ตอนที่ 325 – ข้อมูลวงใน
“จิ่งสิงจื่อผู้นั้นช่วยชีวิตเจ้า?” พอฟังเรื่องที่ถังเซิ่นพานพบจบ โม่เทียนเกอก็ถามขึ้น
ถังเซิ่นหน้าแดงเล็กน้อย พยักหน้า “นับว่าใช่เถอะขอรับ หลังจากพวกเราออกจากภูเขามาร คนอ้วนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็เลยซ่อนตัวพักฟื้นที่เขาอวี้เหิง สิบกว่าปีนั้นข้าหนีอยู่หลายครั้งมากก็ยังหนีไม่รอด ภายหลังเขาหายดี ไม่รู้ว่าคิดจะพาข้าไปที่ไหน ระหว่างทางพบกับผู้อาวุโสจิ่ง พวกเขาเป็นคนร่วมสำนัก แต่ผู้อาวุโสจิ่งคล้ายจะมีข้อบาดหมางกับเขาอยู่บ้าง จากนั้นก็ตีกันขึ้นมา คนอ้วนนั้นเดิมนึกว่าผู้อาวุโสจิ่งได้รับบาดเจ็บ ไม่สนความสัมพันธ์ร่วมสำนัก อยากจะฉวยโอกาสฆ่าคนแย่งสมบัติ ผลคือถูกผู้อาวุโสจิ่งสังหาร”
“อย่างนั้นหรือ……” โม่เทียนเกอพึมพำกับตัวเอง ถูกแล้ว เมื่อครู่ถังเซิ่นพูดว่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่จับเขานามว่าผู้อาวุโสกระบี่ฝูหลิง พอดีเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสกระบี่จิตวิญญาณใหม่ของสำนักกู่เจี้ยน จิ่งสิงจื่อถึงกับสู้กับศิษย์ของเขาขึ้นมา ดูท่าวันเวลาที่เขาอยู่สำนักกู่เจี้ยนผ่านไปอย่างย่ำแย่มากจริง ๆ ตอนนี้ยังสังหารคนร่วมสำนัก บนตัวมีอาการบาดเจ็บ เกรงแต่ว่าจะกลับสำนักกู่เจี้ยนไม่ได้แล้วกระมัง?
โม่เทียนเกอคิดครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า เรื่องของจิ่งสิงจื่อไม่ต้องให้นางกังวลใจ คิดถึงว่าถังเซิ่นเรียกผู้ฝึกตนก่อเกิดตานนั้นว่าคนอ้วน แต่กลับเรียกจิ่งสิงจื่อว่าผู้อาวุโสจิ่ง นางถามว่า “จิ่งสิงจื่อปฏิบัติต่อเจ้าดีอยู่หรือ”
ถังเซิ่นลังเลเล็กน้อย พูดว่า “อืม นอกจากไม่ให้ข้าไป บางครายังชี้แนะข้าด้วย” พูดถึงตรงนี้ เขาเกาศีรษะอย่างขัดเขิน “ขออภัยด้วยขอรับ ผู้อาวุโสเยี่ย ผู้อาวุโสจิ่งเพิ่งจะเริ่มพูดว่าอยากเอาข้าไปแลกโอสถรักษาบาดเจ็บ ดังนั้นข้ากระวนกระวายชั่วขณะ จึงใช้เครื่องรางสื่อสารหมื่นลี้ ทำให้ท่านวิ่งมาไกลขนาดนี้เพื่อช่วยชีวิตข้า……”
โม่เทียนเกอยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร จิ่งสิงจื่อนั่นไม่ใช่คนถือศีลกินเจ ถึงแม้จะไม่เลวร้ายต่อเจ้า แต่ก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปอย่างไร้เงื่อนไขจริง ๆ ในความเห็นข้า การจับเจ้าไปแลกโอสถมีหกเจ็ดส่วนที่พูดความจริง”
