ตอนที่ 326 – คืนสู่โลกปุถุชน

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 326 – คืนสู่โลกปุถุชน

โม่เทียนเกอเหยียบรองเท้าย่ำเมฆา ก้มหน้าทอดมองเมืองเล็กเบื้องล่าง

นี่เป็นเมืองที่เล็กยิ่ง มีแค่ถนนหลายสาย สองข้างทางกระจายไปด้วยร้านแผงลอย คนที่เดินไปมาก็ไม่มาก ส่วนใหญ่แล้วเป็นชาวนาชาวบ้าน

นางกวาดตามอง ค้นหาร่องรอยอันคุ้นเคย

โรงเตี้ยมแห่งนั้น ร้านบะหมี่ร้านนั้น ธงอักษรชาที่ชูสูงข้างสะพานเจิ้นโข่วนั้น……

คล้ายกับเวลาไหลย้อนกลับไปเก้าสิบปี

ติดตามถนนเล็ก ๆ เส้นนั้นออกจากเมือง ไม่ไกลนักก็ถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง

ทิศตะวันออกของหมู่บ้านกระจายไปด้วยบ้านเรือนหลายหลัง แม่น้ำไหลคดเคี้ยว ควันไฟลอยเป็นสาย

นี่เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใต้สังกัดอาณาจักรจิ้นเหลียนเฉิง ทั้งหมู่บ้านมีคนเพียงสามสี่ร้อยคน ในโลกปุถุชนสามัญธรรมดามาก

แต่ที่นี่กลับมีความหมายสำหรับนางไม่เหมือนกัน

นี่เป็นบ้านเกิดของนาง นางถือกำเนิดและเติบโตที่นี่ ภายใต้การดูแลของมารดาก็เคยมีวัยเด็กอันมีความสุข

เก้าสิบปีไหลผ่านดั่งสายน้ำ รั้งไม่อยู่เช่นหมอกควัน เด็กหญิงน้อย ๆ ในปีนั้นปัจจุบันนี้เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้ว คนในปีนั้นล้วนกลายเป็นกระดูกหนึ่งกอง ดินเหลืองหนึ่งกำ

นางมองดูบ้านในเรือนเล็ก ๆ หลังนั้นซึ่งอยู่ทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ทาสีใหม่ กระเบื้องหลังคาเปล่งประกาย มีฟู่เหรินกวาดพื้นในเรือน – นางย่อมไม่รู้จัก

มารดาจากไป นางก็จากจร บ้านนี้จะต้องมอบให้ญาติสักคนกระมัง เรือนยังคงเป็นเรือนหลังนั้น แต่ก็หาบ้านที่อยู่ในความทรงจำไม่เจอแล้ว

นางถอนหายใจเบา ๆ หลับตาลง

เซียนปุถุชนมีข้อแตกต่าง ไท่ซ่างจิตนิ่งเฉย นางจะไม่หมกมุ่นกับเรื่องอดีตแล้ว แต่มองเห็นร่องรอยวัยเยาว์ยังคงอดมีความโศกเศร้าบางเบาในส่วนลึกของจิตใจมิได้

ตะวันตกของหมู่บ้านยังคงเป็นโถงบรรพบุรุษหลังนั้นตั้งตระหง่าน ถึงจะมีร่องรอยปรับปรุงอาคาร แต่กำแพงยังคงเก่าคร่ำคร่าไปมาก นางก้าวเท้า อดอยากจะไปดูสักหน่อยไม่ได้ ที่นั่นยังคงมีฟูจื่อชราที่ไม่ชอบพูดไม่ชอบยิ้มหนึ่งคนกับห้องสมุดแคบเล็กหนึ่งห้องหรือไม่

ในห้องสมุดเล็ก ๆ นั้น นางได้เรียนรู้ถึงโลกฝึกเซียนนี้เป็นครั้งแรก เดินไปบนเส้นทางสายนี้……

เมื่อเห็นนางเข้าหมู่บ้าน ชาวบ้านมากมายวิ่งออกมาจากในบ้าน ชี้นิ้ว แต่กลับไม่มีกำลังขวัญจะเดินมาข้างหน้า

ชุดเต๋าบนร่างนางไร้ฝุ่นธุลี ดวงหน้าดุจภาพเขียน ลักษณะสูงส่ง ดุจเซียนจุติสู่โลกหล้า ไม่เหมือนกับพวกเขาเหล่าชาวบ้านโดยสิ้นเชิง

