ตอนที่ 327 – ไปหลินไห่อีกครั้ง
เผชิญหน้ากับสายตากระตือรือร้นของโม่เทียนจวิ้น โม่เทียนเกอถอนหายใจเบา ๆ แล้วส่ายหน้า
ในการทดสอบครึ่งวัน คนกว่าสี่ร้อยคนของหมู่บ้านสกุลโม่ ไม่มีสักคนมีรากวิญญาณ รวมทั้งทารกที่เพิ่งถือกำเนิดกับผู้ชราวัยไม้ใกล้ฝั่ง
นี่ก็เป็นเรื่องที่ปกติสามัญเป็นอย่างยิ่ง ในปุถุชน ผู้ที่มีรากวิญญาณในหมื่นคนยากจะมีสักคน ถึงแม้ว่าบรรพบุรุษสกุลโม่เดิมจะเป็นผู้ฝึกเซียนก็ตาม ทายาทของโม่เหยาชิงกับจงมู่หลิงสองผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ในปีนั้นก็ไม่มีรากวิญญาณเช่นกัน อย่าว่าแต่ผ่านไปหลายรุ่นขนาดนี้ ปัจจัยด้านพันธุกรรมถูกสายเลือดเจือจางไปแต่แรกแล้ว อย่างนางที่ทั้งมีร่างอินบริสุทธิ์ทั้งมีรากวิญญาณ หลายพันปีมานี้เกรงว่าก็มีเพียงคนเดียว
โม่เทียนจวิ้นสีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง บ่นพึมพำว่า “สรุปว่ายังคงไม่มีหรือ……”
โม่เทียนเกอเอ่ยปลอบใจว่า “รากวิญญาณเดิมเป็นสิ่งที่ในหมื่นคนไม่มีสักคน ไม่มีก็เป็นเรื่องปกติ ถึงแม้จะมีรากวิญญาณ หากคุณสมบัติย่ำแย่ การก้าวไปบนเส้นทางเซียนก็ยิ่งกว่ายากลำบาก มิสู้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในโลกปุถุชนจะดีกว่า”
แต่คำปลอบใจเช่นนี้จะสามารถทำให้โม่เทียนจวิ้นปล่อยวางได้อย่างไร ตั้งแต่ที่เทียนเกอถูกมนุษย์เซียนพาไป น้องสาวก็ติดตามน้องเขยผู้ฝึกเซียนออกจากบ้าน เขาใฝ่ฝันถึงโลกแห่งนั้นมาโดยตลอด ตนเองไม่ได้ ถึงจะเป็นลูกหลานก็ยังดี
โม่เทียนเกอเมื่อเห็นก็ใคร่ครวญเล็กน้อย ล้วงจานห้าธาตุใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ วางไว้บนโต๊ะบูชาของโถงบรรพบุรุษ ตัดจิตหยั่งรู้นิดหน่อยประทับทักษะเวทหนึ่งทักษะลงไปด้านบน
“ข้าสามารถเดินไปบนเส้นทางเซียนเดิมทีเป็นความเมตตาที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ วันนี้ข้าก็จะทิ้งวัตถุนี้ ลูกหลานสกุลโม่ทุกคนไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนสามารถมาที่นี่เพื่อทดสอบรากวิญญาณ หากมีผู้ที่ครอบครองรากวิญญาณ ถึงแม้จะห่างไกลเป็นหมื่นลี้ ข้าก็จะสามารถสัมผัสได้ ถึงเวลาย่อมจะมารับ”
โม่เทียนจวิ้นฟังแล้วก็ดีใจ “เทียนเกอ ขอบคุณเจ้ามาก”
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ “ข้าก็เป็นลูกหลานสกุลโม่ จะต้องขอบคุณเพื่ออันใด” นางหยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยถึงอีกเป้าหมายหนึ่ง “เทียนจวิ้น ข้ากลับมายังคิดจะย้ายสุสานของมารดาข้าไป”
โม่เทียนจวิ้นตะลึง “นี่……นี่เพราะเหตุใด”
“ข้าเสาะพบอัฐิของบิดาข้าแล้ว อยากจะให้พวกเขาฝังร่วมกัน”