“จริงหรือขอรับ” ถังเซิ่นคิดแล้วกลับถอนหายใจ “ข้าก็รู้ว่าเขาไม่แน่ว่าจะเป็นคนดี แต่ก็ไม่ถือว่าโหดร้ายต่อข้าจนเกินไป เดิมข้านึกว่าตนเองระมัดระวังพอแล้ว มาถึงคุนอู๋จึงค้นพบว่าตนเองยังอ่อนด้อยอยู่มาก”
คำพูดประเภทนี้ ถังเซิ่นคนนี้เติบโตขึ้นมากมายแล้ว ก็ใช่ อายุของเขาไม่ได้เด็กกว่าโม่เทียนเกอเลย พวกเขาแยกจากกันมาหลายสิบปีแล้ว ถังเซิ่นมีการเติบโตเป็นเรื่องแน่นอน
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ “สหายเต๋าถัง นี่ก็โทษเจ้าไม่ได้ เจ้าไม่เคยมาคุนอู๋ ย่อมไม่รู้สถานการณ์ของสถานที่แห่งนี้ อีกอย่าง เจ้าไม่มีสิ่งของปิดบังร่าง หากถูกผู้ฝึกตนระดับสูงจับจ้องก็จะถูกมองทะลุได้ง่ายมาก”
ปิดบังร่าง? ถังเซิ่นสายตาลุกวาว “ผู้อาวุโสเยี่ย มีสิ่งของที่ปิดบังร่างจริง ๆ หรือ”
“ย่อมมี” โม่เทียนเกอใคร่ครวญสักครู่ คิดถึงสิ่งที่สุ่ยหลินโปเคยพูด นางมีทักษะเวทมากมายที่เรียนจากผู้ฝึกตนสตรีสภาปี้เซวียนที่ช่วยชีวิตนางผู้นั้น ในนี่มีวิชาเวทที่สามารถปิดบังสภาพร่างกายหนึ่งชุด นางก็อาศัยวิชาเวทชุดนั้นจึงหลอกนักเดินทางไป๋อวี้ได้ เหตุใดถังเซิ่นกลับไม่รู้เล่า
“บรรพชนผู้ก่อตั้งปี้สุยหยวนจวินเป็นร่างอินบริสุทธิ์ น่าจะมีวิชาเวทอย่างนี้ถ่ายทอดมาจึงจะถูก เหตุใดเจ้ากลับไม่รู้เล่า”
ถังเซิ่นฟังแล้วก้มศีรษะอย่างหดหู่ “ผู้อาวุโสเยี่ย สถานที่ซึ่งบรรพจารย์นั่งละสังขารในปีนั้นพวกเรายังไม่รู้ สิ่งที่เหลืออยู่ที่สภาปี้เซวียนเป็นเพียงของสะสมบางส่วนของบรรพจารย์ วิชาเวทที่สืบทอดลงมามีมากมายที่ไม่สมบูรณ์ ในนี้มีวิชาเวทที่สามารถปิดบังจิตหยั่งรู้ของผู้ฝึกตนระดับสูงอยู่หนึ่งชุดจริง ๆ แต่ว่านั่นกลับเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนสตรีจึงสามารถฝึกฝน”
“อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้” โม่เทียนเกอพยักหน้า นี่ก็ไม่ประหลาด ถึงอย่างไรโม่เหยาชิงนั่งละสังขารมาห้าพันกว่าปีแล้ว ไม่มีทางที่สิ่งของทุกอย่างจะสืบทอดลงมา แล้วนางยังเป็นผู้ฝึกตนสตรี ย่อมฝึกฝนวิชาเวทของผู้ฝึกตนสตรีจึงจะเหมาะสมกว่า แต่คิดว่าถึงจะสืบทอดลงมาก็ไม่ดีเท่ากับนางที่มีป้ายซ่อนวิญญาณบนตัว โม่เหยาชิงปีนั้นพะวักพะวงกับเรื่องของร่างไม่น้อย อธิบายได้ว่าวิชาเวทปิดบังร่างของนางไม่ได้มีประสิทธิภาพมาก
