เหลาไกรสร ก็คือสถานที่ที่ฉินจิ่วเกอและเจ้าอ้วนน่าตายกินแล้วหนี หนึ่งในกิจการในเครือของตระกูลม่อ

ม่อฉวนซัวรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ คืนนี้เลยส่งคนไปบอกแผนการของเหิงโหย่วเฉียนให้ฉินจิ่วเกอทราบ

มันรู้สึกว่า หากเหิงโหย่วเฉียนไม่อาจสังหารฉินจิ่วเกอได้สำเร็จ เอาแค่น้ำเน่าที่ดองอยู่เต็มท้องของหมอนี่ ตระกูลม่อก็ไม่อาจรับมือคนผู้นี้ได้แล้ว

ลอบบอกกล่าวแผนการให้ฉินจิ่วเกอได้รับทราบ เปิดโปงเหิงโหย่วเฉียนรวมถึงสถานที่ดำเนินแผนการ ตระกูลม่อไม่อาจล่วงเกินได้ทั้งสองฝ่าย

ม่อฉวนซัวจู่ๆ ก็ไม่ยอมให้ขุมอำนาจใดเข้าออกเคหะสถาน กับเรื่องนี้เหิงโหย่วเฉียนไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อย

แม้ว่าหัวกะทิในพรรคจอกประกายสิทธิ์ต่างก็เข้าร่วมกิจสำคัญภายในพรรค แต่เหิงโหย่วเฉียนก็ยังดึงตัวปราณสุริยันมาได้ถึงสิบคน

นอกจากนี้ เหิงโหย่วเฉียนยังเชิญศิษย์ฝ่ายในประตูหายนะท่านหนึ่งมาร่วมงาน ฝ่ายนั้นเพิ่งจะเลื่อนขั้นสู่พิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้นไม่นานนี้เอง ทรงพลังสุดแกร่งกร้าว

พิสุทธิ์ไพศาลสองคน ปราณสุริยันสิบคน แม้แต่พิสุทธิ์ไพศาลขั้นปลายก็ยังไม่ใช่คู่มือ กับทารกน้อยชั้นปราณสุริยันขั้นกลางเพียงผู้เดียว ย่อมเหลือแหล่

ฉินจิ่วเกอหากอยู่ในเหตุการณ์ด้วยล่ะก็ มันย่อมพบว่า บุคคลที่เหิงโหย่วเฉียนเชื้อเชิญมาท่านนั้นก็คือเฉียนหยุนที่เคยพบในตลาดประมูลคราวนั้น

เฉียนหยุนแต่ไรมาก็ไม่ลงรอยกับซ่งเล่ออยู่แล้ว พอได้ฟังรายงานจากศิษย์ใต้สังกัด ซ่งเล่อจึงได้รับคุณความดีความชอบภายในพรรคอย่างยิ่งยวด ตอนนี้เริ่มเข้าใกล้ตำแหน่งศิษย์สายตรงเข้าไปทุกที

เฉียนหยุนที่กลัวจะถูกเล่นงานกลับ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้จึงกว้านซื้อโอสถที่ช่วยในการฝึกปรือจากทั่วทั้งเมืองซวนอู่ จนบรรลุพิสุทธิ์ไพศาลได้อย่างเต็มกลืน

เฉียนหยุนผู้ทุ่มเงินหมดหน้าตัก บังเอิญพบพานกับเหิงโหย่วเฉียน จึงคบหาเป็นสหายในบัดดล และตกลงรับปากว่าจะช่วยจัดการฉินจิ่วเกอ

เฉียนหยุนเชื่อว่าตนที่เป็นถึงศิษย์ฝ่ายในประตูหายนะ หากบอกฐานะออกไป อีกฝ่ายย่อมหวาดกลัวหัวหดเร่งทำลายวรยุทธตนเองพร้อมคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิต รายได้ที่ได้มาแบบนิ่มๆ นี้มีหรือจะไม่เอา

ตระกูลม่อยังคงเป็นกลาง ข่าวเพียงข้ามคืนก็มาถึงมือฉินจิ่วเกอ เจ้าอ้วนน่าตายพอทราบเข้าก็ตะลึงลาน “ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเรารีบหนีกันเถอะ”

“โง่น่า”

