เมื่อได้ยินน้ำเสียงเอื้อเฟื้อของราชาปีศาจ สีหน้าของเด็กสาวก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นหัวเราะเสียงต่ำออกมา “ทำอย่างไรดี? ข้ายังไม่อยากตายนี่?”

พริบตาที่นางเงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตาเย้ายวนเป็นประกายพร่างพราว ใบหน้างามของนางค่อย ๆ เงยขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด

กระทั่งราชาปีศาจยังดูลุ่มหลงในความงามสะท้านวิญญาณของนาง

“น่าเสียดาย….. ที่วันนี้เจ้าถูกลิขิตมาให้เป็นเครื่องเซ่นให้ข้า” ราชาปีศาจเอ่ยไปก็ให้รู้สึกว่ามันรู้สึกเสียใจเช่นกัน พอพูดจบมันก็อ้าปากกว้าง อาจเป็นเพราะมันเพิ่งเคยรู้สึกสงสารเครื่องเซ่นของมันเป็นครั้งแรก ดังนั้นมันจึงคิดจะกลืนนางในคำเดียว ให้นางได้ตายอย่างรวดเร็วไร้ความทรมาน

“ไหมไหม กลับมา” ชิงอวี่เอ่ยเสียงเรียบ จากนั้นจั้งไหมก็พบว่าร่างตนเองกลายเป็นแสงไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ จากนั้นลอยกลับเข้าร่างเด็กสาวไป

“นายหญิง! ทำอะไรของท่านน่ะ?” เด็กหนุ่มร้องขึ้นด้วยความโกรธ เขาถูกขังไว้ในห้องวิญญาณ หากไร้คำสั่งนายหญิงก็ไม่อาจออกมาได้

“เจ้าเพิ่งตื่นขึ้นมา ห้ามบาดเจ็บอีก” ชิงอวี่คุยกับเขาผ่านจิต “วางใจเถอะ ข้าสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังมา คงไม่เป็นไรหรอก”

“ไม่ได้นะนายหญิง! เจ้านั่นทรงพลังมาก ท่านรับมือคนเดียวไม่ไหวแน่! นายหญิง ปล่อยข้าออกไป…..”

“เช่นนั้นในใจเจ้ามองข้าเป็นคนอ่อนแอผู้หนึ่งที่หากไม่มีเจ้าอยู่ก็จะตายได้โดยง่ายงั้นหรือ?” ชิงอวี่หัวเราะเสียงหยัน “ไหมไหม ทำเช่นนี้นับว่าลบหลู่ข้าแล้ว!”

จากนั้นนางไม่ต้องการฟังคำตอบของเด็กหนุ่มอีก ปิดผนึกมิติส่วนตัวไปในทันที

ปากขนาดยักษ์ของราชาปีศาจกำลังเคลื่อนเข้ามาเรื่อย ๆ ชิงอวี่หลับตาลงในพลัน ราวกับยอมแพ้ไม่ขอขัดขืน

ที่นอกเขตหอคอยกั้นวิญญาณ ชิงเยี่ยหลีจัดการเงาดำไปหลายเงา ในตอนที่กำลังจะเข้าไปในหอคอยนั่นเอง เสียงหัวเราะเยียบเย็นสายหนึ่งก็ลอยแว่วมาปะทะหู ร่างทั้งร่างของเจ้าของเสียงเน่าเฟะ หน้าตาไม่เหลือชิ้นดี นางพลันกระโดดลงมาจากฟากฟ้า “พลังบำเพ็ญเพียรสูงส่งจริง ๆ ในดินแดนระดับล่างเช่นนี้ยังมีมังกรเร้นกายอยู่มากจริงๆ”

ทันทีที่อินชือเห็นเขา นางก็จำเขาได้ในทันที คนผู้นี้คือคนที่จับกลิ่นอายนางเมื่อตอนที่นางเข้ามายังวังหลวงในคราแรกได้ไม่ใช่หรือ?

โลกช่างกลมเสียจริง

นัยน์ตาชิงเยี่ยหลีทะมึน “เจ้าเป็นผู้ที่ดึงวิญญาณร้ายให้มาที่นี่หรือ?”