โม่เทียนจวิ้นเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ฝังที่นี่ มิใช่เหมือนกันหรอกหรือ”
โม่เทียนเกอถอนหายใจ เอ่ยว่า “เซียนปุถุชนมีข้อแตกต่าง หลังจากจากไปครานี้ ข้าน่าจะไม่มาเหยียบโลกปุถุชนอีกแล้ว ดังนั้น อยากจะให้พวกเขาอยู่ใกล้ชิดข้าหน่อย”
“……” โม่เทียนจวิ้นนิ่งเงียบไป เขามีชีวิตมาหนึ่งร้อยปีแล้ว แล้วก็เคยเห็นผู้ฝึกเซียนหลายคน รู้เรื่องของโลกฝึกเซียนบางส่วนจากปากพวกเขา เขารู้ว่าสำหรับผู้ฝึกเซียน ญาติและวงศ์ตระกูลเดิมทีก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น สิ่งที่รวมพวกเขาไว้ด้วยกันนอกจากสายเลือด สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือผลประโยชน์ ถึงแม้จะเป็นในหมู่พวกเขา คนที่ตั้งใจจะกลับมาเพื่อสุสานของบิดามารดาอย่างเทียนเกอก็น้อยมาก ตอนนี้เทียนเกออยากจะย้ายอัฐิของมารดาออกจากสุสานบรรพบุรุษ เขาไม่มีเหตุผลจะขัดขวาง หลายปีมานี้ สุสานของอาหญิงสี่ไร้คนดูแลมาโดยตลอด มีเพียงตอนที่เขานึกขึ้นมาเป็นครั้งคราวจึงจะเรียกให้รุ่นหลานไปทำเก็บกวาดวัชพืช
“อย่างนี้……ก็ดี” เนิ่นนานให้หลัง เขาพยักหน้าอย่างหนักอึ้ง “อาเขยสี่มิใช่ปุถุชน อาหญิงสี่ทุกข์ตรมมาทั้งชีวิตแล้ว หลังตายสามารถร่วมฝังย่อมเป็นเรื่องดี อีกอย่าง พวกเจ้าเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าอยากจะย้ายไป ข้าก็ไม่มีเหตุผลจะขัดขวาง”
หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงตอนย่ำค่ำ ชายหนุ่มสกุลโม่ทำตามคำสั่งของโม่เทียนจวิ้น ส่งโถบรรจุอัฐิถึงมือโม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอรับอัฐิมาแล้วก็ลุกขึ้น “เอาล่ะ ข้าก็ควรจะไปแล้ว”
โม่เทียนจวิ้นลุกขึ้นอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ “ข้าจะส่งเจ้า” การส่งนี้เกรงว่าจะเป็นการจากลาตลอดกาลแล้ว
โม่เทียนเกอประคองเขาอย่างอ่อนโยน พลังวิญญาณสายหนึ่งไหลจากปลายนิ้วสอดแทรกไปยังร่างของโม่เทียนจวิ้น โม่เทียนจวิ้นตัวเกร็งขึ้นมา ภายหลังกลับเป็นความเบาสบายไปทั้งร่างอย่างกับอ่อนวัยลงไปหลายสิบปี “นี่คือ……”
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “ถึงข้าจะเป็นผู้ฝึกเซียน แต่มรรคาแห่งการเวียนว่ายตายเกิดยังคงมิใช่สิ่งที่ข้าจะสามารถเปลี่ยนแปลง แต่ว่า มีพลังวิญญาณนี้คุ้มครองกาย จนถึงตอนที่เจ้าสิ้นอายุขัยจะต้องมีร่างกายแข็งแรง ไร้โรคไร้ภัย”
จากนั้น นางกวาดสายตาไปโดยรอบ โบกมือเบา ๆ ประตูใหญ่ของโถงบรรพบุรุษปิดลงโดยไร้ลม นางหยิบกล่องหยกใบหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ ยื่นให้โม่เทียนจวิ้น “ในนี้เป็นเครื่องรางวิญญาณหนึ่งแผ่นและวิชาเวทขั้นพื้นฐานหนึ่งเล่ม รวมทั้งสิ่งของจิปาถะเล็กน้อย ถ้าหากในลูกหลานสกุลโม่มีคนตรวจพบรากวิญญาณ ทว่าข้าไม่ได้กลับมา พวกเจ้าก็เผาเครื่องรางนี้ สมมติว่ายังไม่มีคน เช่นนั้นก็แปลว่าข้านั่งละสังขารแล้ว แม้แต่การสืบทอดก็ตัดขาด ถึงเวลาก็มอบสิ่งของข้างในให้คนที่มีรากวิญญาณ ให้เขาเสาะหาเส้นทางเซียนเอาเอง”