ฉินจิ่วเกอนึกไม่ถึงว่าเพื่อจัดการกับตน เหิงโหย่วเฉียนถึงขั้นยอมทุ่มทุนมากขนาดนี้ “ตอนเย็นประตูเมืองปิด เจ้าคิดว่าพวกเรายังจะหนีออกไปได้อีกรึ? หูตาของพรรคจอกประกายสิทธิ์ยังคอยวนเวียนอยู่ไม่ห่าง ทันทีที่พวกเราออกนอกเมือง ย่อมต้องตายสถานเดียว ตรงข้ามหากปักหลักรออยู่ในเมือง ยามปะทะกันไม่อาจใช้อาวุธ เหิงโหย่วเฉียนย่อมไม่กล้ากระทำการโจ่งแจ้ง ไม่งั้นแล้วคงไม่ต้องลำบากถึงขั้นเชิญพวกเราไปติดกับที่เหลาไกรสร”

“เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี”

เจ้าอ้วนน่าตายขมวดคิ้วจนยับย่น ฉินจิ่วเกอชื่นชอบที่เจ้าอ้วนช่วยให้ตัวเองดูมีสง่าราศีขึ้นมา “ย่อมต้องมีวิธีอยู่แล้ว ไม่ใช่ฝ่ายนั้นตั้งใจจะใช้กลยุทธงานเลี้ยงหงเหมินดักสังหารหรอกหรือ ถ้างั้นพรุ่งนี้เราก็ไปสนองตอบหน่อยแล้วกัน!”

นับแต่โบราณกาล กลยุทธเลี้ยงฉลองดักสังหารมีอัตราความสำเร็จแสนน้อยนิด นอกจากนี้ ฉินจิ่วเกอยังมั่นใจว่า ถึงตอนนั้นหากพวกมันกล้าลงมือจริงๆ ตนแค่วิ่งหนีตายออกมาก็ปลอดภัยแล้ว

“ศิษย์พี่”

เจ้าอ้วนน่าตายน้ำตานองหน้า นับถือบูชาวีรชนผู้โดดเดี่ยวตรงหน้าจากใจ หาญเผชิญหน้าต้านกองทัพ ช่างเป็นโศกนาฏกรรมอันตื้นตันหวั่นไหวยิ่ง!

“ควบอาชาฟาดผ่าศัตรูทั่วใต้หล้า ปกครองประชาเหนือทรราชย์ โลกคราคร่ำไปด้วยอุปสรรคภยันตรายมากมาย ทว่า ข้าไม่กลัว!”

เสียงฉินจิ่วเกอก้องกังวานไปทั่วทิศ ไว้ไปถึงเหลาไกรสรเมื่อไร บนโลกนี้จะไม่มีคนที่ชื่อเหิงโหย่วเฉียนอีกต่อไป

 ความห้าวหาญองอาจเทียมฟ้า เผชิญหน้ากองพลหมื่นอาชา ดาบกระบี่หอกธนู อาศัยเพียงหนึ่งสุรา หนึ่งกระบี่ หนึ่งความมุ่งมั่น

“ศิษย์พี่!” เจ้าอ้วนน่าตายเปล่งเสียงอย่างตื่นตันด้วยอารมณ์

“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไป เชื่อว่าเจ้าเองก็จะร่วมเป็นร่วมตายไปกับข้าด้วย” ฉินจิ่วเกอมองเจ้าอ้วนน่าตาย สายสัมพันธ์เราพี่น้องเหนียวแน่นยิ่งกว่าใยเหล็ก

“ท่านเข้าใจผิดแล้วศิษย์พี่ใหญ่ ข้าหมายถึงว่าเกิดท่านมีอันเป็นไป ศิษย์น้องอย่างข้าคงเป็นไท ไม่ๆๆ ข้าหมายถึงเก็บสั่งสมกำลัง รอโอกาสล้างแค้นให้กับท่าน!”

เจ้าอ้วนน่าตายไม่ได้โง่ เทียบเชิญก็พูดออกไปแล้ว คนที่เชิญคือฉินจิ่วเกอ เอ๊ะ นี่ข้าเป็นใคร แล้วข้ามาจากไหน?