นางเดินไปตามถนนเล็ก ๆ ของหมู่บ้าน เดินผ่านกาลเวลาเก้าสิบปี เด็กหญิงเล็ก ๆ ที่ผอมแห้งอ่อนแอไม่ต่างกับชาวบ้านเหล่านี้เลยได้กลายมาเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานผู้มีลักษณะสูงส่งผู้หนึ่งแล้ว

นางผลักเปิดประตูของห้องโถงใหญ่โถงบรรพบุรุษ

ครั้งนี้ ในที่สุดมีคนวิ่งมาอย่างแตกตื่น อยากจะขัดขวางนาง “กูเหนียงท่านนี้ นี่เป็นโถงบรรพบุรุษของสกุลโม่เรา สตรีไม่อาจเข้า……” เผชิญหน้ากับนาง แม้แต่จะพูดกลับยังพูดไม่คล่อง ถึงตอนท้ายกลายเป็นตะกุกตะกัก

“ข้าเพียงกลับมาดูสักหน่อย” นางพูดเสียงแผ่วเบา ก้าวเข้าธรณีประตูของห้องโถงใหญ่

ห้องโถงใหญ่หลังนี้ไม่อนุญาตให้สตรีเข้ามา นางเพียงเคยเข้าไปหนึ่งครั้ง กลับเปลี่ยนชะตาชีวิตของนาง

ภายใต้แรงกดดันอันไร้สภาพของผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน คนที่ขัดขวางผู้นั้นไม่กล้าเดินขึ้นหน้าตั้งแต่ต้นจนจบ มองดูนางย่างเข้าไปตาปริบ ๆ มองดูนางยืนอยู่เบื้องหน้าป้ายวิญญาณบรรพบุรุษ มองดูนางยื่นมือออกไปสัมผัสบนป้ายวิญญาณหนึ่งในนั้น

ถึงแม้สตรีจะไม่สามารถเข้าโถงบรรพบุรุษ แต่มารดาแต่งเขยเข้า ป้ายวิญญาณหลังตายยังคงบูชาอยู่ในโถงบรรพบุรุษ

เวลานั้น นางยังไม่ได้ยืนยันการตายของบิดา ดังนั้นมีเพียงป้ายวิญญาณของมารดาอยู่โดดเดี่ยว หลายปีนี้เกรงว่าก็คงจะไร้คนกราบไหว้

มารดา ท่านอยู่ที่นี่คนเดียวรู้สึกเหงามากหรือไม่ บุตรีพาท่านไปฝังร่วมกับบิดา ดีหรือไม่

นางออกเสียงในใจ เผยรอยยิ้มบาง ๆ สะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ฝุ่นละอองบนป้ายวิญญาณหายไป จากนั้นเก็บป้ายวิญญาณเข้ากระเป๋าเอกภพ

“กูเหนียง!” คนผู้นั้นตระหนกจนหน้าถอดสี “ท่าน……”

“ไม่ต้องแตกตื่น” นางเงยหน้า ส่งยิ้มให้คนผู้นั้น “ข้าเป็นลูกหลานสกุลโม่ นี่เป็นวิญญาณของมารดาข้า วันนี้ตั้งใจมารับ”

ได้ยินคำพูดนี้ คนผู้นั้นตะลึงงัน พูดไม่เป็นภาษา “ท่าน……”

นี่เป็นชายย่างวัยชราอายุห้าหกสิบปี ใคร่ครวญถึงเด็กทุกคนที่เคยผ่านตาในหมู่บ้าน แต่สตรีเบื้องหน้านี้กลับแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิง กูเหนียงที่คล้ายกับสตรีเซียนเช่นนี้เป็นลูกหลานสกุลโม่หรือ

โม่เทียนเกอหันหน้ากลับ มองไปทางตำแหน่งสูงสุดนั้น

ที่ของโม่เหยาชิง บนป้ายวิญญาณหยกนั้นมีเพียงห้าตัวอักษรนี้ ไม่มีตำแหน่งอันใด แต่ว่าเรื่องที่บรรพบุรุษมิใช่ปุถุชนเกรงว่าลูกหลานในปัจจุบันนี้คงจะไม่ทราบหรอกกระมัง? แต่ไม่รู้ว่าบนป้ายวิญญาณนี้มีความเร้นลับอะไร……

