บทที่ 55 งานเลี้ยงภูตผี

“ยอมแพ้เสียเถอะยัยหนู ร่างของเจ้าถูกลิขิตให้เป็นของข้า….. หากไม่ขัดขืน ข้าจะไม่เอาเจ้าไปเป็นอาหารหนอนกู่ ”

น้ำเสียงอ่อนโยนของชายหนุ่มฟังราวกับเสียงที่เจือด้วยพลังชั่วร้าย หวังให้นางหลงเชื่อคำลวง

ชิงอวี่นัยน์ตาดำมืดลงเล็กน้อย นางใช้เวลาหลายปีกว่าจะผสานวิญญาณเข้ากับร่างเด็กคนนี้โดยสมบูรณ์ แล้วตอนนี้มีคนกล้ามาแย่งร่างนี้ไปจากนาง ฝันไปเถอะ!

“นายหญิง!” เด็กหนุ่มผมทองเกรี้ยวโกรธหนัก หมัดแห่งความพิโรธเมื่อครู่ส่งผลให้ค่ายกลทำงาน ตอนนี้พลังถูกกดไว้ ไม่สามารถปล่อยพลังได้อีก

อินชือเลียริมฝีปากตนอย่างชั่วร้าย ทันใดนั้นเงาร่างในชุดคลุมดำหลายร่างก็ปรากฏขึ้น ภายใต้ชุดคลุมคือโครงกระดูกน่าขนลุก ในเบ้าตากลวงโบ๋คือไฟปีศาจสีม่วงคล้ำ

หุ่นเชิดชายหนุ่มคือสิ่งที่อินชือใช้พลังบำเพ็ญสร้างขึ้นมา ใช้ แก่นเลือดในร่างไปครึ่งหนึ่ง ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าหุ่นเชิดกับนางคือร่างเดียวกัน นางพึ่งพาดวงตาของหุ่นเชิดหนุ่ม ดังนั้นจึงสามารถเห็นเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน

สีหน้าเด็กสาวผู้งดงามหาผู้ใดเทียม ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีเขียวซีดแล้ว ดูราวกับใกล้จะสิ้นใจเต็มทน อินชือปิดความดีใจไว้ไม่ “เหลือใบหน้านางไว้ให้ข้า เมื่อถึงเวลาข้าจะถลกหนังนางออกด้วยมือของข้าเอง!”

หึ! กล้าหัวเราะเยาะดูถูกข้า หาว่าขาอัปลักษณ์หรือ?

นางจะถลกหนังหน้ายัยเด็กนี่ให้กลายเป็นผีไร้หน้าไปเลย!

จั้งไหมมองภาพฉากนั้นแล้วนัยน์ตาสีทองและเงินแทบจะลุกเป็นไฟ เขาเพิ่งตื่นขึ้นไม่นาน ความสามารถต่าง ๆ ยังฟื้นคืนมาไม่ครบ เห็นนายหญิงตนถูกหมิ่นเกียรติเช่นนี้ ในใจก็โกรธเกรี้ยวจนไม่อาจทนได้ อีกนิดไฟแค้นในร่างก็จะปะทุออกมานอกร่าง

เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ตนต้องยืนมองนายหญิงถูกทำร้ายอีกแล้ว

พอกันที ความรู้สึกไร้พลังเช่นนี้

ผ่านมันมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาไม่อาจต้องทนเห็นภาพเช่นนั้นอีกได้เป็นครั้งที่สอง

ทันใดนั้นนัยน์ตาที่หรี่ลงก็ส่องประกายมีดมิดออกมา ราวกับหลุมมืดที่ไร้ที่สิ้นสุด

บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากร่างเขารุนแรงยิ่งขึ้น

“อย่าหุนหันไป ข้าไม่เป็นไร” น้ำเสียงอบอุ่นของเด็กสาวดังข้างหูในพลัน ฟังดูราวกับเสียงดนตรี

จั้งไหมชะงักค้างในทันที จ้องมองเด็กสาวที่หน้าเปลี่ยนสี จากนั้นหลับตาแน่น คิดว่าตนจินตนาการเสียงนางไปเองหรือไม่

