใจจะชักดาบ? ในเมืองซวนอู่แห่งนี้ ตระกูลม่อเราไม่ว่าจะสูงส่งมาจากไหนก็ยังต้องไว้หน้าอยู่หลายส่วน ท่านทั้งสองโปรดไตร่ตรองอีกครั้ง”
เสมียนเฒ่าเก็บรอยยิ้มเรียกแขกลงไป แทนที่ด้วยใบหน้ากระด้างเย็นชา ไม่คาดคนผู้นี้กลับเป็นถึงชนชั้นปราณสุริยันขั้นต้น
“ฮึ่ม ปู่เจ้าคนนี้ยามกินดื่ม แต่ไรก็ไม่เคยควักเงินจ่าย!”
ฉินจิ่วเกอลำพองสิบขั้น ตอนกินดื่มในพรรค มันก็ไม่เคยต้องจ่ายเงินจริงๆ
“งั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว!” เสมียนเฒ่าเลือดขึ้นหน้า กำหมัดชกออกไปทันที หากฉินจิ่วเกอก็หลบเลี่ยงได้อย่างง่ายดาย
เจ้าอ้วนน่าตายวรยุทธไม่สูงส่ง ทั้งยังดื่มจนเมามาย สุดท้ายเลยถูกลูกหลง คนล้มพับลงไปกองกับพื้นอย่างน่าสลดใจ
ฉินจิ่วเกอได้ทีก็สวมบทศิษย์พี่ชำระแค้นแทนศิษย์น้อง โต๊ะเก้าอี้ล้มกระจายเต็มเหลา แขกเหรื่อวิ่งหนีกันป่าราบ กิจการของวันนี้เป็นอันต้องสิ้นสุด
จากนั้นสัญญาหนี้ที่ตระกูลม่อลงลายเซ็นกับมือก็ถูกควักออกมาให้ดูอย่างแผ่หรา ฉินจิ่วเกอกวักมือเรียกจากทั่วทิศทาง แจกแจงเหตุผลและที่มา จนผู้ฟังต้องส่งเสียงฮือฮาไม่ขาดปาก
ยืมเงินแล้วต้องคืน นี่คือหลักการแห่งฟ้า
พฤติการณ์เช่นนี้ยังไม่ต้องพูดว่าเหมาะสมหรือไม่ เอาแค่เรื่องที่ตระกูลม่อปิดประตูหนีความผิด ก็ถือว่าไร้ความซื่อตรงจริงใจแล้ว
ท่ามกลางฝูงชน หุ้นส่วนบางคนที่ร่วมทุนกับตระกูลม่อพลันต้องลังเลขึ้นมา เริ่มพิจารณาว่าพวกตนใช่สมควรยุติสัญญาไว้แต่เพียงเท่านี้ดีหรือไม่ ป้องกันการตลบตะแลง
ผู้จัดการร้านพอเห็นดังนี้ก็ร้อนรนจนมือไม้สั่น รีบวิ่งแจ้นไปที่ตระกูลม่อเพื่อรายงานสถานการณ์
จากนั้น ฉินจิ่วเกอและเจ้าอ้วนน่าตายก็มาถึงร้านสาขาที่ผู้นำตระกูลม่อรับผิดชอบ
อันที่จริงไม่จำเป็นต้องก่อเรื่องราวใหญ่โต เพียงให้เจ้าอ้วนน่าตายยืนอุดประตูพวกมันไว้ นอกเสียจากมีคนตัวเท่าไม้จิ้มฟัน มิเช่นนั้นไม่มีใครเดินเข้าออกร้านค้าของมันได้
เพล้ง พล้าง โพล้ง เพล้ง ต่อยตีกันอีกรอบ โต๊ะเก้าอี้กระจัดกระจาย ผู้คนแตกสานซ่านเซ็น
เสมียนผู้รับผิดชอบต้องร้องร่ำคร่ำครวญวิ่งแจ้นไปรายงานต่อผู้นำตระกูลอีกครา
ม่อฉวนซัวมิอาจไม่เรียกประชุมอาวุโสในพรรคอีกครั้ง หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ตระกูลม่อหากมิใช่สร้างเรื่องเองดับสูญเอง ก็ต้องกลายเป็น แม้ไม่สร้างเรื่องก็ยังถูกก่อกวนจนดับสูญ!