“ถูกต้อง” อินชือพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ข้าใช้พื้นที่นี้จัดการความแค้นส่วนตัว แนะนำว่าเจ้าอย่าเข้ามายุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่งจะดีกว่า ข้าแยกบุญคุณความแค้นชัดเจน ไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์”

พูดจบ นางก็หันไปมองประเมินทางอาจิ่นพร้อมรอยยิ้มเล็ก เบ้าตากลวงโบ๋ของนางเป็นภาพน่ากลัวนัก

“เจ้าไม่ได้มาจากแดนมุกหยก คงไม่มายังแดนนี้อย่างไรเหตุผลแน่” ชิงเยี่ยหลีมองสตรีเบื้องหน้าตนที่ดูท่าจะมาซื้อเวลา นัยน์ตาสีเขียวราวกับมีคลื่นน้ำซัดแรงอยู่ภายใน “คนในนั้นคือผู้ใด?”

“หือ?” อินชือเห็นว่าบุรุษผู้นี้มีทีท่าเป็นห่วงเด็กสาวด้านใน ดังนั้นจึงคลี่ยิ้มชั่วร้ายออกมาทันที “หรือเจ้าจะเป็นคนรักของแม่เด็กสาวโชคร้ายคนนั้นกัน? แต่ข้าว่าตอนนี้แม้แต่กระดูกนางก็คงไม่เหลือแล้วล่ะ เจ้ามาช้าไป นางเป็นผู้ที่มีเลือดบริสุทธิ์ยิ่ง หากตอนนั้นนางรู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรทำ ก็คงได้เป็นหุ่นเชิดของข้าไปแล้ว น่าเสียดายนัก…..”

นัยน์ตาสีเขียวหดตัวลง ในนั้นคือเด็กสาวที่มีเลือดบริสุทธิ์หรือ?

หรือว่า…..

ไม่ ไม่มีทางเป็นนางไปได้ ต้องไม่ใช่นางเป็นแน่

เลือดในกายชิงเยี่ยหลีเย็นเยียบโดยพลัน ความกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ

หากแต่สตรีตรงหน้าไม่รอให้เขาได้ครุ่นคิดนาน นางเอี้ยวตัวไปมองทางหอคอยกั้นวิญญาณ ท่าทางเหมือนตัดใจได้ มุมปากนางยกยิ้มอ่อนโยน “ข้าจะตามเจ้าไปเดี๋ยวนี้ล่ะ…..”

จู่ ๆ ร่างผอมแทบจะเห็นกระดูกของนางก็บวมขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมีสภาพเป็นลูกบอลกลมๆลูกหนึ่ง เห็นดังนั้นชิงเยี่ยหลีรีบสร้างเกราะป้องกันด้วยสองมือ ป้องกันตนจากแรงระเบิดดังสนั่น พริบตาต่อมาหลังเสียงระเบิดดังขึ้น เกราะป้องกันก็ไม่อาจต้านทานแรงระเบิดไหว และแตกสลายทันที

ในขณะเดียวกันนั้น ราชาปีศาจอ้าปากกว้าง กำลังเตรียมกลืนชิงอวี่ที่ไร้ทางสู้ลงท้อง หากแต่ทันใดนั้นดวงตาที่ปิดสนิทมานานกลับเบิกโพลงขึ้น นัยน์ตาชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งจ้องมองมันด้วยความโกรธ “เจ้ากล้าหมิ่นเกียรติร่างนายหญิงของข้า อภัยให้ไม่ได้!”

ร่างราชาปีศาจที่สูงใหญ่เทียมเมฆกลับสั่นกลัวอย่างไม่อาจควบคุมได้ “เจ้า….. เจ้าคือ…..”

“สลายวิญญาณ!”