นี่เองก็ทำให้เจ้าอ้วนน่าตายต้องสลดหดหู่ จมลงสู่ภวังค์แห่งการตั้งคำถามกับตัวเองว่าจิตใจเจ้าใช่มีปัญหาหรือไม่จนไม่อาจถอนตัวออกมาได้

“ฟู่ ข้าขอเรียนเชิญให้เจ้าไปร่วมตายกับข้าด้วยความจริงใจ”

ฉินจิ่วเกอออกปากชวนอย่างจริงใจ ในเมื่อชักดาบมาด้วยกัน ไปงานฉลองสังหารก็ต้องไปด้วยกันจึงจะถูก

เจ้าอ้วนน่าตายรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน ร่ำไห้น้ำตานองว่าตนยังไม่ทันได้ตบแต่งกับศิษย์พี่สาม ยังไม่ได้ลิ้มลองอาหารโอชะจากทั่วหล้า หากตายไป ย่อมต้องตายตาไม่หลับ

ผู้ทรงภูมิไม่อาจบังคับฝืนใจใคร ฉินจิ่วเกอเองก็ไม่ปล่อยให้เจ้าอ้วนน่าตายต้องไปเหลาไกรสร ด้วยระดับฝีมือหลอมวิญญาณขั้นเก้าของมัน คงกันธนูมีดดาบได้ไม่กี่กระบวนหรอก

วันต่อมา ฟ้ามืด จันทร์หม่น ราวกับบนท้องฟ้ามีกระจกฝ้าแผ่นใหญ่กางกั้นไว้

เมฆดำปกคลุมทั่วฟ้า บรรยากาศที่ชวนให้ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ แผ่กระจายไปทั่วทุกบริเวณ สะกดทับลงยังจิตใจของผู้คนจนสั่นไหว

เมืองซวนอู่เงียบสงัด ถนนหนทางไร้สิ่งมีชีวิต แม้แต่ซากสุนัขตายสักตัวยังไม่มี

ดวงดาราพากันหลบเร้น อากาศเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นระคนแห้งผาก จนท้ายที่สุด แสงจันทร์ก็ถูกแทนที่ด้วยพยับเมฆสีดำสนิท ตามด้วยเม็ดฝนขนาดเท่าเส้นด้ายบางเฉียบที่ร่วงพรมลงสู่พื้นศิลาสีเขียวครึ้มของเมืองซวนอู่

บนถนนอันเงียบสงัดวังเวง มีเพียงเหลาไกรสรที่ตั้งอยู่ตรงมุมถนนเท่านั้นที่มีแสงไฟเล็ดลอดออกมา ส่องสว่างไปทั่วพื้นที่

ที่ชั้นล่าง ม่อฉวนซัวกำลังรอฉินจิ่วเกออย่างใจจดใจจ่อ ใจนึงก็อยากให้มา อีกใจก็ไม่อยากให้มา

รอจนเหิงโหย่วเฉียนฉีกร่างอีกฝ่ายออกเป็นชิ้นๆ ม่อฉวนซัวถึงตอนนั้นคงอดใจไม่ไหว ตามไปแทงซ้ำอีกสักสองสามที

ยิ่งใกล้จะได้เจอเจ้าเด็กหน้าเหม็นนั่นเท่าไหร่ ม่อฉวนซัวก็ยากที่จะคุมอารมณ์ตัวเองได้เท่านั้น มันกลัวว่าทันทีที่เห็นหน้าสุนัขของฝ่ายนั้นเข้า ทั้งตนทั้งเหิงโหย่วเฉียนคงมิอาจหักห้ามใจไม่ให้เข้าไปกระทืบอีกฝ่ายจนแดดิ้นไปก่อน

บ้านเรือนรอบด้านล้วนปิดไฟเข้านอนกันหมดแล้ว มีแต่เหลาไกรสรที่ยังคงเปิดกิจการส่องแสงสีแดงสว่างไสว ท่ามกลางม่านฝนอันเลือนราง หากไม่มองให้ดีคงเห็นเป็นภาพสัตว์อสูรที่กำลังอ้าปากรอคอยให้เหยื่อเดินเข้าไปอย่างกระหายเลือดแทน

มองออกไปด้านนอกเห็นฝนตกพรำๆ เหิงโหย่วเฉียนก็เป่าปากออกมาคราหนึ่ง ฉินจิ่วเกอไม่ได้ออกจากเมือง อีกฝ่ายคงจะคาดไม่ถึงว่ามีแผนการเช่นนี้รออยู่กระมัง

งานเลี้ยงถูกจัดที่ชั้นสาม บรรยากาศเอิกเกริกหลากสีสัน ทั้งยังดึงดูดล่อลวงใจ หารู้ไม่ในอาหารเคลือบโอสถสะบั้นชีพ

ชั้นสอง สิบปราณสุริยันยี่สิบหลอมวิญญาณขั้นเก้าพร้อมอาวุธครบมือต่างดักซุ่มรอจังหวะอยู่ในห้องอย่างเพรียบพร้อม

