ทุกสิ่งกลับคืนสู่สภาพเดิม

หลังจากสถานการณ์ผิดปกติที่หอคอยกั้นวิญญาณในวันนั้นผ่านพ้นไป หลังจากตรวจสอบก็ไม่พบร่องรอยของผู้บุกรุก ถึงเรื่องนี้จะทำให้ใครหลายคนต่างพิศวง แต่ด้วยไม่มีเรื่องร้ายแรงอันใดตามมาอีก ฮ่องเต้ชิงหลานจึงทำได้เพียงสั่งคนรักษาความปลอดภัยรอบหอคอยให้รัดกุมยิ่งขึ้น จากนั้นเรื่องก็ปิดฉากลง

หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น คงมีแต่ชิงเยี่ยหลีที่ได้เห็นกับตาตนเองที่รับรู้

เยว่ซินเหยียนเป็นคนความรู้สึกไว สังเกตว่าบรรยากาศสองสามวันที่ผ่านมานั้นรู้สึกหนักอึดอัดกว่าเดิมมาก

แม้เทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญจะจบลงไปแล้ว หากแต่พวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธคำเชิญจากฮ่องเต้ชิงหลานให้คณะเดินทางจากแคว้นต่าง ๆ พักอยู่ในแคว้นต่ออีกสักหลายวัน

ภายในห้องส่วนตัวแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ชายหนุ่มหน้าหยกผู้หนึ่งในชุดขาว ในมือถือพัดลายทิวทัศน์สวยงามกำลังยืนพัดให้ตนเองอย่างสบายอารมณ์ “นี่พวกเรายังนับเป็นพี่น้องกันอยู่หรือไม่ เล่าสิ่งที่เจ้ารู้เห็นในวันนั้นให้ข้าฟังมันยากขนาดนั้นเลยหรือ?”

“ไม่มีสิ่งใดจำเป็นให้เล่า” ชิงเยี่ยหลีเอ่ยเสียงเรียบ นิ้วเรียวยาวหยิบจอกเหล้าขึ้นหมุนเล่นก่อนยกขึ้นจิบ

ไป๋หลี่จีหรานเลิกคิ้วส่ายหน้าไปมา สีหน้ารู้ทันอีกฝ่าย “ผิดปกติแน่ วันนั้นจู่ ๆ เจ้าก็หายตัวไป กลับไปอยู่ที่หอคอยกั้นวิญญาณ หรือว่าเจ้าประมือกับยอดฝีมือในนั้น ไม่อาจมองแม้การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายทัน ดังนั้น….. เจ้าก็เลยอับอายจนไม่กล้าเล่า ใช่หรือไม่?”

ชิงเยี่ยหลีสวมหน้ากากอยู่จึงไม่อาจเห็นได้ว่าใบหน้าในตอนนี้เป็นเช่นไร หากแต่ชิงเยี่ยหลีเหลือบมองไปทางเขา ไป๋หลี่จีหรานเห็นในนัยน์ตาอีกฝ่ายซับซ้อนไม่อาจไม่โต้ตอบ

ทว่าสายตานั่น เป็นสายตาใช้มองคนปัญญาอ่อนผู้หนึ่ง

ไป๋หลี่จีหรานชะงักกับสายตาที่ตวัดมองมา จากนั้นกระแอมเสียงเบาออกมาสองครา “ช่างเถอะ ๆ ในเมื่อเจ้าไม่อยากเล่าข้าก็จะไม่ถามแล้ว เช่นนั้นเจ้าจะกลับเมื่อไหร่?”

ชิงเยี่ยหลีนึกถึงเศษผ้าเปรอะเลือดชิ้นนั้นขึ้นมาทันที นัยน์ตาเขาหม่นแสงลง “ยังมีเรื่องที่ข้ายังไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัดอยู่”

“เจ้ายังคิดจะตามหาสตรีในภาพนั้นอีกงั้นหรือ?” ไป๋หลี่จีหรานเข้าใจในทันที “เช่นนั้นเหมือนดั่งงมเข็มในมหาสมุทร ข้าท่องเที่ยวในแดนนี้มานานหลายปี ไม่พบสตรีใดที่มีหน้าตาเช่นนาง ทั้งยังไม่เคยเจอใครมีดวงตาเป็นเอกลักษณ์อย่างที่เจ้าว่าไว้…..”