หากแต่พริบตาต่อมาก็ได้รับคำตอบ

“เจ้ากล้าชิงร่างข้าหรือ? หากไม่ให้เจ้าชดใช้ ข้าก็ไม่ใช่ชิงอวี่” น้ำเสียงนางเจือด้วยเสียงหัวเราะ หากแต่ชั่วร้ายและเย็นชานัก

ความแค้นแม้เล็กน้อยย่อมต้องชดใช้ นางเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด

ปกตินางอารมณ์ดีอยู่เสมอ หากแต่ผู้ใดกล้าล่วงเกินนาง นางย่อมตามจองล้างจองผลาญจนคนผู้นั้นเสียใจที่ได้เกิดมา!

เหมาะเจาะพอดีเชียว นางไม่เคยลองมันมาก่อน ไม่รู้ว่าการบำเพ็ญวิชาหุ่นเชิดจะเป็นเช่นไร

เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูพลันหลุดออกจากปากหุ่นเชิดชายที่ใบหน้ายังคงสีหน้าละโมบไว้อยู่

สีหน้ายินดีของอินชือพลันชะงักค้าง

ตอนนี้….. เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

“อ๊ากกกกก….. ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! ข้าขอล่ะ! ไว้ชีวิตข้า….. อ๊ากกกกก…..”

เด็กสาวที่เขาคิดว่ากำลังจะสิ้นใจ กลับไม่แสดงสีหน้าทรมานแม้แต่น้อย?

นางใช้มือหนึ่งคว้าวิญญาณหุ่นเชิดที่ลอยอยู่ ไฟสีทองเหลือบแดงในมือเผาผลาญร่างหุ่น เจ้าหุ่นเชิดกรีดร้องโหยหวนไม่หยุด ดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด

“หือ? กรีดร้องทำไมเล่า? อยากชิงร่างข้าไม่ใช่หรือ? มาสิ!” ชิงอวี่เผยรอยยิ้มไร้เดียงสา ทั้งยังช่วยคว้าร่างหุ่นเชิดเข้ามาใกล้ตนยิ่งขึ้น ไฟที่เผาไหม้บนร่างหุ่นยิ่งโหมแรงกว่าเดิม ทั้งยังทะลวงเข้าไปในร่างของมันด้วย

“อ๊ากกกก….. ไม่ไหวแล้ว…… สังหารข้า! สังหารข้าเถอะ!!”

ความเจ็บปวดถึงขีดสุดที่ล้วงลึกถึงกระดูกส่งผลให้หุ่นเชิดหนุ่มกรีดร้องดูน่าสมเพช เป็นภาพที่ไม่อาจทนมองได้ สุดท้ายมันก็ถูกเผาผลาญไปทีละนิดจนกระทั่งไม่เหลือสิ่งใดนอกจากกองเถ้าถ่าน

อินชือหน้าซีดลง ร่างทั้งร่างแข็งค้าง

นางเลี้ยงดูหุ่นเชิดนั่นมาหลายปี ยากลำบากเพียงไหนกว่าจะสร้างเขาขึ้นมาได้ อีกทั้งเขายังอยู่เคียงข้างนางมานับร้อยปี

หากแต่ตอนนี้ เขาตามนางมาล้างแค้นถึงที่นี่ กลับถูกเผาทั้งเป็นจนร่างเหลือเพียงกองเถ้า

อาจไม่มีผู้ใดรู้ว่าหุ่นเชิดหนุ่มนั่นมีความหมายกับนางอย่างไร

ชายหนุ่มผู้นั้นเคยเป็นคนรักของนาง

นางหวังจะฟื้นคืนชีพให้เขา อินชือเปลี่ยนตนเองจากหญิงสาวสวยสะพรั่งกลายเป็นหญิงอัปลักษณ์ใบหน้าเหี่ยวย่นน่ารังเกียจ

แม้คนทั้งโลกจะเป็นศัตรูกับนาง หากแต่มีเพียงเขาที่จะคอยเคียงข้างนาง

เขาเองก็รักนาง และนางก็รักเขามาก แม้จะต้องกลายเป็นร่างหุ่นเชิดที่ไร้อารมณ์ รู้เพียงต้องทำตามคำสั่งนางเขาก็ยอม