นางใคร่ครวญครู่หนึ่ง ยกมือขึ้นเบา ๆ ป้ายหยกลอยผ่านอากาศตกลงบนมือ

เมื่อเห็นฉากนี้ ชายย่างวัยชราที่เดิมทีขัดขวางนางคนนั้นกลับตระหนกจนหน้าถอดสี “ท่าน……ท่าน……กูเหนียง ท่านเป็นมนุษย์เซียนหรือ”

โม่เทียนเกอชะงัก เบนสายตามา “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

ชายย่างวัยชรามองดูตำแหน่งที่ถูกนางหยิบป้ายวิญญาณไปอีกครั้ง ตกตะลึงขึ้นมาทันใด “ท่านคือ ท่านคือ……”

โม่เทียนเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้ารู้ว่าข้าเป็นใครหรือ”

ชายย่างวัยชราสูดลมหายใจคำหนึ่ง จู่ ๆ คุกเข่าลงโขกศีรษะ “โม่อีเจี่ยน้อมพบท่านย่าสอง”

ท่านย่าสอง? คำเรียกขานนี้ทำให้โม่เทียนเกอเหม่อลอยไปชั่วพริบตาหนึ่ง คิดดูอย่างละเอียด ในเด็กหญิงรุ่นเดียวกันของวงศ์ตระกูลของปีนั้นนางเป็นอันดับสองจริง ๆ เทียนเฉี่ยวเป็นหลานสาวคนโต นางเป็นหลานสาวคนรอง

นางยิ้มบาง ๆ “เก้าสิบปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าถึงกับจะมีคนที่จดจำข้าได้”

ชายย่างวัยชรานั้นเงยหน้ามองนางอย่างเลื่อมใส เอ่ยว่า “ท่านย่าสองถูกมนุษย์เซียนพาไปในปีนั้นเป็นเรื่องที่พวกเราทั้งหมู่บ้านล้วนทราบ ท่านย่าสองโปรดรอตรงนี้สักครู่ ข้า ข้าจะไปเชิญท่านปู่ใหญ่”

ท่านปู่ใหญ่? โม่เทียนเกอยังไม่ทันได้ถาม ชายย่างวัยชราผู้นี้ก็คลานขึ้นมาตัวสั่นเทาแล้ววิ่งออกไปอย่างรีบร้อนแล้ว

ตามคำเรียกขานของชายย่างวัยชรานี้ นางน่าจะโตกว่าเขาสองรุ่น ท่านปู่ใหญ่ก็เป็นคำเรียกขานที่โตกว่าสองรุ่น หรือว่าคนสกุลโม่รุ่นนางยังมีชีวิตหรือ

โม่เทียนเกอรู้สีกว่าคาดไม่ถึงอยู่บ้าง แต่ว่ารอประเดี๋ยวนางก็จะทราบคำตอบแล้ว นางยิ้มแล้วก้มหน้ามองป้ายวิญญาณของโม่เหยาชิง

ป้ายวิญญาณนี้ทำจากหยก อีกทั้งเป็นหยกที่มีวิญญาณ ตอนที่ไปจากหมู่บ้านสกุลโม่นางยังเด็ก ไม่รู้จักดูตรวจสอบ แล้วก็สัมผัสไม่ได้ว่าตรงนี้มีกำแพงอาคมขนาดเล็กหนึ่งอันคงอยู่

กำแพงอาคมนี้ประณีตเป็นพิเศษ หากมิใช่ว่านางเชี่ยวชาญม่านพลังถึงสิบส่วนแล้วยังเคยเห็นฝีมือของโม่เหยาชิง เกรงว่าด้วยระดับการฝึกตนในปัจจุบันก็ยากมากจะมองทะลุในแวบเดียว เพียงถือว่านี่เป็นหยกที่มีพลังวิญญาณทั่วไปก้อนหนึ่งเท่านั้น

นางยิ้มบาง ๆ รวบรวมพลังวิญญาณที่ปลายนิ้วทะลวงเข้าไปในป้ายหยก

ป้ายหยกอันเป็นของแข็งดุจจะกลายเป็นละอองน้ำ นางคีบแผ่นหยกหนึ่งชิ้นออกมา ส่วนป้ายหยกสมบูรณ์ไร้รอยขีดข่วน

หลังจากหยิบแผ่นหยกออกมา พลังวิญญาณบนป้ายจางหายไปแล้วกว่าครึ่ง โม่เทียนเกอยกมือ เอาป้ายวิญญาณของโม่เหยาชิงกลับไปวางที่เดิม แผ่นหยกเข้าเก็บเข้ากระเป๋าเอกภพของตนเอง