โม่เทียนเกอคิดแล้วเอ่ยว่า “วิชาเวทปิดบังร่างถึงจะหายาก แต่ก็ไม่ถึงขนาดหาไม่ได้ ทักษะเก็บงำลมหายใจขั้นสูงสักชุดก็ได้แล้ว ถึงอาจจะไม่ได้สามารถปิดผู้ฝึกตนระดับสูงได้แน่ ๆ แต่ใช้ก็ดีกว่าไม่ได้ใช้เสมอนั่นล่ะ เมืองคุนจงนี้เป็นเมืองแห่งการค้าขาย พวกเราสามารถไปหา ๆ ดูในงานชุมนุมค้าขายที่นี่”
ได้ยินประโยคนี้ ในแววตาถังเซิ่นมีความหวังลุกโชน เพียงแต่ลังเลอยู่บ้าง “ผู้อาวุโสเยี่ย จะต้องใช้ศิลาวิญญาณมากมายหรือไม่ ตอนที่ข้าถูกจับกระเป๋าเอกภพถูกค้น ภายหลังถึงผู้อาวุโสจิ่งจะหากระเป๋าเอกภพมาได้ ข้างในกลับไม่เหลือศิลาวิญญาณสักเท่าไหร่แล้ว”
คำพูดนี้ทำให้โม่เทียนเกอยิ้ม “ในเมื่อข้าเป็นผู้อาวุโสรับเชิญของสภาปี้เซวียน ย่อมไม่สามารถดูเจ้าตกยากโดยไม่ใส่ใจ ศิลาวิญญาณข้าจะออกแทนเจ้าก่อน ภายหลังมีโอกาสเจ้าค่อยให้ข้าอีกที”
“อืม” ถังเซิ่นไม่ได้ปฏิเสธ ตอนนี้เขาต้องการวิธีการปิดบังร่างอย่างเร่งด่วนจริง ๆ
“จริงสิ” พูดเรื่องนี้เสร็จ โม่เทียนเกอถามขึ้นมาว่า “สภาปี้เซวียนยังดีอยู่ไหม”
พูดถึงเรื่องนี้ ถังเซิ่นตื่นเต้นอยู่บ้าง “ตั้งแต่ที่ค้นพบเหมืองศิลาวิญญาณในทะเล แล้วยังเริ่มรับผู้ฝึกตนบุรุษ ความแข็งแกร่งของสำนักเราฟื้นฟูได้เร็วมาก เพียงยังไม่มีผู้ฝึกตนก่อเกิดตานอยู่ชั่วขณะ แต่ว่าขอเพียงซื้อโอสถก่อเกิดตาน ผ่านไปสักหลายสิบปี พวกเราก็จะมีผู้อาวุโสก่อเกิดตานแล้ว!” พูดถึงตรงนี้ ประกายแสงในแววตาของเขาดับวูบ “เพียงแค้นที่ข้าจัดการธุระไม่ดี หายตัวไปสิบกว่าปี ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในสำนักเป็นอย่างไรแล้ว”
“เจ้าสูญเสียข่าวคราวมานานขนาดนี้ เกรงว่าพวกเขาส่งคนออกมาตามหาแต่แรกแล้ว” โม่เทียนเกอถาม “สภาปี้เซวียนที่คุนอู๋น่าจะมีสาขากระมัง”
ถังเซิ่นเอ่ย “มีแค่สาขาเล็ก ๆ ประมาณสิบกว่าคน ระดับการฝึกตนสูงที่สุดเพียงสร้างฐานพลังขั้นต้น”
“เช่นนั้นเจ้าไปติดต่อกับพวกเขาก่อน บอกพวกเขาว่าเจ้าไม่เป็นไร จากนั้นพวกเราอยู่ที่เมืองคุนจงหลายวัน จัดการวิชาเวทเก็บงำลมหายใจให้เจ้า แล้วดูว่ามีโอสถก่อเกิดตานหรือไม่”