ตีงูต้องตีตำแหน่งสามนิ้ว ฉินจิ่วเกอลงมือโจมตีไปยังจุดชีวิตของตระกูลม่อ ไล่คนตัดเส้นทางการเงิน เปรียบกับสังหารบิดามารดายังโหดร้ายกว่า
จากท่วงทำนองของฉินจิ่วเกอแล้ว นอกจากยอดฝีมือพิสุทธิ์ไพศาลจะออกโรง ปราณสุริยันทั่วๆ ไปรับรองว่าไม่อาจห้ามปรามมันไว้ได้ ทั้งยังเกรงว่าพิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้นเองก็ยังรั้งไว้ไม่อยู่
ม่อฉวนซัวในใจบังเกิดความตระหนกอยู่บ้าง หากยังปล่อยให้อีกฝ่ายอาละวาดต่อไป ไม่ต้องกล่าวถึงความเสียหาย ทั่วทั้งเมืองซวนอู่คงไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมกับตระกูลม่ออีก
หากไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือและหน้าตา ล้วนไม่มีที่ให้ยืนหยัด คนประเภทฉินจิ่วเกอที่เสพอบายมุขทุกประเภทแล้วยังลอยหน้าลอยตาใช้ชีวิตอย่างออกรสออกชาติเช่นนี้ นับว่าเป็นของหายากอย่างยิ่ง
“รอก่อนเถอะ ปิดร้านไว้ก่อน ดูซิว่ามันจะทำอย่างไร!” ม่อฉวนซัวออกคำสั่ง คิดใช้อ่อนชนะแข็ง มันไม่เชื่อว่าฉินจิ่วเกอจะกล้าบุกเข้าบ้านตระกูลม่อมา
วันที่สองตั้งแต่มาถึงเมืองซวนอู่ เช้าตรู่สดใส แสงอาทิตย์อุทัยฉาบไล้ สายลมเย็นโชยพลิ้ว
หลังล้างหน้าแปรงฟัน ฉินจิ่วเกอก็เตรียมพาเจ้าอ้วนน่าตายไปบ้านตระกูลม่ออีกรอบ
พวกมันไม่ยินดีพบหน้า ฉินจิ่วเกอหาได้ใส่ใจไม่
ม่อฉวนซัวไม่อยากพบ มันก็ไม่รีบร้อน ถึงเวลานั้น มันจะให้ม่อฉวนซัวต้องร้องร่ำคร่ำครวญหาพวกมันเอง
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แพร่กระจายออกไปครึ่งเมืองซวนอู่แล้ว น่าแปลกที่โดยลักษณะของตระกูลม่อ กลับปิดร้านและกิจการค้าทั้งหมด ตระเตรียมซุกหัวตกตายภายใต้กระดองเต่าของตนเอง
ทุกผู้คนฉงนใจยิ่ง ผู้มาทวงหนี้ทั้งสองจะทำอย่างไรต่อไป
ฉินจิ่วเกอที่คาดเดาแต่แรกแล้วว่าตระกูลม่อต้องซุกหัวหดหางในกระดองไม่ออกมายิ่งเชื่อมั่นว่าการณ์นี้มีแผนร้าย ม่อฉวนซัวมีพลังฝีมือชั้นปราณสุริยันขั้นกลาง จะกลัวตนเองไปทำไม?
ฉินจิ่วเกอไม่เชื่อ ที่อีกฝ่ายอดทนอดกลั้นทั้งยอมก้มศีรษะให้ถึงปานนี้เพราะไม่ยอมจ่ายหนี้ ชัดเจนว่าพวกมันกำลังถ่วงเวลาอยู่
“ต้องแหวกหญ้าให้งูตื่น ตีเขาตื่นพยัคฆ์!” ฉินจิ่วเกอกล่าวเสียงเบากับตนเอง ตอนนี้ทั้งเมืองซวนอู่เปลี่ยนเป็นร้อนเร่า ให้ความรู้สึกพายุฝนล้วนสาดซัดเปียกปอนทั่วหอห้อง เมฆลมตั้งเค้าก่อนฝนมา!
“ขอศิษย์พี่ใหญ่ออกคำสั่ง!” ดวงตาเล็กหยีของเจ้าอ้วนน่าตายส่องประกายราวอีกาดำออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่มันพบเห็นคนกระทั่งหน้าตายังไม่ต้องการหากยังถือคุณธรรม ร้ายกาจจริงๆ
“ไป ซื้อสีน้ำมันแดงมาสามถัง ขนไปวางไว้หน้าประตูบ้านตระกูลม่อ!”
ฉินจิ่วเกอบุกไปถึงหน้าประตูของฝ่ายตรงข้าม ทะลวงไปถึงหน้าประตูใหญ่ตระกูลม่อ
“อ้วนน้อยจะซื้อน้ำมัน อ้วนน้ายจะซื้อบ้าน อ้วนน้อยติดค้างสามพันหกถึงวันนี้ยังไม่คืน ดอกทบต้น ต้นทบดอก ไม่คืนก็ทาสี ต้นทบดอก ดอกทบต้น ไม่คืนก็ทาสี”
ฉินจิ่วเกอโก่งคอร้องเพลง ต่อหน้าเด็กสตรีคนชราทั้งหลายในเมือง เริ่มทาสีใส่บ้านตระกูลม่อ
ณ กำแพงสีขาวด้านนอกของตระกูลม่อ มันขีดเขียนประโยคข่มขู่สะดุดตาน่าตระหนกลงไป
คนนอกเมื่อมองเห็น ต้องแตกตื่นจนเนื้อกระตุก รีบลนลานกลับบ้านไปดูว่าลืมดับไฟหรือไม่
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงม่อฉวนซัวที่อยู่ใจกลางลมพายุฝนฟ้าคะนอง ในใจของมันท่องคำว่าเย็นไว้เย็นไว้ เรียกคนมาถกเหตุผลกันดีหรือไม่?