คนที่อออยู่ตรงประตูโถงบรรพบุรุษยิ่งมายิ่งมาก เหล่าชาวบ้านของหมู่บ้านสกุลโม่พวกนี้เห็นว่ามีสตรีเข้าโถงบรรพบุรุษเป็นครั้งแรก โม่อีเจี่ยที่คุ้มกันโถงบรรพบุรุษไม่เพียงไม่ขวาง ยังโขกศีรษะให้นาง พวกเขาล้อมประตูใหญ่โถงบรรพบุรุษชี้นิ้วใส่โม่เทียนเกอเดาตัวตนของนางเสียงเบา ๆ แต่ไม่กล้าเข้ามา

“ท่านปู่ทวด ท่านปู่ทวดมาแล้ว” ในกลุ่มคนเกิดเสียงเอะอะ

“ท่านปู่ใหญ่” เสียงอันตื่นเต้นของโม่อีเจี่ยดังออกมา “ตรงนี้ ท่านย่าสองอยู่ตรงนี้”

กลุ่มคนถูกแหวกทาง ชายชราผิวหนังเหี่ยวย่นตัวสั่นง่ก ๆ ผู้หนึ่งซึ่งชราจนแทบจะเดินไม่ไหวถูกพยุงเข้ามา เมื่อเห็นเขาเดินมา ทุกคนล้วนถอยไปอย่างเคารพ

ชายชราเงยหน้า สายตาฝ้าฟางจับจ้องโม่เทียนเกอเป็นนาน สีหน้าตกตะลึง เดินมาใกล้ตัวสั่นเทา “เทียนเกอ…… เจ้าคือเทียนเกอหรือ”

ในความทรงจำเสาะหาร่องรอยอันใดไม่เจอ แต่ชายชราเบื้องหน้ากลับทับซ้อนกับท่านปู่ในสมอง

โม่เทียนเกอทอดมองผู้ชราที่ประดุจไม้ใกล้ฝั่งนี้ เอ่ยปากเสียงค่อยว่า “เจ้า……คือเทียนจวิ้นหรือ”

น้ำตาขุ่นมัวของชายชราไหลออกมา “ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว……”

โม่เทียนเกอสูดลมหายใจเข้าลึก เทียนจวิ้น……เทียบกับนางแล้วยังแก่กว่าสองปีกระมัง? นางปัจจุบันนี้เก้าสิบแปดแล้ว เทียนจวิ้นน่าจะหนึ่งร้อยปี ถึงกับยังมีชีวิตหรือ

“เทียนจวิ้น เจ้ายังสบายดีหรือ” ทอดมองผู้ชราที่แม้แต่ถนนยังก้าวเดินไม่ไหวผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้า โม่เทียนเกอหลุดถอนหายใจคำหนึ่ง กลับสู่โลกปุถุชนครานี้คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่ายังจะได้พบคนรู้จัก ยังนึกว่าเก้าสิบปีผ่านไป ผู้คนจะเป็นทะเลกลายเป็นท้องทุ่งไปแล้ว

“ข้า……ดีมาก มีชีวิตถึงหนึ่งร้อยปี ดีมาก……ดีมาก……” โม่เทียนจวิ้นปาดน้ำตาของตนเองตัวสั่นเทา “คนชราแล้ว ก็เลย……ตื่นเต้นได้ง่าย”

ปีนั้น พวกเขาล้วนยังเป็นเด็ก เขาชอบรังแกน้องสาวคนนี้เสมอ ชอบดึงหางเปียของนางเสมอ ภายหลังโตขึ้นมาหน่อยจึงรู้ว่าสำหรับน้องสาวคนนี้ก็ควรจะรักถนอมบ้าง แต่ไม่ทันไรนางก็ไปแล้ว ไปแล้วไม่หวนกลับมา

ปัจจุบันนี้เขาชราแล้ว ขาข้างหนึ่งเข้าไปอยู่ในโลง ส่วนนางในที่สุดก็กลับมาแล้ว แต่ยังคงอ่อนเยาว์สดใส

เขาปาดน้ำตา จู่ ๆ คิดถึงเรื่องหนึ่ง เอ่ยว่า “จริงสิ เทียนเฉี่ยว……เทียนเฉี่ยวนางก็ไปโลกของพวกเจ้า เจ้ารู้ไหม……”

สายตาของโม่เทียนเกอมืดครึ้มลง การตายของเทียนเฉี่ยวเป็นความเสียใจชั่วชีวิตของนาง

“ข้าเคยพบนาง……” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “แต่ว่า จากไปแล้ว”

