บทที่ 58 ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีก

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

“ในที่สุดพวกเราก็ได้อยู่เคียงค้างกัน ไม่พรากจากกันตลอดกาล”

เป็นน้ำเสียงอ่อนโยนของผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งอ่อนหวานและอบอุ่น ขัดกับการกระทำและรอยยิ้มเปื้อนเลือดอย่างสิ้นเชิง

ชิงอวี่อยากมองหน้านางให้ชัดเจน แต่เหมือนมีหมอกลึกลับบาง ๆ คอยปกคลุมร่างของนางอยู่ ส่งผลให้ไม่อาจเห็นใบหน้าของนางได้ หลังจากพูดประโยคนั้นจบ นางก็ค่อย ๆ หันมามองทางชิงอวี่ ริมฝีปากแดงฉานเผยอออกเล็กน้อยราวกับกำลังเอ่ยบางอย่าง หากแต่ไร้เสียงใดออกมา

ไม่อาจรู้ได้ว่าเพราะสาเหตุใด ชิงอวี่จึงรู้สึกได้ว่าสตรีผู้นั้นกำลังหันมามองนาง

ส่วนคำที่นางเอื้อนเอ่ยออกมาหากแต่ไร้เสียง ดูจากรูปปากนางแล้ว ชิงอวี่ก็สามารถเข้าใจคำที่นางเอ่ยได้

นางพูดว่า ขอโทษ

สตรีผู้นั้นเอ่ยกับนางว่าขอโทษ

ขอโทษอันใดกัน?

“จิ้งจอกน้อย ตื่นเถอะ อย่าหลับต่ออีกเลย…..”

ทันใดนั้นท้องฟ้าสีเลือดก็จางหายไป ชายและหญิงกอดกันแน่นเองก็เลือนหายไปต่อหน้าต่อตา สิ่งที่นางเห็นเบื้องหน้าคือชุดผ้าต่วนสีม่วงอ่อน

ชิงอวี่กะพริบตามองภาพตรงหน้าด้วยความมึนงง นางอยู่ที่ไหนกัน?

“สวรรค์โปรด ขอบคุณสวรรค์และผืนปฐพี แม่นางน้อยฟื้นแล้ว!” นัยน์ตาดอกท้อของไป๋จือเยี่ยนเบิกกว้าง ใบหน้ายินดีปรีดายิ่ง “มองข้า เจ้าจำข้าได้หรือไม่?”

พบกันครั้งสุดท้าย คิดดูแล้วก็ผ่านไปกว่าสามเดือน เด็กสาวยังเด็กนัก ตอนนี้อาจจะจำเขาไม่ได้แล้วก็เป็นได้

สำหรับเด็กสาวที่เพิ่งฟื้น สติยังไม่กลับมาเต็มที่ เสียงดังเกินเหตุของเขาจึงเป็นเหมือนกับเสียงอึกทึกครึกโครม นางขมวดคิ้วมุ่นในพลัน ดวงตางามปิดลงทันใดราวกับไม่สบายตัว ริมฝีปากซีดเผยอเอ่ยคำพูดสองคำ “หนวกหู”

สองสามวันที่ผ่านมาเขาถูกคนไร้หัวใจดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นหมอเถื่อน ไป๋จือเยี่ยนเฝ้ารอให้เด็กสาวฟื้นขึ้นมาเพื่อที่ตนจะได้พิสูจน์ความสามารถ ในใจได้แต่ภาวนาอ้อนวอนให้เด็กสาวได้สติ หากแต่ความยินดีที่เฝ้ารอกลับตอบแทนเขาด้วยคำว่า “หนวกหู” เพียงสองคำ ในใจเขาตอนนี้ เรียกว่าโลกล่มสลายก็ยังไม่อาจใช้อธิบายความรู้สึกได้

หากแต่เรื่องนั้นยังไม่ใช่สิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุด

โหลวจวินเหยานั่งมองเด็กสาวมาโดยตลอด เมื่อเห็นใบหน้านางเจือแววรำคาญเพียงเล็กน้อย เขาก็เอ่ยเสียงเรียบขึ้นมาทันที “ออกไป”

ไป๋จือเยี่ยน “…..”