น้ำเสียงเขาค่อย ๆ แผ่วลง

จากนั้นสีหน้าไป๋หลี่จีหรานก็แปรเปลี่ยน ความตกใจเจือในหน้า ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นทั่วร่าง

ชิงเยี่ยหลีมองเขาแล้วสงสัยเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ ๆ เขาถึงหยุดพูดไป

จู่ ๆ ในหัวก็ว่างเปล่าเมื่อพลันนึกถึงสิ่งที่ตนลืมไปเสียสนิทขึ้นมาได้ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นทั้งที่ตนเองยังมึนงงอยู่ “เดี๋ยวก่อน… ข้าจำได้แล้ว ตอนเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญข้าพบเด็กสาวน่าสนใจคนหนึ่ง ข้าสนใจนางนัก อยากจะรู้พลังบำเพ็ญเพียรของนางสักหน่อย แต่สุดท้ายจิตข้ากลับถูกโจมตีกลับมา อีกฝ่ายคงไม่ได้ประสงค์ร้ายอันใด ไม่งั้นพลังที่ตีมาครานั้นคงทำข้ากลายเป็นคนสติไม่ดีไปแล้ว”

“ในตอนนั้น ข้าเห็น….. เป็นนัยน์ตาสีทอง เหมือนกับตาของอสูรวิญญาณ” ไป๋หลี่จีหรานนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อตอนนั้น ในใจยังอดรู้สึกกลัวไม่ได้ “กระทั่งในแดนธาราขาว ข้ายังไม่เคยพบใครที่มีแรงกดดันบีบคั้นมากถึงเพียงนั้นมาก่อน เว้นเสียแต่คนจากแดนเมฆาสวรรค์ เช่นนั้นข้าก็คงพบผู้มีพลังสูงส่งเข้าให้แล้ว”

ได้ยินเช่นนั้นชิงเยี่ยหลีก็ขมวดคิ้ว นัยน์ตาสีทอง อสูรวิญญาณงั้นหรือ?

เด็กสาวที่มีอสูรวิญญาณลึกลับซ่อนอยู่ในร่างหรือ เดี๋ยวก่อน…..

ทันใดนั้นเขาพลันนึกคำที่สตรีอัปลักษณ์ผู้นั้นเอ่ยขึ้นได้

‘นางเป็นผู้ที่มีเลือดบริสุทธิ์ยิ่ง หากตอนนั้นนางรู้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดควร ก็คงได้เป็นหุ่นเชิดไปแล้ว น่าเสียดายนัก…..’

ร่างสูงพลันผุดลุกขึ้น จอกเหล้าประณีตถูกมือที่กำแน่นบีบจนแตกละเอียด หากแต่ชิงเยี่ยหลีกลับไม่รู้ตัว ได้แต่ยืนนิ่งไป

เช่นนั้นก็ยืนยันได้….. คนที่อยู่ในหอคอยกั้นวิญญาณในวันนั้น ทั้งยังเศษผ้าเปรอะเลือด แล้วยังตอนวันงานเลี้ยงที่เขาสัมผัสถึงความรู้สึกใกล้ชิดคุ้นเคยนั่นอีก

เพราะเหตุใด….. เขาจึงไม่สังเกตเห็นให้เร็วกว่านี้? นางอยู่ใกล้เพียงเอื้อมแท้ ๆ

——————–

อาจเป็นเพราะความครึกครื้นที่เป็นผลมาจากเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญ ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่ามีโรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในตรอก หลบซ่อนสายตาผู้คนได้กลับมาเปิดกิจการอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง

“ยังมีหน้ามาบอกว่าตนเองไม่ใช่หมอเถื่อนอีกหรือ? ห้าวันผ่านไปแล้ว หากแต่คนยังไม่ฟื้น!” น้ำเสียงไพเราะน่าดึงดูดใจของบุรุษผู้หนึ่งเจือด้วยแววอันตรายดังขึ้น ฟังดูราวกับเจ้าของเสียงกำลังพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธไว้ภายในอย่างเต็มที่ หากแต่ถูกยั่วยุอีกเพียงนิดก็พร้อมจะระเบิดได้ตลอดเวลา

“เจ้ากล่าวหาข้าอยู่นะ! บนร่างนางไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว อย่างมากก็กล่าวได้ว่าจิตวิญญาณไม่มั่นคงเท่านั้น หากแต่ตามหลักแล้วไม่ใช่ปัญหาใหญ่ มักฟื้นคืนสติได้เองในสองวัน ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่ามันเกิดอะไรขึ้น!!”

บุรุษเจ้าเสน่ห์ในชุดแดงหัวเสียนัก นัยน์ตาดอกท้อเบิกกว้าง จ้องมองคนตรงหน้าด้วยความโกรธ

จะเป็นเช่นนี้ไปตลอดเลยหรือไร!?