ถังเซิ่นลืมตากว้าง ไม่มีศิลาวิญญาณแล้ว เขาอับอายที่จะเปิดประเด็นข้อขอร้องดั้งเดิม ถึงอย่างไรโอสถเหล่านั้นที่ก่อเกิดตานต้องการล้วนราคาสูงเทียมฟ้า คิดไม่ถึงว่าตัวโม่เทียนเกอเองจะพูดมาก่อน เขาจิตใจตื่นเต้น พยักหน้า เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ผู้อาวุโสเยี่ย รอข้ากลับไปก็จะรายงานเรื่องนี้ต่อเจ้าสำนัก ผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งก็จะคืนศิลาวิญญาณให้ รวมถึงของคารวะของปีเหล่านี้ของท่านด้วย”
โม่เทียนเกอผงกศีรษะ “ถึงเวลาเจ้าส่งไปที่โรงเรียนเสวียนชิงตรง ๆ เลยก็ได้ หากข้าไม่อยู่ก็สามารถทิ้งไว้ให้สามีของข้า”
ได้ยินประโยคนี้ ถังเซิ่นตะลึงไป “ผู้อาวุโสเยี่ย ท่าน…… ท่านฝึกตนร่วมสัมพันธ์แล้วหรือ”
เรื่องนี้ไม่ใช่อะไรที่ต้องปิดบังคน โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ พยักหน้า “ปัจจุบันนี้ข้าก่อเกิดตานแล้ว นามเต๋าชิงเวย สามีข้านามเต๋าโส่วจิ้ง หากมีธุระไปหาก็ได้”
ได้ยินคำพูดนี้ ถังเซิ่นบอกไม่ถูกว่าในใจเป็นรสชาติใด เพียงรู้สึกผิดหวังเหมือนหลงทาง พูดตามสัตย์ ต่อโม่เทียนเกอ เขายังเรียกว่ามีความรักไม่ได้ แต่คนที่ร่างหยางบริสุทธิ์อินบริสุทธิ์หลายพันปีจึงปรากฏขึ้นสักคน ปรากฏขึ้นมาแล้วก็ไม่แน่ว่าจะสามารถพบพานเผอิญว่าพวกเขาสองคนมีชีวิตร่วมยุคสมัยกัน อายุห่างกันไม่มาก ถึงแม้โม่เทียนเกอเคยปฏิเสธเขา แต่ในใจเขายังมีความหวังเลือนราง รู้สึกว่าหยางบริสุทธิ์อินบริสุทธิ์ พวกเขาควรจะมีวาสนาต่อกัน แต่ว่าตอนนี้ โม่เทียนเกอพูดว่านางฝึกตนร่วมสัมพันธ์แล้ว พวกเขาสองคนไร้วาสนาแล้วจริง ๆ
“ยินดีด้วยขอรับ” ผ่านไปเนิ่นนาน ถังเซิ่นจึงพูดสองคำนี้ออกมา
โม่เทียนเกอเพียงยิ้มบาง ๆ ลุกขึ้นเอ่ยว่า “สหายเต๋าถัง เจ้าพักผ่อนที่นี่เถิด หากข้ามีธุระจะมาหา”
“อืม” ถังว่นตอบรับคำหนึ่ง แล้วเรียกนางอีกครั้ง “ผู้อาวุโสเยี่ย ปัจจุบันนี้ท่านเป็นผู้อาวุโสก่อเกิดตานแล้ว ข้าก็ไม่กล้ารับคำเรียกสหายเต๋าของท่านแล้ว ได้โปรดเรียกชื่อของข้าก็พอ”
โม่เทียนเกอชะงัก ยิ้มว่า “ได้ พบกันพรุ่งนี้”
“แล้วพบกันขอรับ……”
จิตใจของถังเซิ่น โม่เทียนเกอไม่ได้ไปคิดอย่างละเอียด คนทุกคนล้วนมีจิตใจของตัวเอง หากไม่ได้ทำร้ายนางไม่จำเป็นต้องคิดคำนวนให้มากเกินไป