ออกไป? ไล่เขาอีกแล้ว!?

บัดซบ! นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้กำลังโกรธเขาใช่หรือไม่? ข้าเป็นผู้ที่จะเรียกหาก็มาจะขับไล่ไสส่งก็ต้องไปงั้นหรือ!?

ก็ดี! ข้าไปแน่! ใครสนกัน!?

ไป๋จือเยี่ยนเดินจากไปด้วยใบหน้าโศกเศร้า ลากบุรุษที่นั่งสัปหงกอยู่ที่มุมห้องออกไปด้วย ทั้งยังไม่ลืมกระแทกประตูทิ้งท้ายเสียงดังปัง

ชิงอวี่ขมวดคิ้วปวดหัวตุบ กำลังคิดจะยกแขนขึ้นนวดขมับ แต่กลับพบว่ามือตนกำลังจับบางสิ่งอยู่แน่น

นางก้มลงมองโดยสัญชาตญาณ พบว่าตนกำลังจับมือโหลวจวินเหยาไว้

นัยน์ตาหงส์พลันเบิกกว้าง มองภาพนั้นด้วยความตกใจ จากนั้นสะบัดมือนั่นทิ้งราวกับถูกของร้อน

โหลวจวินเหยา “…..” นิสัยใช้แล้วทิ้งเช่นนี้ของนางทำเขาพูดไม่ออก

ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าชิงอวี่จะตื่นเต็มตา นางหลับไปนาน รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่าง นางรวมพลังวิญญาณให้ไหลเวียนไปทั่วร่าง จากนั้นจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง

หลังจากเห็นว่านางตื่นเต็มที่แล้ว ทั้งแก้มซีดยังมีเลือดฝาดเล็กน้อย ดูท่าจะสบายดี โหลวจวินเหยาจึงเอ่ยขึ้นช้า ๆ “เจ้าหลับไปห้าวันเต็ม”

ชิงอวี่ชะงักไป “ท่านว่าอย่างไรนะ? ข้าหลับไปห้าวันหรือ?”

ภาพงานเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญยังเด่นชัดในความทรงจำ เวลาขนาดนั้นผ่านไปเร็วเช่นนี้เลยหรือ? นางรู้สึกเพียงว่าเวลาผ่านไปไม่เท่าไหร่ จำได้เพียงว่าตนติดอยู่ในฝันร้าย…..

เดี๋ยวก่อน สีหน้าชิงอวี่พลันแข็งค้างไป

นางยังจำได้ว่าตนติดอยู่ในความฝัน หากแต่เหตุใดจึงไม่สามารถจดจำความฝันนั่นได้เลยเล่า? นางลืมเหตุการณ์ทั้งหมด จำสิ่งใดในฝันไม่ได้แม้แต่น้อย

ยังมีความรู้สึกบาง ๆ หลงเหลืออยู่ หากยิ่งนึกก็ยิ่งจำไม่ได้

แม้จะไม่อาจจำสิ่งใดได้ในตอนนี้ หากแต่นางก็ไม่ดื้อรั้นฝืนนึก “ท่านกลับแดนนั้นไปแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงกลับมาที่นี่อีก?”

โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว “ข้าจัดการเรื่องต่าง ๆ เสร็จ ไม่มีอะไรทำก็เลยมาหาเจ้า”

หากคนจากแคว้นมารผ่านมาได้ยินประโยคนี้เขา พวกเขาคงจะอยากกระอักเลือดพุ่งไปไกลถึงสามฉื่อ[1]

เกรงว่าผู้ที่ไม่มีอะไรทำในแคว้นมารก็คงจะเป็นนายท่านผู้นี้ผู้เดียว!