โม่เทียนจวิ้นรับมาอย่างตื่นเต้น “ได้ ๆ ……”
“บนกล่องหยกนี้ ข้าลงกำแพงอาคมเอาไว้ หากมิใช่ลูกหลานสกุลโม่ไม่มีทางเปิดออก สิ่งนี้จะต้องเก็บรักษาให้ดี ๆ ห้ามมิให้แพร่งพรายออกไปโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นอาจจะชักจูงเคราะห์ภัยถึงแก่ชีวิตมา จงจำเอาไว้”
โม่เทียนจวิ้นรับคำอย่างเคร่งขรึม เก็บซ่อนสิ่งของนี้อย่างระมัดระวัง
จากนั้น โม่เทียนเกอเอ่ยลาโม่เทียนจวิ้น ท่ามกลางสายตาของสกุลโม่ทุกคน ก่อเกิดเมฆที่ใต้เท้า บินขึ้นไปกลางอากาศ นางทอดมองหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้กลางอากาศเป็นครั้งสุดท้าย จนในที่สุดกลายเป็นแสงหลบหนีสายหนึ่งหายลับไปยังขอบฟ้า
ส่วนพวกชาวบ้านของหมู่บ้านสกุลโม่ยังคงจับจ้องกลางอากาศอย่างทึมทื่อ
“มนุษย์เซียน นี่ก็คือมนุษย์เซียนล่ะ!”
“พ่อ ข้าก็อยากกลายเป็นเซียน!”
“เจ้าที่เป็นเด็กหญิงชาวบ้านจะกลายเป็นเซียนอะไร? รีบไปจุดไฟ!”
“ทำไมข้าจะกลายเป็นเซียนไม่ได้ ท่านย่าทวดก็เป็นสตรี ท่านปู่ทวดบอกว่าตั้งแต่วันนี้เด็กผู้หญิงก็สามารถเข้าโถงบรรพบุรุษแล้ว!”
“ท่านย่าทวดคือท่านย่าทวด เจ้านึกหรือว่าใคร ๆ ก็สามารถกลายเป็นเซียนได้ ยังไม่เชื่อฟังอีก……”
คำพูดพวกนี้ โม่เทียนเกอไม่ได้ยินแล้ว นางยืนบนรองเท้าย่ำเมฆา หยิบแผ่นหยกแผ่นนั้นออกมา แทรกจิตหยั่งรู้เข้าไป
ชั่วครู่ให้หลัง นางถอนจิตหยั่งรู้ ยิ้มบาง ๆ
ลางสังหรณ์ของนางไม่ได้ผิด โม่เหยาชิงทิ้งข้อความของการนั่งละสังขารไว้ที่หมู่บ้านสกุลโม่ตามคาด นางบอกในแผ่นหยกว่า นางรู้ตัวว่าอายุขัยเหลือไม่มาก จึงกลับมาที่หมู่บ้านสกุลโม่ทิ้งโอกาสก้าวเข้ามรรคาเซียนให้ชนรุ่นหลังสกุลโม่ แล้วทิ้งแผ่นหยกนี้ไว้ในป้ายหยก อธิบายแผนการของตนเอง
ภายหลังนางวางแผนจะกลับไปที่หลินไห่ จัดการเรื่องราวภายหลัง แต่สถานที่นั่งละสังขารซึ่งเตรียมเอาไว้แล้วกลับมิใช่ภายในสภาปี้เซวียน ทว่าเป็นสถานที่ลับแห่งหนึ่งซึ่งตนเองค้นพบโดยบังเอิญในอดีต
ที่สภาปี้เซวียนนอกจากนางไม่เคยปรากฏผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ออกมาเลย โม่เหยาชิงเป็นอัจฉริยะแห่งยุคถึงเพียงไหน บนตัวมีอาวุธเวทมากมาย พลังอำนาจชวนตะลึง นางกังวลว่าทิ้งอาวุธเวทมากมายนี้เอาไว้แล้วจะเป็นเคราะห์มิใช่โชค ครุ่นคิดอยู่เป็นนานจึงตัดสินใจจะทิ้งอาวุธเวทส่วนหนึ่งสืบทอดให้ลูกศิษย์ อีกส่วนหนึ่งซ่อนไว้ที่สถานที่นั่งละสังขาร จากนั้นทิ้งเบาะแสของถ้ำพำนักในอดีตเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นหลังของสกุลโม่หรือว่าศิษย์ของสภาปี้เซวียน หากมีคนขึ้นถึงจิตวิญญาณใหม่จะสามารถมองทะลุกำแพงอาคมของนาง ค้นพบข้อความ