ยามเมื่อน้ำเสียงทรงพลังเอ่ยคำขึ้น แรงกดดันรุนแรงส่งผลให้เหล่าวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ทั่วร่างราวกับถูกฉีกกระชากไม่ทันได้ร้องโหยหวน จิตวิญญาณแตกซ่านดั่ง ราชาปีศาจตกตะลึงจนไม่อาจรับมือ ร่างกายมหึมาพลันหดเล็กลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหลือเพียงกลุ่มควันดำ และสลายหายไปในอากาศ

จันทราสีเลือดที่ถูกหมอกทมิฬปกคลุมเริ่มเผยหน้าตาที่แท้จริง หมอกดำต่างกระจายตัวบางลง สวยงามจนผู้คนต่างเงยหน้าจ้องมอง

เด็กสาวในชุดสีขาวบริสุทธิ์ยืนอยู่ที่ด้านล่างสุดของหอคอยกั้นวิญญาณ ลมเย็นยามราตรีพัดปลายชุดนางพลิ้วไสว ส่งให้ร่างบางยิ่งดูเรียวบางมากกว่าเดิม ดวงตาสีแดงเหลือบทองที่เคยเรืองรองของนางค่อย ๆ จางหายไป แปรเปลี่ยนเป็นนัยน์ตาดำสนิท ร่างกายนางดูท่าจะฝืนต้านทานต่อไปไม่ไหว นัยน์ตางามกะพริบช้า ๆ สองที ก่อนจะปิดลงพร้อมกับร่างบางที่ล้มลงกับพื้น

หลังจากอินชือระเบิดร่างตนเอง คนหลายก็พุ่งเข้ามา หากแต่ยามที่ก้าวข้ามาในหอคอยกั้นวิญญาณกลับพบว่าภายในไร้สิ่งผิดปกติ ค่ายกลป้องกันยังเป็นดังเดิมราวกับไม่เคยมีผู้ใดแตะต้อง

หากแต่เรื่องน่าตกใจคือชางไห่อ๋องที่ก่อนหน้านี้หายตัวไปกลับมาอยู่ที่นี่

“พี่เยี่ยหลี ท่านมาทำอะไรที่นี่?” เยว่ซินเหยียนที่เป็นกังวลมาตลอดตั้งแต่พบว่าชิงเยี่ยหลีหายตัวไป ยามได้เห็นเขาจิตใจนางจึงสงบลงได้

หากแต่ชิงเยี่ยหลีไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงท่าคุกเข่าไว้อยู่ นิ้วเรียวกำเศษชุดสีขาวเปื้อนเลือดชิ้นหนึ่งไว้ในมือ รอยเลือดยังใหม่นัก บางส่วนยังเลอะติดมือเขามาด้วย

เยว่ซินเหยียนมองเขาด้วยความแปลกใจ พี่เยี่ยหลีรักสะอาด อยู่ห่างจากมลทินทั้งปวง ไม่เคยไปแตะต้องสิ่งใดที่ไม่จำเป็นมาก่อน

นี่….. เลือดใครกัน?

เขามาช้าไป นอกจากเศษผ้าชิ้นเล็กนี่แล้ว ก็เหลือร่องรอยอันใดอีก

หากแต่กลิ่นอายที่แผ่ออกจากเศษผ้าชุ่มเลือดนี่ ชี้ชัดว่าเจ้าของยังคงมีลมหายใจอยู่

ฝีมือใครกันที่สามารถแทรกซึมเข้ามาในหอคอยก่อนเขาได้เร็วถึงเพียงนี้?

คนผู้นั้นต้องพาร่างที่อาจไร้สติของคนในหอคอยไปด้วยเป็นแน่

เรื่องที่เขาค้นหามาแสนนานกำลังจะได้พบความจริง หากแต่เบาะแสทั้งหมดกลับถูกตัดขาดเสียดื้อ ๆ

ชิงเยี่ยหลีมองต่ำลง ทั้งร่างมีแต่ความรู้สึกโศกเศร้าลึกล้ำ

ในตอนที่เขารู้สึกว่ากำลังเข้าใกล้ความจริง เหตุใดมือคู่นี้ของเขาจึงไม่สามารถเอื้อมไปถึงกัน?

หรือนี่จะเป็นบทลงโทษ?

ลงโทษที่เขาไม่รักษาคำพูด ที่ไม่ใช้ชีวิตให้ดีในโลกที่เยียบเย็นไร้ความเมตตา โลกที่ไม่มีนางอีกต่อไปหรือ?

แต่จะให้เขาทำเช่นไร?

นางเป็นทั้งชีวิตของเขา! ไม่มีนางแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไร?