หนึ่งคืนผ่านไป โม่เทียนเกอไม่ได้ไปงานชุมนุมค้าขายทันที ทว่าสั่งการให้ผู้ดูแลของสาขาสืบถามข่าวของทักษะเก็บงำลมหายใจ สาขาข้างนอกของโรงเรียนเสวียนชิงล้วนอยู่ภายใต้โถงผู้ดูแล นางในฐานะผู้อาวุโสย่อมสามารถออกคำสั่งโถงผู้ดูแลให้ช่วยทำธุระให้นาง
ผู้ดูแลของสาขาที่เมืองคุนจงก็มีช่องทางอยู่บ้าง หลังโม่เทียนเกอสั่งการ เพียงสองวันก็นำข่าวมา ยืนยันว่าทักษะเก็บงำลมหายใจเล่มนั้นเป็นวิชาเวทขั้นสูงจริง ๆ โม่เทียนเกอซื้อมา มอบให้ถังเซิ่น
ผ่านไปอีกหลายวัน ข่าวที่ถังเซิ่นส่งกลับตึกสภามีคำตอบ เดิมทีหลังจากถังเซิ่นสาบสูญ พวกเขาก็เสาะหาอยู่เป็นนาน แต่หาไม่เจอจริง ๆ ได้แต่เพียงนำคำสั่งของเจ้าสำนักไปหาโม่เทียนเกอ ผลคือสิบปีนั้นโม่เทียนเกอเผอิญหายไปอย่างไร้ร่องรายที่ภูเขามาร พวกเขาได้ยินข่าวนี้จากโรงเรียนเสวียนชิง นึกว่าโม่เทียนเกอก็เป็นอย่างคนเหล่านั้นที่สิ้นชีพที่ภูเขามารแล้ว ได้แต่กลับไปอย่างผิดหวัง
ถังเซิ่นจึงได้ทราบเรื่องนี้ รู้สึกประหลาดใจ “ที่แท้ผู้อาวุโสเยี่ยก็ไปภูเขามารหรือ” ตั้งแต่ที่เขาถูกจับก็ไม่ได้ยินข่าวสารของโลกภายนอกอีกเลย
โม่เทียนเกอยิ้ม “อืม ปีนั้นกำแพงอาคมภูเขามารพังทลาย ข้าติดอยู่ข้างในสิบปี”
ถังเซิ่นเอ่ยอย่างเสียดายว่า “หากปีนั้นพวกเราพบกันที่ภูเขามารก็อาจจะไม่ต้องลำบากขนาดนี้แล้ว……”
พวกเขาไปผิดทิศผิดทางจริง ๆ แต่โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าตอนที่นางกับฉินซีพลัดหลงกัน ฉินซีเคยเห็นถังเซิ่น ถังเซิ่นก็ไม่รู้ว่าเขากับสามีของผู้อาวุโสเยี่ยท่านนี้เคยมีชะตาได้พบหน้า ตึกสภาของสภาปี้เซวียนยังนำคำสั่งของเว่ยเฮ่าหลานมา หลังจากพวกเขาได้รับข่าวของถังเซิ่นก็รายงานต่อเว่ยเฮ่าหลาน เว่ยเฮ่าหลานพอรู้ว่าถังเซิ่นกับโม่เทียนเกอล้วนยังมีชีวิตก็ปีติยินดีเป็นที่สุด ส่งข่าวมาขอให้โม่เทียนเกอช่วยพาถังเซิ่นกลับ
โม่เทียนเกอคิดโดยละเอียด ถึงแม้จะได้รับทักษะเก็บงำลมหายใจ ถังเซิ่นก็เพียงแค่เพิ่งจะเรียน การเดินทางนี้ไม่แน่ว่าจะเกิดการผลิกผันอะไรอีก ในเมื่อช่วยชีวิตถังเซิ่นแล้วก็ทำตัวเป็นคนดีส่งเขากลับหลินไห่ให้ถึงที่สุดแล้วกัน จึงตอบรับเรื่องนี้ไป
ด้วยเหตุนี้ นางมอบหมายผู้ดูแลของสาขาที่นี่ให้ส่งข่าวกลับไป แจ้งต่อฉินซีและซือฟุสักคำ