แต่ตอนนี้กระทั่งเขาก็ทิ้งนางไป

นางถูกควักลูกตาออกไป หากแต่ในเบ้าตากลวงโบ๋นั้นกลับมีน้ำตาสีเลือดไหลออกมา ริมฝีปากสีแดงดั่งเลือดพลันโค้งขึ้นเป็นรูปร่างพิสดาร

ภายในหนึ่งร้อยลี้รอบหอคอยกั้นวิญญาณ น้ำเสียงร่ำไห้อันเยียบเย็นดังระงมขึ้น โซ่เงินผูกวิญญาณนับไม่ถ้วนบนยอดหอคอยที่ทำหน้าที่กั้นวิญญาณสั่นไหวเกิดเป็นเสียงดังภายใต้แรงลมอันชั่วร้าย ดวงจันทร์สีเลือดถูกหมอกสีดำปกคลุมจนเต็มดวง เงาร่างน่ากลัวนับไม่ถ้วนล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าใต้แสงจันทร์แห่งความมืด เงาดำพวกนั้นมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกัน

“งานเลี้ยงภูตผี” ไป๋หลี่จีหรานมองเห็นเงาร่างสีดำบนท้องฟ้ายามราตรี นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อย

ทางทิศนั้น….. ไม่ใช่ทิศที่ตั้งหอคอยกั้นวิญญาณอยู่หรอกหรือ?

ดูท่าเรื่องในคืนนี้จะไม่ใช่การบุกรุกธรรมดาเสียแล้ว อัญเชิญงานเลี้ยงภูติผีมาได้เช่นนี้ มีเพียงนักบวชระดับสูงที่มีอาคมแกร่งกล้าเท่านั้นที่สามารถทำได้

“งานเลี้ยงภูติผีหรือ?” มู่เชียนชางอยู่ข้างกายเขา ได้ยินเขาเอ่ยคำนั้นออกมาอย่างชัดเจน

แม้ไป๋หลี่จีหรานจะเคยเป็นนายน้อยหุบเขาไร้กังวลจริง ๆ หากแต่ตัวตนที่แท้จริงของเขาคือเป็นผู้สืบทอดตระกูลหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งแดนธาราขาว ดังนั้นเขาจึงเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว รอบรู้เรื่องต่าง ๆ แม้จะมาปรากฏตัวที่แดนนี้อย่างไร้สาเหตุ หากแต่มู่เชียนชางไม่อยากยุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง

“ภูตผีปีศาจแห่กันมานับพัน ผ่านทางไหนไร้ผู้รอดชีวิต ต่างถูกกลืนกินจนสิ้น” ไป๋หลี่จีหรานหยุดไปชั่วครู่ “พลังของราชาปีศาจ….. แข็งแกร่งเท่าเจ้าสิบคนมัดรวมกับข้าสิบคน”

มู่เชียนชางเป็นยอดอัจฉริยะที่มีทั้งธาตุมืดและธาตุแสงในร่าง แกร่งเหนือธาตุอื่น ๆ แม้ไป๋หลี่จีหรานจะไม่ได้มีพรสวรรค์เช่นเขา หากแต่ก็ยังเป็นอดีตปรมาจารย์อันดับต้น ๆ ของหุบเขาไร้กังวล กระทั่งเจ้าหุบเขายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ ไม่มีผู้ใดรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของเขา แต่ในเมื่อเขามาจากดินแดนระดับกลาง วิทยายุทธ์ของเขาย่อมไม่อ่อนด้อยแน่

หากแต่ราชาปีศาจที่เขาอธิบายมา

พลังแข็งแกร่งน่ากลัวนัก

เช่นนั้นแล้วเหตุการณ์ในคืนนี้หนักหนาถึงเพียงไหนกัน?