“จริงหรือ” โม่เทียนจวิ้นถอนหายใจคำหนึ่ง แต่ไม่ได้รู้สึกเศร้าใจมากนัก เขามีชีวิตมาถึงอายุเท่านี้แล้ว เห็นการพลัดพรากตายจากมากมาย เคยชินกับการจากโลกนี้ไปของญาติข้างกายแล้ว อย่าว่าแต่บิดามารดาพี่น้อง แม้แต่บุตรธิดาของตนเองก็ล้วนจากไปแล้ว รุ่นหลานก็เริ่มชรา…… เขาไม่รู้เลยว่าตนเองมีชีวิตมานานขนาดนี้ได้อย่างไร “เทียนเฉี่ยวมิใช่มนุษย์เซียน เข้าเดาแต่แรกว่านางคงจะจากโลกนี้ไปแล้ว……”

โม่เทียนเกอไม่ได้อธิบาย ให้เขานึกอย่างนี้ก็ดี เขาชราขนาดนี้แล้ว มีการเตรียมใจไว้แต่แรก ไยจะต้องทำให้เขาเศร้าใจขึ้นมาอีกเล่า

“เทียนเกอ เจ้า……เจ้าเป็นมนุษย์เซียนแล้วกระมัง”

ได้ยินคำพูดนี้ โม่เทียนจวิ้นยังไม่ทันพูดจา ชายหนุ่มที่พยุงตัวเขามาโดยตลอดคนนั้นก็คุกเข่าลงทันใด “ท่านย่าทวด ในเมื่อท่านเป็นเทพเซียนแล้ว ท่านได้โปรดช่วยชีวิตท่านปู่ทวดด้วยเถิดขอรับ ท่านปู่ทวดเขา……”

ชายหนุ่มนี้พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง โม่เทียนเกอยกมือขึ้นสกัดคำพูดถัดไปแล้ว “เจ้าไม่ต้องพูดมาก ท่านปู่ทวดของเจ้าในฐานะปุถุชนมีชีวิตมาถึงร้อยปีเป็นสวรรค์เบื้องบนเมตตาแล้ว ข้าสามารถทำให้เขาร่างกายแข็งแรง แต่ไม่อาจเปลี่ยนวัฏจักรความเป็นความตายของเขา”

“ท่านย่าทวด……”

“ซิ่นเอ๋อร์!” โม่เทียนจวิ้นตะคอก ถึงเขาจะชราแล้ว น้ำเสียงแคบเครือ แต่ยังมีบารมี ชายหนุ่มนี้ไม่กล้าพูดอีกทันที

โม่เทียนจวิ้นมองไปทางโม่เทียนเกอ กล่าวว่า “คนมีเกิดแก่เจ็บตาย ข้ามีชีวิตมานานขนาดนี้ พึงพอใจแล้ว แต่ลูกหลานสกุลโม่เหล่านี้…… เทียนเกอ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคนฝึกเซียนต้องการรากวิญญาณอะไรนั่น มีรากวิญญาณจึงมีวาสนาฝึกเซียน วันนี้ข้าขอหน้าด้านขอร้องเจ้าสักคำ ลูกหลานสกุลโม่ของพวกเราหากมีรากวิญญาณนี่ เจ้าโปรดหยิบยื่นวาสนาให้พวกเขาสักหน่อยด้วย”

คนชราแล้วคำพูดจะช้า โม่เทียนจวิ้นพูดนานขนาดนี้ก็เหนื่อยแล้ว ชายหนุ่มนั้นรีบลุกขึ้นพยุงเขา

โม่เทียนเกอกวาดมองชายหนุ่มนี้หนึ่งที ยิ้มบาง ๆ “เอาเถิด ข้าก็เป็นลูกหลานสกุลโม่ เรื่องที่ลำบากเพียงยกมือย่อมสมควรแล้ว แต่จะมีหรือไม่มีวาสนาเซียนกลับไม่ใช่สิ่งที่ข้าสามารถกำหนด ภายในวันนี้ ลูกหลานสกุลโม่ทุกคนสามารถมาลองดูว่ามีวาสนาเซียนหรือไม่ที่นี่ หากมี ข้าจะพาเขาเดินบนเส้นทางเซียน หากไม่มี เช่นนั้นก็ยุติความคิดเสีย”

………………………………..

ตอนที่ 327 – ไปหลินไห่อีกครั้ง