หลายพันปีผ่านไป เรื่องราวยังคงอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของโม่เหยาชิง โม่เทียนเกออยู่เพียงแค่ระดับก่อเกิดตาน แต่อาศัยจิตหยั่งรู้อันทรงพลังที่ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณขัดเกลาและความเชี่ยวชาญม่านพลังกำแพงอาคม ค้นพบแผ่นหยกนี้
สิ่งที่ทำให้โม่เทียนเกอเพ่งเล็งคือ ในแผ่นหยกนี้บันทึกสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสมุดบันทึกบางอย่าง ตัวอย่างเช่น โม่เหยาชิงเอ่ยถึงประสบการณ์ในการฝึกตนที่มีนางโดยละเอียดถี่ถ้วน ในนี้ไม่เพียงบันทึกการตระหนักรู้ในศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ที่นางฝึกมาหนึ่งพันกว่าปี ยังบันทึกสถานที่ลับที่นางเคยไปบางแห่ง รวมทั้งประสบการณ์โดยละเอียดของตนเอง เหล่านี้ล้วนเป็นข้อความอันล้ำค่า ทั้งหมดถูกนางเก็บซ่อนไว้ในสถานที่นั่งละสังขาร
นี่ทำให้โม่เทียนเกอจิตใจสั่นคลอนไม่รู้แล้ว ต้องทราบว่า สมุดบันทึกของโม่เหยาชิงที่นางได้รับก่อนหน้านี้เป็นเพียงบางสิ่งที่นางบันทึกไปเรื่อยเปื่อย อย่างเช่นการฝึกทักษะเวท การปรับสูตรโอสถ รวมทั้งจินตนาการที่ยังไม่สุกงอมบางอย่าง แต่นางก็หลอมพัดแห่งสวรรค์และโลกาออกมาแล้ว ได้รับผลประโยชน์มหาศาล
ตามที่ระบุบนแผ่นหยกนี้ ประสบการณ์การฝึกตนส่วนนั้นของโม่เหยาชิงเป็นสิ่งที่นางเรียบเรียงแล้วเสร็จหลังจากที่อายุขัยเหลือไม่มาก เช่นนั้นจินตนาการมากมายในนั้นจะต้องครบสมบูรณ์แล้ว! นี่มีค่าเหนือกว่าสมุดบันทึกเล่มนั้นมากมาย อย่าว่าแต่ในประสบการณ์ฝึกตนนั้นยังบันทึกวิธีเข้าออกสถานที่ลับที่นางเคยไปมากมาย ไม่แน่ว่าจะได้ใช้ประโยชน์ในวันใดขึ้นมา
โม่เทียนเกอไม่ได้คิดนานมากก็ตกลงใจได้แล้ว ในเมื่อค้นพบเบาะแส เช่นนั้นนางก็จะไปดูสักหน่อย โม่เหยาชิงทิ้งเบาะแสเอาไว้ เพียงแค่จะต้องเดินตามรอยไป น่าจะไม่มีอันตรายอะไร
เมื่อเป็นดังนี้ การเดินทางไปหลินไห่ของนางครานี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องไปแล้ว
กลับถึงเมืองคุนจง แจ้งต่อผู้ดูแลสาขาที่นี่ของโรงเรียนเสวียนชิงสักคำ โม่เทียนเกอจึงพาถังเซิ่นออกเดินทาง
เกี่ยวกับโอสถที่การก่อเกิดตานต้องการ นางแกล้งทำเป็นสั่งให้ผู้ดูแลของสาขาไปซื้อมาแล้วเอายาไร้ธุลี, ยาใสกระจ่างยิ่งยวด ฯลฯ ที่ตนเองหลอมมอบให้ถังเซิ่น
ถังเซิ่นพบว่าคุณภาพของโอสถเหล่านี้ดียิ่งจึงดีใจยิ่งนัก นึกว่าโม่เทียนเกออาศัยช่องทางพิเศษบางอย่างให้ได้รับโอสถเหล่านี้ รู้สึกขอบคุณไม่รู้แล้ว