ตอนกลับไป เขาทำเพียงปรากฏตัวให้ทุกคนได้ตื่นเต้นยินดี จากนั้นงานน้อยใหญ่ล้วนถูกจัดการโดยลูกน้องมือดีทั้งสิ้น บนแดนเมฆาสวรรค์มีคนที่เกลียดชังเขามากจนถึงขั้นต้องการสังหารคนทั้งแคว้นของเขา หากแต่ก็ยังมีผู้ที่นับถือบูชาเขาราวกับเซียนจากสวรรค์ชั้นเก้าอยู่เช่นดัน

ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ชิงอวี่ก็เหลือบมองเขาพร้อมรอยยิ้มบาง “ท่านกลับมาหาข้าหรือ? ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะท่าน?”

“เจ้าไม่ได้อ่อนแอเช่นนั้น” โหลวจวินเหยาคล้ายกับไม่สังเกตน้ำเสียงไม่พอใจของนาง นัยน์ตาสีม่วงส่องประกาย “เรื่องเกิดเพราะข้า ข้าย่อมจัดการแน่นอน อีกทั้งข้ายังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณที่เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ หากแยกทางกันตอนนี้ข้าไม่กลายเป็นคนเนรคุณหรือ?”

น้ำเสียงมั่นใจของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาล่วงรู้ความลับบางอย่างที่นางซ่อนไว้

ชิงอวี่ละสายตากลับมาก่อนถอนหายใจเสียงเบา “ท่านไม่ได้ติดหนี้ชีวิตข้า ข้าเพียงตอบแทนเรื่องแก่นเพลิงเยือกแข็งเท่านั้น อีกทั้งทั้งยังเป็นคนของท่านที่ช่วยข้าออกมาจากหอคอยกั้นวิญญาณ ดังนั้นถือว่าไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีก”

“เช่นนั้นเจ้าหมายความว่า?” นัยน์ตาชายหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นล้ำลึก นัยน์ตาสีม่วงยิ่งดูน่าค้นหากว่าเก่า

“สตรีที่ตามมาล้างแค้นข้าคงเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ยังไม่ถูกจัดการ” ชิงอวี่เอ่ยขึ้นช้า ๆ ดวงตาหงส์ของนางมองตาเขา “ข้าไม่เกรงกลัวเรื่องเช่นนี้ หากแต่เกลียดชังปัญหา ท่านมีศัตรูรอบกายมากเกินไป ข้าก็ไม่อยากกวนน้ำให้ขุ่น ดังนั้นหากพวกเราไม่ข้องเกี่ยวกันย่อมดีที่สุด”

ระหว่างที่พูดนางก็ลุกขึ้นจากเตียง กำลังลูบผ่านรอยยับบนแขนเสื้อตน

โหลวจวินเหยายืนมองแผ่นหลังบาง พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป “หึ ๆ เจ้าคิดจะตัดขาดความสัมพันธ์ทั้งหมดเลยหรือ?”

“ระหว่างเราก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใดมากมายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” เด็กสาวมือแตะอยู่ที่ประตู กำลังผลักบานประตูเปิดออก ยามได้ยินคำที่เขาพูดฝีเท้าจึงหยุดชะงัก จากนั้นหันกลับมามองเขา “จริง ๆ แล้วเราอาจเป็นสหายกันได้ แต่ว่า….. ท่านอันตรายเกินไป ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหลายปี”

เหตุการณ์ในครั้งนี้ทิ้งความรู้สึกล้ำลึกไว้ให้นาง นางเข้าใจในที่สุดว่าการช่วยเหลือเพื่อความยุติธรรมและการยุ่งเรื่องของคนอื่นนั้นนับเป็นโรคชนิดหนึ่ง เป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษา!

ตอนที่ชิงอวี่เดินออกมา ก็พบเข้ากับไป๋จือเยี่ยน ในมือเขากำลังคว้าร่างชายไร้กระดูกชุดเทาและบ่นอะไรบางอย่างอยู่ เมื่อเขาเห็นว่านางเดินออกมา นัยน์ตาก็เป็นประกายขึ้น “หายแล้วหรือ? แล้วจะออกไปเลยหรือ?”