ค่ายกลหอคอยกั้นวิญญาณถูกทำลายลง ภูตผีปีศาจนับพันวนเวียนอยู่ในพื้นที่โดยรอบหนึ่งร้อยลี้ ส่งกลิ่นเหม็นสนิมของเลือดพัดโชยมาจากป่าใหญ่ เท่าที่เห็นคือทั่วผืนป่าเต็มไปด้วยชิ้นส่วนสัตว์ป่าหลากชนิด เลือดถูกสูบจนแห้ง เป็นภาพเปื้อนเลือดน่าสะอิดสะเอียน

“นายท่าน! เกิดอันใดขึ้น? เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้!?” อาจิ่นมองภาพเบื้องหน้าตน เบิกตากว้างด้วยความตะลึง ไม่คิดว่าตนต้องมาเห็นภาพน่าผวาเช่นนี้ เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าดูดีของเด็กหนุ่มถึงกับซีดขาว

นัยน์ตาชิงเยี่ยหลีนิ่งสงบ มองเงาร่างสีดำนับไม่ถ้วนที่ล่องลอยเข้าหาหอคอยกั้นวิญญาณจนแทบไม่เห็นตัวหอคอย ในใจพลันรู้สึกกังวล เป็นความรู้สึกที่ทำให้ตื่นกลัวเล็กน้อย หากแต่เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด

“กลัวหรือ?” เขามองใบหน้าซีดขาวของเด็กหนุ่มข้างกาย

อาจิ่นติดตามชิงเยี่ยหลีมานานตั้งแต่เขายังเด็ก ย่ำผ่านสมรภูมิรบมาก่อนหลายครา สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเขา หากแต่เหตุการณ์ในคืนนี้แปลกประหลาดมากเกินไป

ความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้แต่กลิ่นอายแห่งความตายทำให้ใจเขาเต้นระรัว

หากแต่คำสองคำที่บุรุษข้าง ๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์กลับทำให้จิตใจที่สับสนพลันสงบลง ทำให้จิตใจแข็งแกร่งขึ้น ไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีกต่อไป

“ไม่ว่านายท่านอยู่ที่ใด ข้าก็จะติดตามไปด้วย ไม่ว่าเป็นหรือตาย”

ถูกต้อง ตั้งแต่ที่บุรุษผู้นี้ช่วยชีวิตเขาจากคมมีดของศัตรูเอาไว้ในครั้งนั้น อาจิ่นก็บอกตนเองเช่นนั้นมาโดยตลอด

“ถอยไป” น้ำเสียงเย็นชาของชิงเยี่ยหลีเอ่ยขึ้น อาจิ่นถอยห่างออกจากเขาในพลัน

จากนั้นเขาก็เห็นชิงเยี่ยหลีดึงดาบออกมาจากแขนเสื้อ ตัวดาบมีไอเย็นแผ่ออกมา ที่ด้ามดาบเป็นหัวหมาป่าอสูรแยกเขี้ยว มีนัยน์ตาสีเขียวเข้มเหมือนกันกับเจ้าของดาบ

พริบตาต่อมา เสียงคมดาบวาดผ่านอากาศก็ดังขึ้น ลำแสงสีน้ำเงินตวัดกรีดผ่านเงาดำอย่างไร้ความปรานี

อึดใจต่อมา เปลวเพลิงก็ปรากฏขึ้นในอากาศ เหล่าเงาร่างสีดำร่วงลงมาจากหอคอยกั้นวิญญาณ มันอ้าปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคมร้องโหยหวน ไฟสีน้ำเงินที่พุ่งออกไปนั้นราวกับเป็นลูกไฟวิญญาณที่เหล่าภูตผีต่างหวาดกลัว ไม่ว่าจะทำอย่างไรลูกไฟก็จะไม่มีวันมอดดับจนกระทั่งมันไหม้ร่างเหล่าภูตปีศาจจนหมดจนเหลือเพียงผุยผง

ตวัดดาบเพียงครั้งหนึ่งกลับสามารถสังหารเหล่าวิญญาณร้ายได้หลายร้อยตน

ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน บุรุษในชุดสีแดงเข้ม ใบหน้าสวมหน้ากากหมาป่า ผมสีเงินพลิ้วไสวด้วยลมกลางคืน ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายสังหาร ดูราวกับยมทูต

เหล่าวิญญาณมืดต่างตกใจกลัวจนชะงักไป หากแต่ไม่ได้ลนลานหนีไป ด้วยพวกมันรู้ว่ายังมีราชาอันแข็งแกร่งของพวกมันอยู่ว่า นั่นคือราชาปีศาจ