ตอนนี้ทั้งเมืองล้วนล่วงรู้ตระกูลม่อยืมเงินไม่คืน ยืมมาเท่าไหร่น่ะหรือ?
สามพันหกร้อยศิลาวิญญาณ
ผู้นำตระกูลม่อคิดกระอักโลหิต บัดซบ เพียงหยิบยืมมาแปดร้อยเท่านั้น ไฉนกลายเป็นสามพันหกร้อยไปได้ เจ้าไฉนไม่มาปล้นเอาซะเลยล่ะ!
หลบอยู่ในบ้าน?
ดูท่าทางเศร้าสลดโศกาของศิษย์และอาวุโสทั้งหลาย คล้ายเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีคนวิ่งเอาหัวชนเสาตายสังเวย ม่อฉวนซัวสำนึกเสียใจ ตนเองประเมินผู้เยาว์รุ่นหลังต่ำเกินไป
แต่มิใช่เลื่อมใสความสามารถอันใดของฉินจิ่วเกอ เพียงแต่อีกฝ่ายไร้ยางอายทั้งยังใช้ฝีมืออันชั่วร้าย มันชิงชังที่ไม่อาจวิ่งออกไปชูมีดทำครัวเสี่ยงชีวิตกับอีกฝ่าย
เบื้องนอกตระกูลม่อยามนี้อึกทึกจนฟ้าถล่ม ผู้คนมากมายรายล้อมรอบ ในสามชั้นนอกสามชั้น เดินผ่านไปผ่านมาอีกสามชั้น
ฝูงชนที่มาดูความคึกครื้นในที่นั้น มากมายเท่าขุนเขามหาสมุทร ยังมีผู้ผ่านไปมาเพื่อสังเกตการณ์ไม่หยุดยั้ง ไม่ต่างจากผู้แสวงบุญ
คนเมื่อพลุกพล่าน บรรดาร้านแบกะดินที่หน้าภัตตาคารของบ้านตระกูลม่อต่างๆ ก็พากันนำสินค้ามาวางขายที่หน้าประตูเคหาสน์ คนยิ่งคึกคักถึงขีดสุด
เสียงตะโกนโหวกเหวกต่อราคา กระตุ้นเศรษฐกิจของเมืองซวนอู่ได้เป็นอย่างดี
บนกำแพงขาว เจ้าอ้วนน่าตายกำลังบรรเลงเพลงพู่กัน มีบ้างขีดเขียนเป็นวาจาโสโครกสุดทานทน บ้างเป็นวาจาอาฆาตโชกเลือด
เนื้อหาโหดร้ายรุนแรง แถมยังเปิดเผยโจ่งแจ้ง แสดงออกว่าเจ้าอ้วนน่าตายยินดีสานสัมพันธ์เป็นสหายกับบรรพชนตระกูลม่อ
ม่อฉวนซัวนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่อย่างคนไร้วิญญาณ คล้ายร่ำร้องออกมาว่า “เร็ว รีบไปเชิญพวกมันเข้ามาเร็ว!”
อาวุโสวิ่งล้มลุกคลุกคลานออกไปอย่างรีบด่วน เปิดประตูสีดำที่ปิดผนึกไว้หลายวันออก บนประตูเขียนเต็มไว้ด้วยสีแดงเถือก
อาวุโสท่านนั้นไม่กล้าออกปากระบายโทสะแม้สักครึ่งคำ คนใช้ฝีเท้าสั้นกระชั้น แทบคุกเข่าลงร้องขอความเมตตา
ฉินจิ่วเกอแย้มยิ้ม ศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียว ไม่ว่าเรื่องราวใดล้วนสามารถแก้ไขได้ หากตระกูลม่อยังเก็บตัวเงียบไม่ยอมโผล่หัว มันยังมีอีกหลายกระบวนท่าให้ใช้ออก
อาวุโสท่านนั้นค้อมกายลง เมื่อมองเห็นทะเลมนุษย์ด้านนอก ต้องสะกดเสียงไว้พลางถาม “ขอถาม ท่านใดคือคุณชายฉิน ฉินจิ่วเกอ?”