ในที่สุดเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญก็จบลง เมื่อชาวเมืองได้ยินว่านักบุญชายในปีนี้เป็นคนจากแคว้นอู่ชาง พวกเขาต่างรู้สึกผิดหวังนัก หากแต่นักบุญหญิงยังคงเป็นเยี่ยนหนิงลั่ว อย่างไรก็อดดีอกดีใจไม่ได้ ในใจมีแต่ความชื่นชม สมแล้วที่นางเป็นยอดสตรีเหนือใครในใต้หล้า เป็นตำนานที่ไม่อาจมีใครโค่นได้

ไม่อาจทราบได้ว่าแหล่งข่าวมาจากที่ใด หากแต่เรื่องที่มีบางอย่างสำคัญเกิดขึ้นในพระราชวังแคว้นชิงหลานกลับเล็ดลอดออกมาสู่หูชาวบ้าน

ฮ่องเต้ชิงหลานรักษาคำพูด มอบรางวัลใหญ่ในปีนี้ให้กับนักบุญชายและหญิงผู้เก่งกาจ หากแต่ใบหน้าเขาในตอนนี้กลับดูเศร้าเสียใจนัก “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

ภายในห้องโถงหลวง ไม่เพียงมีคนของแคว้นชิงหลาน หากแต่ยังมีคนจากแคว้นอู่ชางและแคว้นหลินยวนรวมอยู่ด้วย บนใบหน้าพวกเขาต่างประดับไปด้วยสีหน้าแปลกประหลาด เป็นอารมณ์ที่ไม่อาจอธิบายได้ หากแต่ในสายตาฮ่องเต้ชิงหลาน มันคือสีหน้าของคนที่พยายามกลั้นรอยยิ้มเยาะเอาไว้

เบื้องล่างบังลังก์ สีหน้าของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนไม่ดีไม่ร้าย และไม่มีความเกรงกลัวแฝงอยู่แม้แต่น้อย “ข้าขอความกรุณาจากฝ่าบาทให้ถอนสัญญาหมั้นหมายระหว่างข้ากับองค์รัชทายาทเพคะ”

เยี่ยนซู่ที่ยืนอยู่เบื้องล่างขมวดคิ้วแน่นตั้งแต่เข้ามาในวังหลวง เคราะห์ดีที่เยี่ยนหนิงลั่วยังเกรงใจบิดาตนกลัวว่าจะตกตะลึงจนเกินไปได้ จึงบอกกล่าวเรื่องนี้กับบิดานางไว้ก่อนหน้า จากนั้นก็ทำเมินสีหน้าโกรธเกรี้ยวของบิดาตน

แม้ว่าสามสำนักใหญ่จะอยู่เหนืออำนาจราชวงศ์ หากแต่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน การกระทำเช่นนี้เป็นดั่งการตบหน้าองค์ฮ่องเต้

เมื่อครั้งที่ซวนหยวนเช่อเอาชนะตำแหน่งนักบุญชายหลายปีก่อนหน้า เหตุใดเยี่ยนหนิงลั่วจึงไม่เคยเอ่ยขอเรื่องนี้? หากแต่ทันทีที่ซวนหยวนเช่อพ่ายแพ้ นางกลับไม่อาจรั้งรอ ขอถอนหมั้นในทันทีอย่างนั้นหรือ? เหตุใดนางถึงตั้งใจทำให้สถานการณ์ออกมาเป็นเช่นนี้?

เยี่ยนหนิงลั่วไม่ใส่ใจหลายสายตาที่พากันจ้องมองนาง หากแต่ค่อย ๆ เอ่ยขึ้นช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำ “ข้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักที่พระองค์ทรงรักและเอ็นดูข้ามาตั้งแต่ยังเล็ก นอกจากท่านพ่อแล้ว เยี่ยนหนิงลั่วเองก็เห็นฝ่าบาทเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ข้าให้ความเคารพที่สุด ข้ารู้จักองค์รัชทายาทมานานหลายปี นิสัยของพวกเราไม่อาจเข้ากันได้ ดังนั้นจึงไม่มีความรู้สึกอันใดต่อกัน ดังนั้นข้าจึงได้พูดคุยกับองค์รัชทายาทในเรื่องนี้ตั้งแต่หลายวันก่อนแล้วเพคะ”

“ในครั้งนี้ เยี่ยนหนิงลั่วไม่ขอรับรางวัลใด ขอเพียงให้ฝ่าบาทโปรดประทานคำขอนี้ของข้าเพียงเท่านั้น”

สีหน้าฮ่องเต้ชิงหลานไม่ดีนักตอนที่หันมองไปทางซวนหยวนเช่อ “เจ้าคุยเรื่องถอนหมั้นเป็นการส่วนตัวกันแล้วจริงหรือ?”