โม่เทียนเกอย่อมไม่เผยความจริง ปล่อยให้เขานึกเช่นนี้
มีผู้ฝึกตนก่อเกิดตานนำพา ถังเซิ่นไปถึงบริเวณใกล้เขาอวี้เหิงของคนอู๋ตะวันออกอย่างปลอดภัย – ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขึ้นมาปรากฏตนในโลกปุถุชนน้อย ตอนที่เขามาคุนอู๋ปะเหมาะกับที่ภูเขามารเปิด ผู้ฝึกตนระดับสูงผุดขึ้นมาไม่จบไม่สิ้น จึงได้โชคร้ายตกอยู่ในกำมือของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่
เกี่ยวกับจุดนี้ โม่เทียนเกอก็ได้เอ่ยกับถังเซิ่นว่ามีบางเวลาที่การทำธุระไม่เพียงต้องใคร่ครวญถึงตนเอง ยังค้องใคร่ครวญถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยรอบ สมมติว่าตอนที่เขามาถึงคุนอู๋มิใช่บังเอิญภูเขามารเปิดก็จะไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้นแล้ว
ถังเซิ่นรับฟังอย่างเชื่อฟัง ถึงอายุของเขาจะไม่ได้เด็กกว่าโม่เทียนเกอ แต่ในด้านประสบการณ์และความมีเหตุผลกลับห่างกันไกล เรื่องนี้ตัวเขาเองก็ทราบดี
ตึกสภาของสภาปี้เซวียนตั้งอยู่ใกล้เคียงกับเขาอวี้เหิง ตึกสภาเล็ก ๆ ซึ่งมีคนเพียงสิบกว่าคนนี้ไม่ได้โดดเด่นสะดุดตาเลยสักนิดที่เขาอวี้เหิง คนที่ไม่รู้เพียงถือว่าเป็นร้านค้าเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในร้านค้านี้ขายสินค้าเฉพาะที่มาจากตงไห่บางอย่าง ที่เขาอวี้เหิงก็นับว่าพิเศษ ด้วยเหตุนี้กิจการยังไม่เลว
แต่ถังเซิ่นกลับแจ้งต่อโม่เทียนเกอว่าสิ่งที่ขายในร้านเล็ก ๆ นี้เป็นเพียงวัตถุที่หาได้ทั่วไป วัตถุดิบที่ล้ำค่าอย่างแท้จริงพวกเขาล้วนขายให้สำนักและตระกูลใหญ่บริเวณใกล้เคียงโดยตรง สำหรับสภาปี้เซวียนก็เป็นรายรับที่มิใช่เล็กน้อย
โม่เทียนเกอฟังแล้วจิตใจสั่นไหวอยู่บ้าง ตงไห่มีสินค้าชนิดหนึ่งซึ่งคุนอู๋ไม่มี นั่นก็คือแกนปีศาจของอสูรมารในทะเล แกนปีศาจเหล่านี้กับแกนปีศาจของอสูรมารป่าเขาทางเหนือไม่เหมือนกัน สามารถหลอมเป็นโอสถพิเศษ หากสามารถดำเนินการค้าขายแกนปีศาจของสภาปี้เซวียนกับโรงเรียนเสวียนชิงก็จะเป็นเรื่องดีประการหนึ่ง ถึงอย่างไรมีนางอยู่ โรงเรียนเสวียนชิงจะไม่กดราคาจนต่ำเกินไป ทว่าสำนักอื่นยากจะเลี่ยงมิให้ใช้กำลังกดขี่ผู้คน โรงเรียนเสวียนชิงก็จะมีช่องทางรวบรวมวัตถุดิบเพิ่มขึ้นอีกช่องทางหนึ่ง
แต่ว่าเรื่องนี้ในตอนนี้ก็ไม่ได้รีบร้อน แกนปีศาจมิใช่สิ่งที่อสูรมารขั้นต่ำจะมี และตามข่าวที่ตึกสภาถ่ายทอดมา สภาปี้เซวียนจนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ไร้ความสามารถจะไปล่าแกนปีศาจของอสูรมารในทะเล
หลังไปถึงตึกสภาของสภาปี้เซวียน ท่ามกลางการแสดงความยินดีของผู้ดูแลตึกสภา ท้องสองคนก้าวเข้าไปในม่านพลังเคลื่อนย้าย มุ่งสู่หลินไห่
………………………………….