ระดับการฝึกตนของนางในปัจจุบันนี้เป็นก่อเกิดตานขั้นต้นจุดสูงสุดแล้ว เป็นเวลาที่จะไปเดิน ๆ ภายนอก ในเมื่อต้องไปหลินไห่สักรอบก็ออกท่องเที่ยวไปด้วยเลยแล้วกัน ถึงอย่างไรฉินซีกักตนครั้งนี้อย่างน้อยต้องสิบยี่สิบปี
นอกจากนี้ คำพูดของถังเซิ่นเตือนนางเรื่องหนึ่ง สถานที่เฉพาะเจาะจงที่โม่เหยาชิงนั่งละสังขารพวกเขาก็ไม่รู้ ส่วนนางได้รับศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์เป็นเพราะจิตหยั่งรู้เสี้ยวหนึ่งที่ผนึกไว้ที่สกุลโม่โลกปุถุชน เช่นนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าสถานที่ซึ่งนางนั่งละสังขารจริง ๆ ก็คือหมู่บ้านสกุลโม่ ไม่ใช่ทิ้งจิตหยั่งรู้ที่หมู่บ้านสกุลโม่แล้วกลับหลินไห่จึงนั่งละสังขาร?
ด้วยมีความเห็นนี้อยู่ โม่เทียนเกอเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ตั้งแต่ที่จากมานางก็ไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้านสกุลโม่ ไม่สู้ไปหมู่บ้านสกุลโม่เสาะหาเงื่อนงำของโม่เหยาชิง? ปัญหาวิชาเวทขัดแย้งกันของร่างอินบริสุทธิ์กับต้นกำเนิดรากวิญญาณตอนนี้นางไม่อาจแก้ไข แต่นางเคยเห็นบันทึกของโม่เหยาชิง บรรพบุรุษท่านนี้ถึงจะเป็นสตรี แต่เป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมจนชวนตะลึง ไม่แน่ว่าจะทิ้งอะไรเอาไว้ สามารถชี้แนะนาง
หลังจากคิดอย่างนี้ โม่เทียนเกอมีการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ให้ถังเซิ่นอยู่ที่เมืองคุนจงไปก่อน นางกลับโลกปุถุชนหนึ่งรอบ หากเสาะพบเงื่อนงำก็ดี หาไม่พบค่อยไปหาดูที่หลินไห่อีกที
………………………………
คำว่าผู้อาวุโสเยี่ยกับผู้อาวุโสจิ่ง “ผู้อาวุโส” ความจริงเป็นคำจีนคนละตัวกันเลยค่ะ ผู้อาวุโสเยี่ย ใช้คำผู้อาวุโสที่เป็นตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนัก ส่วนผู้อาวุโสจิ่งใช้คำศัพท์ที่แปลว่าคนมีศักดิ์เหนือกว่า ผู้อาวุโสแรกใช้คู่กับศิษย์ ผู้อาวุโสหลังใช้คู่กับผู้เยาว์ เมื่อก่อนเราก็ผู้อาวุโส ๆ มาโดยไม่ได้สังเกตว่ามันมีสองตัวจีน แต่ตอนนี้มีสองแบบมาเทียบกันเลยเห็นแล้ว แต่ก็ไม่มีคำแปลอื่นนอกจากผู้อาวุโสอะ…… ถ้าแปลตรง ๆ ผู้อาวุโสแบบหลังจะแปลว่า รุ่นก่อนกับรุ่นหลัง เวลาพูดแบบเป็นบุคคลที่สามบางที่เราก็แปลเป็นคนรุ่นก่อนบ้างเหมือนกันค่ะ