“พ่ะยะค่ะ” ซวนหยวนเช่อตอบรับ ไม่แย้งคำเยี่ยนหนิงลั่ว “นอกจากความชื่นชมและความนับถือแล้ว ข้าก็ไม่มีความรู้สึกอันใดต่อองค์หญิงหนิงเฟิ่งอีก พวกเราอาจเหมาะกับการเป็นเพียงศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักเดียวกันเท่านั้นพ่ะยะค่ะ”

“พวกเจ้าสองคน…..” ฮ่องเต้ชิงหลานพูดเสียงลอดไรฟัน ไม่อาจหาคำใดมาระบายความโกรธที่สุมอยู่ในอกได้

สองคนนี้ไม่พอใจกับการหมั้นหมายที่เขามอบให้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

เจ้าเด็กนั่นคอยบอกเขาอยู่เสมอว่าไม่ชอบหนิงลั่วมาตั้งแต่ยังเด็ก หากแต่ในตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นเพียงเพราะความเอาแต่ใจยามเป็นเด็กเท่านั้น ไม่คิดว่าวันนี้จะมาคนทั้งคู่จะมาฉีกหน้าตาตนเองท่ามกลางคนจากอีกสองแคว้นเช่นนี้….. เจ้าเด็กสองคนนี้!

“จุ๊ ๆ แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน เหตุใดฝ่าบาทจำต้องผลักคนไร้ใจสองคนเข้าหากันเล่า?”

ผู้พูดไม่ใช่ผู้ใด หากแต่เป็นไป๋หลี่จีหรานที่เกรงว่าสถานการณ์ยังไม่เดือดพล่านมากพอ “องค์รัชทายาทหน้าตาโดดเด่น องค์หญิงหนิงเฟิ่งก็มีรูปโฉมงดงามดั่งเซียน คนที่ชื่นชมคนทั้งคู่คงต่อแถวเรียงรายยาวออกไปนอกพระราชวังได้ ถึงส่วนมากเรื่องหมั้นหมายจะเป็นผู้ใหญ่จัดการให้ แต่หากสองฝ่ายชายหญิงมีใจรักใครต่อกันไม่ดีกว่าหรือ?”

“นายน้อยไป๋หลี่กล่าวได้ถูกต้องนัก ผู้ใหญ่จัดการเรื่องเหล่านี้ให้ส่วนมากมักจบไม่สวยมานักต่อนักแล้ว!”

“ถูกต้อง ๆ ถึงการหมั้นหมายถูกถอดถอน องค์หญิงหนิงเฟิ่งก็ยังเป็นยอดสตรีแห่งชิงหลานมิใช่หรือ? อย่างไรความจริงข้อนี้ก็มิจางหาย ข้าว่าฝ่าบาทคงเอ็นดูองค์หญิงมากเท่านั้น….. ฮ่า ๆ”

ต่างคนต่างส่งประโยคเห็นพ้องต้องกันเป็นอย่างดี ลุกขึ้นมาไกล่เกลี่ยสถานการณ์

ดังนั้นฮ่องเต้ชิงหลานจึงไร้ทางเลือก แม้จะเกรี้ยวโกรธที่เยี่ยนหนิงลั่วทำให้ตนเสียหน้าต่อหน้าธารกำนัล หากแต่ในจริงก็ยังนึกเอ็นดูนาง ความโกรธพลันจางหายไปยามตอบตกลง

หากแต่ซวนหยวนเช่อกลับยกยิ้มสุขุมขึ้น หากสตรีผู้นั้นวันหนึ่งหนีตามชางไห่อ๋องไปเล่า?