ตอนเจ้าปีศาจน้อยไม่ได้สติ เม่ยจีก็เรียกเขาว่าหมอเถื่อนไปคราหนึ่ง ผ่านมาเพียงไม่กี่วันกลับถูกหาว่าเป็นหมอเถื่อนอีกแล้ว ทั้งคนที่พูดยังเป็นคนที่สนิทสนมราวพี่น้องสายเลือดเดียวกัน เติบโตมาด้วยกันอีก!

ความเจ็บปวดครั้งนี้มันมากเกินกว่าเขาจะรับไหว

สมัยที่ยังอยู่บนแดนเมฆาสวรรค์ ไม่มีผู้ใดไม่รีบมาประจบเอาใจเขาที่เป็นถึงแพทย์บำเพ็ญเพียรชื่อเสียงสูงส่ง

เจ้าหมอนี่ทำเป็นก็เพียงดูถูกสบประมาทเขา หากถูกดูถูกธรรมดาเขายังพอมองข้ามได้ หากแต่ยามที่พึงใจในคนใหม่ คนบัดซบนั่นกลับหลงลืมคนรักเก่า ทอดทิ้งวันเวลายากลำบากที่เคยฝ่าฟันร่อนเร่ร่วมกันมาจนสิ้น!

ประเดี๋ยวก่อน เหตุใดจึงรู้สึกว่ามีจุดใดไม่ถูกต้องกันหนอ…..

โหลวจวินเหยาใบหน้าดำทะมึน นัยน์ตาสีม่วงเย้ายวนดั่งปีศาจเจือแววกังวลอยู่เล็กน้อย

เด็กสาวนอนอยู่บนเตียงแน่นิ่ง ใบหน้างามดูราวกับกำลังหลับลึก ทั้งยังเจือแววบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ขนตายาวปิดลง ก่อให้เกิดเงาที่เปลือกตา ลมหายใจแผ่วเบาจนไม่อาจสัมผัสได้ ราวกับว่ามันจะหยุดลงเมื่อไรไม่มีผู้ใดล่วงรู้ เป็นดั่งโฉมงามที่จมอยู่ในห้วงฝันไม่ยอมตื่น

“เจ้าไม่ต้องกังวลไป นางอาจจะแค่ล้า ต้องการหลับให้นานอีกสักหน่อยก็เป็นได้” เป็นน้ำเสียงแหบต่ำเล็กน้อยเอ่ยขึ้น

ได้ยินน้ำเสียงนั้นแล้ว ความโกรธในใจโหลวจวินเหยาพลันทะยานสูงขึ้น “ยังมีหน้าพูดอีกหรือ? ข้าให้เจ้าปกป้องนางในเงามืด เช่นนี้หรือที่เรียกว่าปกป้อง?!”

ที่มุมห้องมุมหนึ่ง ร่างในชุดสีเทากำลังนั่งคร่อมเก้าอี้ด้วยท่าทางเกียจคร้านยิ่ง ร่างอ่อนย้วยซบลงกับเก้าอี้ราวกับในร่างไร้กระดูก เขายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าแม่นางน้อยจะไปเจอเรื่องเช่นนี้เข้ายามไปงานเลี้ยงในวังหลวง? คนในงานมีตั้งมากมาย จะให้ข้าจับตาดูทุกคนอย่างไรไหว…..”

ร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างเตียงพลันลุกขึ้น จิตสังหารกลั่นรวมกันเป็นแสงสีม่วง ซัดเข้าใส่กำแพงที่อีกฝ่ายพิงอยู่เป็นรูเท่าถ้วยข้าว

คนที่ทำท่าจะหลับพลันกระโดดหลบหลังไป๋จือเยี่ยนในทันใด พร้อมลากไป๋จือเยี่ยนลงนรกไปด้วยหากตนถูกสังหาร

ไป๋จือเยี่ยนมุมปากกระตุกยิก ๆ “เจ้าใจเย็นลงก่อน อย่าหุนหันนัก เราคุยกันอย่างสงบเถอะ ถึงเจ้าจะลงไม้ลงมือกับพวกข้าไปแม่นางน้อยก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอยู่ดี!”

ระหว่างพูด มือก็เอื้อมไปหยิกแขนชายในชุดสีเทาสุดแรงเกิด ตนเองแกว่งเท้าหาเสี้ยนทีไรก็ลากเขาไปด้วยทุกที ไอ้บัดซบนี่!