ชั้นล่างสุด นอกจากสตรีเรียกแขกหลายสิบคน ยังซ่อนค่ายกลสังหารที่นักจัดวางค่ายกลระดับสี่ติดตั้งเอาไว้ด้วยตัวเอง จำกัดระยะแค่เพียงในเหลาไกรสร

เหลาสุราสามชั้นที่ภายนอกให้บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง ภายในกลับซุกซ่อนกับดักเชือดเฉือนเอาไว้ครบทุกชั้น หากวันนี้ยอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไพศาลมาเอง ยังไม่อาจรอดกลับไปครบทั้งสามสิบสองส่วน

ด้านนอกฝนตกโปรยปราย กระทบกับหลังคาที่มีหญ้ามอสเขียวครึ้มปกคลุม ก่อนไหลหยดลงจากมุมหลังคาเป็นเม็ดมุกส่องประกายสดใส ส่งเสียงดังเปาะแปะ

ฉินจิ่วเกอมือถือร่มน้ำมัน สวมอาภรณ์สีขาวสมถะเรียบง่ายตัวหนึ่ง แลดูสะอาดไม่สะดุดตา

เรือนผมดำยาวใต้หมวกมัดไว้ด้วยเชือกแดง ปลายผมปรกลงระบ่าเล็กน้อย

ทุกอากัปกิริยาเต็มไปด้วยความมั่นใจปลอดโปร่งดั่งสายลมเมฆาคล้อยพลิ้วไหว

ชายหนุ่มมีเส้นผมดกครึ้มเต็มศีรษะ แต่ละเส้นบ่งบอกถึงความหนุ่มแน่นเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา

นิ้วเรียวยาวขาวผ่องเป็นยองใยกำรอบด้ามร่มน้ำมันสีเหลือง ฉินจิ่วเกอก้าวเดินเป็นจังหวะช้าๆ มาตามถนนท่ามกลางสายฝนพร่างพรม เมื่อใดที่ปลายฝ่าเท้าแตะกระทบศิลาปูพื้น จะเกิดเสียงสดใสกังวานเต็มไปด้วยพลังขึ้น

เจ้าอ้วนน่าตายติดตามมาเบื้องหลัง คอยอารักขาฉินจิ่วเกอจนถึงเหลาไกรสร

และแล้วฉินจิ่วเกอก็หุบร่มน้ำมันในมือ สีหน้าท่าทางสุขุมไม่แปรเปลี่ยน บริเวณชายเสื้อเพียงเปื้อนคราบดินโคลนเล็กน้อย บ่งบอกว่าแม้เข้าสู่โลกิยะจิตใจก็ยังบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว แม้บรรลุถึงขอบเขตสูงสุดก็ยังคงความเยือกเย็นเอาไว้ได้

ม่อฉวนซัวพอได้เห็นประหนึ่งพบพานสตรีผู้เป็นรักแรกในวันวาน ไหนเลยจะเกิดความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์

บุรุษหน้ามนคนหน้าขาว ริมฝีปากแดงสดฟันขาวสล้าง เป็นชายหนุ่มรูปงามท่ามกลางชายหนุ่มรูปงามอย่างแท้จริง

ยามเดินเหินแผ่กลิ่นอายยอดคนผู้องอาจ เปรียบดั่งกระบี่ที่ยังไม่ถูกชักออกจากฝัก แม้จะไร้คม แต่เมื่อใดที่ชักออก ย่อมเกิดบุปผาโลหิตเบ่งบานอย่างถ้วนทั่ว

รู้ทั้งรู้ว่าเดินเข้าปากเสือ แต่ก็ยังกล้ามา ม่อฉวนซัวมิอาจไม่เกิดความชื่นชมประทับใจในตัวชายหนุ่มผู้นี้

ดูท่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าจะเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดกัน คุณชายท่านนี้ จะต้องเป็นยอดคนในหมู่วีรชนผู้กล้าอย่างแน่นอน

ม่อฉวนซัวพับเก็บความพยาบาททั้งมวลลงไป แทนที่ด้วยความอบอุ่นเป็นกันเอง ร้องเรียกด้วยความเลื่อมใส “ผู้น้อยประมุขตระกูลม่อ พี่ฉิน ทางเราจัดงานเลี้ยงไว้แล้ว เชิญ!”