นัยน์ตาเป็นประกายส่งผลให้ชิงอวี่ขมวดคิ้วมุ่น เหตุใดจึงทำหน้าเหมือนสุนัขเห็นกระดูกเช่นนั้น?

อาจเพราะเห็นว่านัยน์ตาของเด็กสาวที่มองมาดูประหลาดไปเล็กน้อย ไป๋จือเยี่ยนจึงชะงักไป “เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ?”

“จำได้” ชิงอวี่พยักหน้าเล็กน้อย เหลือบมองชายในชุดสีเทาราวสองวิ ก่อนจะเดินออกจากหอเมฆาเคลื่อนต่อไป “ขออย่าได้พบกันอีก”

ไป๋จือเยี่ยยยื่นนิ่งไป มองนางเดินจากไปไกลแล้วถึงเพิ่งพึมพำออกมาด้วยความไม่เข้าใจ “อย่าได้พบกันอีกอะไรกัน? หรือจวินเหยาทำนางโกรธ…..”

‘โครม!’

เสียงดังจากชั้นบนทำเอาเขาหยุดชะงัก เสียงนั้นกะทันหันและดังมาก กระทั่งชายในชุดเทาที่กำลังนอนหลับหัวซบโต๊ะอยู่สะดุ้งตื่น

“เกิดอะไรขึ้น? แผ่นดินไหวหรือ??” ชายหนุ่มชุดเทาสะดุ้งตื่น หันมาเอะอะโวยวายกับไป๋จือเยี่ยน เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นอีก จึงแนบศีรษะลงกับโต๊ะดังเดิม เมื่อหัวสัมผัสโต๊ะ ลมหายใจแผ่วยาวก็ดังขึ้นในทันที

ไป๋จือเยี่ยนมุมปากกระตุก สักวันเจ้าหมอนี่คงได้ตายแบบไม่รู้ตัว

— จวนหย่งอันอ๋อง —

ภายในเรือนสงบเงียบ เด็กหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งหินในสวนอย่างเงียบเชียบ มือหนึ่งอุ้มคางคกเสี่ยวเสวี่ย อีกมือหนึ่งถือตำราแพทย์ มุมหนังสือขาดเล็กน้อยราวกับถูกเปิดอ่านบ่อยครั้งนัก

“เสี่ยวเสวี่ย ชิงอวี่ไปแล้วหรือ? นางไม่เคยไม่กลับบ้านนานขนาดนี้มาก่อนเลยนะ”

เด็กหนุ่มพึมพำเสียงเบา หากมองดูตาเขาดี ๆ จะเห็นว่านัยน์ตาแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือดสีแดง

ตั้งแต่ที่เทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญจบลง ชิงอวี่ก็หายตัวไปไม่กลับเรือน เขาไม่ได้หลับมาหลายวัน คิดเพียงเรื่องทั้งหมดคงเป็นเพียงความฝัน หากเขาหลับไปตอนนี้ เกรงว่าตนเองจะไม่อาจตื่นจากฝันร้ายนี้ได้อีก

เขาเชื่อว่าชิงอวี่ต้องกลับมาอย่างแน่นอน นางสัญญากับเขาไว้แล้วว่าจะอยู่เคียงข้างเขา

เด็กหนุ่มยกมือหนึ่งขึ้นปิดตาราวกับต้องการกลั้นน้ำตาที่หลั่งไหลอยู่ภายในใจ

ฉับพลันคางคกหิมะในมือเขากระโดดออกไปพร้อมส่งเสียงร้อง เจ้าตัวน้อยที่ไม่ร้องสักเอะมาหลายวันจู่ ๆ ก็มีท่าทางตื่นเต้นยามได้ยินเสียงคุ้นเคยเจือแววหัวเราะดังขึ้น “พวกเจ้ามานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้? นั่งรอข้าหรือ?”