ถูกหยิกจนแขนเขียวเช่นนั้น หากแต่บุรุษชุดเทาไม่ร้องสักแอะ กลับเอ่ยเสียงเศร้าออกมา “ปกป้องคุ้มครองอันใดกัน? เจ้าล้อข้าเล่นเป็นแน่! แม่นางน้อยดุร้ายเช่นนั้นยังต้องให้ผู้ใดตามปกป้องอีก? ตอนที่ข้าไปถึง นางก็จัดการปัญหาเรียบร้อยแล้ว! ครั้งหน้าเจ้าหาแม่นางน้อยอ่อนแอบอบบางให้ข้าตามปกป้องได้หรือไม่? เจ้าทำให้ข้ากลายเป็นไอ้ตัวไร้ค่าไปเลย”

ไป๋จือเยี่ยนหัวเราะในใจ เพิ่งรู้ตัวหรือว่าตนเองเป็นไอ้ตัวไร้ค่า?

“หากไม่ใช่ว่านางไม่บาดเจ็บหนักอันใด เจ้ายังจะมายืนพูดต่อหน้าข้าเช่นนี้ได้หรือ?” โหลวจวินเหยาเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “มั่นใจหรือว่าไม่เห็นใครอีก?”

บุรุษชุดเทาลูบคางตน “ตอนนั้นในคอหอยมีแต่แม่นางน้อย” จากนั้นก็ทำท่าราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นัยน์ตาสีดำส่องประกายเฉียบคม “ข้ามั่นใจว่าแม่นางน้อยต้องมาจากแดนเมฆาสวรรค์เป็นแน่ ถึงพลังนางจะยังไม่เติบโตนัก หากแต่ก็สามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์จากแดนเมฆาสวรรค์ได้แล้ว เป็นพลังที่คนในดินแดนระดับล่างไม่อาจมีได้!”

“เหตุเจ้าจึงคิดเช่นนั้น?” ไป๋จือเยี่ยนเลิกคิ้วสงสัย แม้เขาเองจะสงสัยมาก หากแต่เจ้านี่ยังไม่เคยพูดคุยกับนางด้วยซ้ำ แล้วเขามั่นใจได้อย่างไรว่าเป็นเช่นนั้น?

“ตอนที่ข้าไปถึง ทันตอนเห็นนางเอาชนะราชาปีศาจได้ภายในกระบวนท่าเดียวพอดิบพอดี” ชายชุดเทานึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นแล้วหน้าตาตื่นเต้นนัก “เจ้ารู้หรือไม่? พริบตาเดียวเท่านั้น! ทั้งยังใช้เพียงหนึ่งกระบวนท่า! แม้ราชาปีศาจนั่นจะไม่ได้เก่งกาจมากมายอันใด หากแต่ขั้นพลังก็เทียบเท่ากับพวกจอมยุทธ์ระดับล่างของแดนเมฆาสวรรค์ พริบตาเดียววิญญาณก็สลายหายไปกับสายลม รับมือนางไม่ได้เลย …..”

“ราชาปีศาจ?” โหลวจวินเหยาขมวดคิ้ว

“อืม ถูกต้องแล้ว อีกฝ่ายคงจะเป็นนักบวชหญิงที่มีคาถาอาคมกล้าแกร่งจากอารามจันทร์กระจ่างที่อัญเชิญพวกมันมางานเลี้ยงภูตผีเป็นแน่” ชายในชุดคลุมเทาอธิบายต่อ “แต่ข้าจัดการที่นั่นเรียบร้อยดี ไม่มีร่องรอยเหลือแม้แต่นิด เพราะอย่างไรในดินแดนระดับล่างเช่นนี้ มีเรื่องสะเทือนชั้นฟ้าเกิดขึ้น ผู้คนคงแตกตื่นไม่น้อย”

“งานเลี้ยงภูตผี? หึ! คนจากอารามจันทร์กระจ่างอันศักดิ์สิทธิ์กลับใช้คาถาต่ำช้าเช่นนั้นมาต่อสู้กับแม่นางน้อยผู้หนึ่ง ชั่วช้าสามานย์นัก”

ไป๋จือเยี่ยนมีสีหน้าดูถูกเป็นอย่างยิ่ง แดนเมฆาสวรรค์มีพวกคนชั้นเลวอยู่มากเสียจริง

โหลวจวินเหยานัยน์ตาหรี่ลง เด็กสาวที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นผู้นี้เต็มไปด้วยปริศนามากมายนัก