ภายในหอคอย

หลังจากกลืนกินวิญญาณร้ายพลังสูงส่งเข้าไปนับไม่ถ้วน ร่างของมันก็มีขนาดใหญ่พอที่จะบดบังผืนฟ้าปิดกั้นแสงตะวัน นัยน์ตาสีแดงเข้มของราชาปีศาจมองลงมายังอินชือ น้ำเสียงเจือความอวดดีและดูถูกเอ่ยถามขึ้น “เจ้าคือผู้ที่อัญเชิญข้ามาหรือ?”

กลิ่นอายกดดันที่แผ่ออกมาส่งผลให้อินชือทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความเคารพ นางในความกลัวในจิตใจแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าค่ะ ราชาปีศาจ”

“ฮึ่ม!” ราชาปีศาจพ่นลมออกมาสีหน้าหยัน “อัญเชิญข้ามาเช่นนี้ ริ้นไรเช่นเจ้าตระเตรียมมนุษย์หนึ่งร้อยชีวิตมาเป็นของเซ่นให้ข้าหรือไม่?”

อินชือชะงักไปเล็กน้อย หากแต่ตอบคำถามของราชาปีศาจด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ราชาปีศาจโปรดระงับความโกรธ ของเซ่นที่ขาเตรียมมานั้นสามารถใช้บำรุงร่างได้มากกว่ามนุษย์หนึ่งร้อยชีวิตเสียอีกเจ้าค่ะ”

“โอ๋? คือสิ่งใดกัน?”

“เด็กสาวผู้นี้หาได้ยากนัก นางมีสายเลือดบริสุทธิ์ยิ่ง หากท่านกลืนกินนางก็จะสามารถสร้างร่างเนื้อ ปกปิดไอชั่วร้ายในร่างของท่านได้” อินชือกล่าว

ราชาปีศาจหันไปมองยังทิศทางที่อินชือชี้นิ้วไป ต้องการยืนยันคำของนาง นัยน์ตาสีแดงเข้มพลันเบิกกว้างเต็มไปด้วยความอยากกระหาย “สายเลือดบริสุทธิ์หรือ? เป็นสายเลือดบริสุทธิ์อย่างแท้จริงทีเดียว ทั้งยังเป็นสายเลือดของมารดาแห่งชีวิตในตำนาน!!”

เมื่อไหร่ที่กลืนเด็กคนนี้เข้าไป มันจะไม่ต้องเกรงกลัวเหล่านักกำจัดปีศาจอีกต่อไป!

ราชาปีศาจปีติยินดีนัก ส่งเสียงหัวเราะที่สะท้านสะเทือนไปถึงชั้นฟ้า

เงาดำหลายร่างลอยวนเวียนไปมาด้วยความกังวล กระซิบกระซาบที่ข้างหูราชาปีศาจ เสียงหัวเราะของราชาปีศาจพลันหยุดลง นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อย “ดูท่าข้าจะต้องรีบจัดการเด็กสาวคนนี้โดยเร็ว ผู้ช่วยเหลือนางมารอกันอยู่ด้านนอกแล้ว ทั้งยังเป็นผู้มีพลังสูงส่ง”

“ท่านราชาปีศาจไม่ต้องกังวล ข้าจะไปยับยั้งพวกเขาไว้ เวลาเท่านั้นคงเกินพอให้ท่านได้กลืนนางลงไป” อินชือคลี่ยิ้มชั่วร้ายออกมา จากนั้นร่างของนายพลันเลือนหายไปในทันที

ชิงอวี่ไม่เอ่ยคำใด ในสายตาราชาปีศาจ มันคิดว่านางกลัวจนไม่กล้าพูดคำใดออกมา เห็นดังนั้นใบหน้ามันยิ่งเย่อหยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม “เห็นว่าเจ้ามีรูปโฉมงดงาม ข้าอนุญาตให้เจ้าสังหารตนเองก่อนที่จะถูกข้ากิน จะได้หลีกหนีจากความทรมานที่ข้าจะมอบให้”