ฉินจิ่วเกอกล้าทำกล้ารับ คนยืดตัวขึ้น นิ้วชี้ไปยังเจ้าอ้วนน่าตายที่เพิ่งขีดเขียนประโยคริมกำแพงเสร็จสิ้นพอดิบพอดี “มันคือฉินจิ่วเกอ!”
อาวุโสดวงตาวาบประกาย กำหมัดแน่น สารรูปเหลือทนนัก
“เชิญคุณชายฉินเข้าตระกูลม่อ!” อาวุโสกล่าวจบ ค่อยแก้คำพูด “ไม่ถูกต้อง เชิญเข้าบ้านตระกูลม่อ!”
เจ้าอ้วนน่าตายถูกลากแห่ห้อมล้อมป่าวเข้าสู่ภายในคฤหาสน์ สิบนิ้วที่จิกแน่นลงบนบานประตูของมันถูกคนค่อยๆ แงะออกก่อนนำตัวเข้าด้านใน
เบื้องสูงเบื้องต่ำในบ้านตระกูลม่อล้วนแย้มยิ้มแสนชั่วร้าย บางคนควักมีดเชือดสุกรออกมาถือ บางคนเอาไม้ฟืนออกมา พาคุณชายฉินเข้าสู่บ้านตระกูลม่อด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ
“สวรรค์ ข้าไม่ใช่ฉินจิ่วเกอ ไม่ใช่!”
เสียงร่ำร้องของเจ้าอ้วนน่าตายยิ่งมายิ่งไกลออกไป เรื่องราวก็จบลงด้วยประการละฉะนี้
ไม่นาน ตระกูลม่อค่อยตระหนักรู้ เจ้าอ้วนน่าตายไม่ใช่ฉินจิ่วเกอ ตะเกียกตะกายร้องกระอืดกระอืดบนพื้นห้อง ร่ำร้องขอความเมตตาไม่ขาดปาก คนแบบนี้ชัดเจนว่าไม่ใช่คนชั่วช้าสารเลวที่ร้ายกาจดังหนองเน่า ไม่ว่ากรรมวิธีต่ำช้าใดล้วนสามารถงัดออกมาใช้ได้แน่นอน!
ดังนั้น เจ้าอ้วนน่าตายถูกอัญเชิญออกจากบ้านตระกูลม่อด้วยกิริยาเกรงอกเกรงใจ เมื่อก้าวลงบนธรณีประตูบ้านตระกูลม่อ ล้วนไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง
ผู้นำตระกูลม่อโดนถอนหงอกไปรอบหนึ่ง ต่อหน้าเด็กชราทั้งหลายในเมืองซวนอู่ ส่งมอบเงินสามพันหกร้อยศิลาวิญญาณแก่ฉินจิ่วเกอ ฉีกเผาทำลายสัญญากู้ยืมหน้าเลือด
ไม่ได้เห็นฝีมือที่แท้จริงของฉินจิ่วเกอ ดังนั้นม่อฉวนซัวออกปากว่าอีกฝ่ายจิตใจชั่วร้าย มันกริ่งเกรงดอกทบต้นต้นทบดอก เมื่อถึงเวลานั้นกลายเป็นเจ็ดพันสองร้อยศิลาวิญญาณ
หากฉินจิ่วเกอกล้าโก่งราคา เช่นนั้นผู้นำตระกูลม่อคงได้แต่ลักลอบไปแขวนคอตายในพรรคหลิงเซียวในคืนวันเพ็ญสายลมพัดหวีดหวิว
ลิ้นไหลตาปลิ้นเลือดกบ ถามพวกมันสิว่ากลัวไม่กลัว!
ม่อฉวนซัว นั่งตาละห้อยอยู่ในห้อง มันเชื่อว่าเหิงโหย่วเฉียนหากต้องการจัดการฉินจิ่วเกอ ผลลัพธ์ย่อมน่าสังเวชเกินทานทน
ไม่นาน เหิงโหย่วเฉียนก็ส่งสัญญาณเสียงมาหา สั่งให้ม่อฉวนซัวเชิญฉินจิ่วเกอไปร่ำสุรากินดื่มที่เหลาไกรสร เพื่อไขความเข้าใจผิด
ถึงจะบอกว่าเชิญไปกินดื่ม แต่ในความเป็นจริงภายในเหลากลับวางกับดักค่ายกลสี่สิบเก้าชั้นซ่อนเอาไว้แล้ว ต่อให้ด้านในเกิดเรื่องพลิกฟ้าคว่ำดินก็ยังไม่ถ่ายทอดไปถึงด้านนอก
ถึงตอนนั้น ฉินจิ่วเกอย่อมตกตายอยู่ในเหลาไกรสรอย่างแน่นอน
ในเมื่อไม่เกิดเรื่อง “พลิกฟ้าคว่ำดิน” เช่นนั้นก็ย่อมไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเมืองซวนอู่ ไม่มีใครต้องออกมารับผิดชอบ