ครั้งแรกที่ได้พบกัน นางเข้าใกล้ร่างเขาขนาดนั้นแต่กลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย วิชาแพทย์ของนางสามารถทำให้ไป๋จือเยี่ยนผู้หยิ่งในศักดิ์ศรีมองนางแตกต่างไปจากเดิม เขายังไม่รู้แน่ชัดถึงพลังและความสามารถของนาง แต่นางสามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือเขาไปได้ในครานั้น นับว่าพลังไม่ต่ำต้อยแน่นอน

นางต้องมาพัวพันเช่นนี้เป็นเพราะเขา ในใจโหลวจวินเหยาพลันบังเกิดความรู้สึกซับซ้อน

แม้นางจะกล่าวว่าทำเช่นนี้เพื่อชดใช้หนี้แก่นเพลิงเยือกแข็งที่เคยติดค้าง เพียงแค่นางถอนคำสาปกลืนอารมณ์และนำหนอนกู่หยินหยางเพลิงเยือกแข็งออกจากร่างให้เขา เป็นสองสิ่งที่ทรมานเขาไม่จบไม่สิ้นมานานหลายปี นั่นก็นับได้ว่านางชดใช้เขากลับเป็นร้อยเท่าได้แล้ว

โหลวจวินเหยามีชีวิตอยู่มาแล้วหลายร้อยปี ไม่เคยติดค้างผู้ใดมากมายเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังไม่มีผู้ใดกล้าติดค้างเขาเช่นกัน

หากแต่ตอนนี้ ไม่เพียงเขาติดหนี้ชีวิตนาง ยังเพิ่มพูนหนี้มากขึ้นไปอีกใช่หรือไม่!?

ร่างกายพลันแข็งค้างไปเมื่อจิตใจจดจ่ออยู่กับความคิดยุ่งเหยิง เขาจะชดใช้หนี้ทั้งหมดนี้อย่างไรดี ฉับพลันนัยน์ตาสีม่วงกลับมองมายังแขนตน

นิ้วเรียวบางกำลังจับแขนเขาไว้ มือเล็กนั้นเย็นเฉียบ ดูท่านางจะกำลังฝันร้าย นางกำรอบแขนเขาไว้แน่น เหงื่อเย็นผุดขึ้นที่หน้าผาก สองคิ้วขมวดเป็นปม

โหลวจวินเหยาจับนิ้วเย็นเฉียบของนางไว้อย่างเผลอตัวก่อนจะเอ่ยเสียงเรียกออกไปด้วยความไม่แน่ใจ “จิ้งจอกน้อย?”

ขนตายาวของเด็กสาวพลันสั่นไหวสองคราราวกับกำลังจะตื่นขึ้น หากแต่มีแรงกดดันภายในที่ดึงนางไว้ ไม่ว่าพยายามเท่าไหร่ก็ไม่อาจลืมตาขึ้นมาได้

“นายหญิง! นายหญิงตื่นเถอะ! นายหญิง! ท่านอย่าหลับต่ออีกเลย…..”

“เสี่ยวอวี่! เจ้าอยู่ที่ใด? รู้หรือไม่ว่าข้ากำลังตามหาเจ้าอยู่? เจ้าอยู่ที่ไหนกัน?”

ใครกำลังเรียกนางอยู่?

ภายใต้เสียงเรียกที่ดังไปทั่วทุกทิศทาง เงาร่างมนุษย์สองคนปรากฏขึ้นตรงหน้า เด็กหนุ่มผมสีทองคือจิตวิญญาณอาวุธของนาง ไหมไหม ส่วนอีกเงาร่างหนึ่ง เมื่อนางพยายามเพ่งมองให้ชัด นางกลับต้องชะงักค้างไป นั่นมันชางไห่อ๋องแคว้นหลินยวนไม่ใช่หรือ?

เงาร่างทั้งสองพลันสลายหายไปในความมืดมิด ไม่ปล่อยให้นางคิดจนวุ่นวายใจนานนัก

ท้องฟ้าสีเลือดฉายชัดให้เห็น ภายในค่ายกลรูปดาวหกแฉกมีบุรุษและสตรีกำลังกอดกันแน่น โซ่ที่หนาเท่าแขนคนตรึงทะลุกระดูกสะบักบนร่างชายผู้นั้น ส่วนมีดในมือหญิงสาวแทงเข้าที่ท้องของชายในอ้อมกอดของนาง

นางเห็นใบหน้าของสตรีผู้นั้นไม่ชัดนัก หากแต่รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนริมฝีปากทั้งน่ามองและชุ่มโชกไปด้วยหยาดโลหิตไปในเวลาเดียวกัน

“ในที่สุด….. เราก็ได้อยู่ด้วยกันเสียที”