ปราศจากการยกตนข่มท่าน ม่อฉวนซัวปฏิบัติต่ออีกฝ่ายราวกับเป็นคนรุ่นราวเดียวกัน ไร้ความถือตัวโดยสิ้นเชิง

“ฉินจิ่วเกอ” เอ่ยออกมาด้วยความสงบดั่งน้ำนิ่งลุ่มลึก ฉินจิ่วเกอก้าวเข้าสู่ตัวอาคารโดยปราศจากความลังเลแม้สักเสี้ยว ใบหน้าคมคายอาบไล้อยู่ใต้แสงเทียนสีแดง

ม่อฉวนซัวเรียกขวัญกำลังใจตัวเอง ที่ช่วยได้มันก็ช่วยไปหมดแล้ว จะเป็นหนอนหรือมังกร รอให้ถึงงานเดี๋ยวก็รู้เอง

“จริงสิ”

เดินมาถึงขั้นสุดท้ายของบันได ฉินจิ่วเกอก็หยุดเท้า บรรยากาศเงียบสงบภายในเหลาพลันแปรเปลี่ยนเป็นตึงขมวดขึ้นมา

บรรยากาศล่อแหลม เหมิงโหย่วเฉียนจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของฉินจิ่วเกออย่างไม่ละสายตา กองกำลังดักซุ่มที่ชั้นสองเกร็งอาวุธในมือเตรียมจู่โจมได้ทุกเมื่อ ในเมื่อยังไปไม่ถึงชั้นสาม ค่ายกลจึงยังไม่อาจใช้งาน

ฉินจิ่วเกอหัวเราะด้วยความละอาย เอ่ยวาจากล่าวโทษตัวเอง “ศิษย์น้องที่พรรคยังไม่ทันได้ทานมื้อค่ำ แต่ผู้น้อยในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของพรรคกลับมาดื่มฉลองอยู่ที่นี่ ช่างน่าละอายใจนัก”

“ถ้างั้น ความหมายของน้องแซ่ฉินคือ…” ม่อฉวนซัวพลันสับสนกลางอากาศ ไฉนจู่ๆ ถึงเอาเรื่องที่ไม่เกี่ยวอะไรเลยขึ้นมาพูด

“ได้ยินว่าลูกชิ้นหมูตุ๋นกับอาหารจานหลักของที่นี่รสชาติไม่เลวเลย ไม่ทราบขอเอากลับไปแบ่งให้ศิษย์น้องภายในพรรคข้าหน่อยได้หรือไม่” ฉินจิ่วเกอเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล อากัปกิริยาเหมือนศิษย์พี่ใหญ่อย่างแท้จริง

ม่อฉวนซัวสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เพียงถามว่า “มากน้อยแค่ไหน”

ในใจเริ่มเกิดลางร้าย ดั่งที่โบราณว่าวาดเสือเขียนมังกรจนใจที่กระดูก อย่าบอกนะว่าอีกฝ่ายก็คือตัวสารเลวในคราบมนุษย์จริงๆ?

“ไม่มากนักดอก นับรวมเหนือใต้ออกตกทั่วทั้งพรรคดูแล้ว ก็แค่แปดร้อยคนเท่านั้นเอง ทั้งหมดก็แปดร้อยชุด” ฉินจิ่วเกอเสนอราคาออกมาอย่างเรียบเรื่อย

ม่อฉวนซัวพอเห็นฉินจิ่วเกอวางแผนจะไม่จ่ายเงินแม้แต่แดงเดียว ในใจก็สาปส่งว่าเจ้าเด็กหัวทุยชักดาบจนติดเป็นนิสัยเลยหรือยังไง แปดร้อยชุดเชียวนะ จะนับเป็นเงินเท่าไหร่กัน!

“เกรงว่าเรื่องนี้…” ม่อฉวนซัวทำท่าลังเล ก่อนปฏิเสธอย่างมีหลักการ “จำต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามชั่วยาม”

“ไม่ใช่ปัญหา ข้ารอได้” ฉินจิ่วเกอพูดจบก็หย่อนก้นลงนั่ง จะขึ้นก็ไม่ขึ้น จะลงก็ไม่ลง กลับนั่งขวางอยู่กลางบันได

เสียงเคลื่อนไหวที่ชั้นบน มันย่อมได้ยินเต็มสองหู กลิ่นอายสังหารจึงเริ่มคุกรุ่น

“แน่นอน หากพวกเจ้าอยากจะเตรียมสำรับอาหารสักหน่อยข้าก็ไม่เกี่ยง” ฉินจิ่วเกอคล้ายรำพึงกับตัวเอง

ม่อฉวนซัวกัดฟันกรอด มันสัมผัสถึงสายตาทิ่มแทงอยากจะฆ่าคนของเหิงโหย่วเฉียนที่ซ่อนตัวอยู่ได้อย่างชัดเจน จึงต้องโบกมืออันสั่นเทาพร้อมออกคำสั่งว่า “ไปเอาอาหารในครัวออกมาให้หมด”

ก่อนปิดกิจการในวันนี้ เหลาไกรสรถูกพวกฉินจิ่วเกอฟาดเรียบจนแทบไม่เหลือ ในห้องครัวจึงยกเอาอาหารออกมาได้เพียงหกร้อยชุด

พรรคหลิงเซียวตั้งแต่สูงยันต่ำ นับรวมกี่รอบอย่างไรก็มีกันไม่ถึงสามร้อยคน

หัวเราะพลางเก็บอาหารเข้าแหวนมิติไปพลาง สรุปแล้วก็ไม่ยอมจ่ายเงินจริงๆ ฉินจิ่วเกอเรียกเจ้าอ้วนน่าตายมาหา “ไปพักที่โรงเตี๊ยมที่ใกล้ตำหนักเจ้าเมืองที่สุด พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทาง”

ตำหนักเจ้าเมืองควรเป็นที่ที่อาวุโสมู่หยวนปิดด่านเก็บตน บริเวณนั้นย่อมไม่มีใครกล้าก่อกวนเรื่องราวโดยไม่เห็นกฎอยู่ในสายตาแน่

เจ้าอ้วนน่าตายหากได้พักอยู่ที่นั่นย่อมต้องปลอดภัยหายห่วง

ถูกฉินจิ่วเกอใช้สายตาเข้มงวดปรามไว้ เจ้าอ้วนน่าตายรู้สึกตื้นตันจนจมูกตื้อไปหมด ตอนรับเอาแหวนมิติมา ท่าทางประหนึ่งกอบเถ้ากระดูกของฉินจิ่วเกอไว้ เสร็จแล้วจึงหันหลังจากไปโดยไม่เหลียวมองกลับมาอีก

ฝนยังคงตกไม่ขาดเม็ด เมฆดำอึมครึมมัวสลัว ช่างเป็นวันที่หนาวเหน็บอะไรอย่างนี้

พอเห็นว่าเจ้าอ้วนน่าตายปลอดภัยดีแล้ว ฉินจิ่วเกอก็ลุกขึ้นก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้าย ก่อนหันมาทอดตามองม่อเฉินซัวจากมุมสูง

สีหน้าสีตาประหนึ่งมังกรที่หลบเร้นอยู่ในเอกภพ ยากแท้หยั่งถึง ดั่งจักรพรรดิผู้บงการฟ้าดิน

ถูกต้อง มันคือนักชักดาบ นักชักดาบที่บรรลุถึงขอบเขตสูงสุด ไม่จบแค่กินฟรีดื่มฟรีไม่จ่ายตังค์ แต่กินแล้วยังต้องทำลายหลักฐาน เป่าเหลาสุราแห่งนี้ให้ราบคาบ นั่นจึงจะเรียกยอดนักชักดาบที่แท้จริง!

งานเลี้ยงหงเหมินดักประหาร ปู่เจ้ามองออกตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ยังมีอะไรต้องกลัว!

วีรกรรมของฉินจิ่วเกอในเมืองซวนอู่ คนก่อหวอดสร้างเรื่องจนชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วทุกหลืบมุม กระทั่งยังแพร่ไปถึงนอกเมืองซวนอู่

ภายในถ้ำแห่งหนึ่งในหุบเขา มีคนลอบถอนใจเป่าลมขุ่นมัวออกมา

คนผู้นี้โหนกแก้มสูง เบ้าตาลึกโหล ทั่วร่างเต็มไปด้วยคราบเลือดที่ยังเหนอะหนะไม่แห้งดี

รังสีสังหารแผ่พุ่งออกจากนัยน์ตาของมัน อย่างน้อยคนผู้นี้ต้องปลิดชีวิตคนมาไม่ต่ำกว่าพันคน หนำซ้ำก่อนลงมือสังหารยังต้องทรมานเหยื่ออย่างเลือดเย็น จึงจะมีกลิ่นอายสังหารอันเข้มข้นอย่างนี้ได้

คนผู้นี้ก็คือจอมโจรผู้ฉาวโฉ่จากเผ่ามนุษย์ หลิวเชียน