แผ่นหลังชิงเป่ยเหยียดตรงขึ้น เขา….. หลอนไปงั้นหรือ?

“เสี่ยวเป่ย นี่เจ้านั่งสัปหงกตอนกลางวันแสก ๆ เช่นนี้หรือ?!” มือหนึ่งพลันตบลงมาบนไหล่ ความรู้สึกเย็นเยียบทะลุผ่านเสื้อเข้าสู่ผิวหนัง มือที่ยกขึ้นปิดหน้าพลันลดต่ำลง จากนั้นหันไปมองเด็กสาวด้านหลังตนในทันที

นัยน์ตาแดงฉานจ้องชิงอวี่นิ่ง “เกิดอะไรขึ้น?” ไม่ได้เห็นเด็กคนนี้เพียงไม่กี่วัน สภาพเขากลับย่ำแย่ดั่งคนวิกลจริตถึงเพียงนี้

ชิงเป่ยทำเพียงเบิกตามองนางกว้าง มองนางตาไม่กะพริบ จากนั้นกอดเอวนางไว้เหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ ซบหัวลงบนตัวนางแล้วเอ่ยเสียงสะอื้น “ข้านึกว่าท่านไปจากข้าแล้ว”

ชิงอวี่ชะงักค้างกับท่าทีฉับพลันของเด็กหนุ่ม หากแต่ก็มองเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารด้วยสายตาเห็นใจ ท่าทีของเด็กคนนี้ราวกับเพิ่งพบเจอเรื่องเจ็บปวดใจอย่างแสนสาหัส นางยื่นมือออกไปขยี้ผมของเขา “เด็กโง่ ทำอะไรของเจ้า? อายุเท่าไหร่แล้วยังร้องไห้จนจมูกแดงไปหมดเช่นนี้อีก? ไม่อายหรือ?”

“ท่านบอกว่าจะไม่ทอดทิ้งข้า จะคอยอยู่เคียงข้างข้า!” เด็กหนุ่มไม่อายแม้แต่น้อย ทั้งยังต่อว่านางอย่างดื้อดึง

“ใครทิ้งเจ้ากัน? ข้าเพียงแต่เจอเหตุไม่คาดฝันก็เท่านั้น” ชิงอวี่พูดแล้วถอนหายใจออกมา หากคืนนั้นนางไม่ออกไป คนอีกหลายร้อยชีวิตในวังหลวงคงพบกับหายนะ หากแต่นางจะเล่าให้เด็กคนนี้ฟังอย่างไรดี?

ถึงตอนนี้เขาจะค่อย ๆ เติบใหญ่ขึ้นจากเดิม หากแต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งมากพอในอีกหลายเรื่อง

ชิงอวี่ผละตัวออกจากอ้อมกอดแน่นของเขา มองใบหน้าซูบที่ไม่ได้นอนมาหลายวัน ใบหน้านางพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังเข้มงวด “เรื่องเช่นนี้ ข้าได้แต่หวังให้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย”

ชิงเป่ยชะงักไปเมื่อจู่ ๆ นางก็เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง

“เจ้าต้องจำไว้ ในโลกใบนี้ไม่อาจพึ่งใครได้ พึ่งได้แต่ตนเองเท่านั้น” ชิงอวี่ตบไหล่เด็กหนุ่ม นัยน์ตาทะมึนลง “เจ้าต้องแข็งแกร่ง ฉะนั้นอย่างแรกเจ้าต้องไร้จุดอ่อน ไม่ว่าใครจะจากเจ้าไปเจ้าก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ เข้าใจหรือไม่? กับข้าเองก็เช่นกัน หากมีวันใดที่ข้าไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้า ข้าได้แต่หวังว่าวันนั้นจะเป็นวันที่เจ้ามีกำลังกล้าแข็งพอจนไม่มีผู้ใดกล้ามาหาเรื่องเจ้าได้”

[1] 1ฉื่อ เท่ากับ 10นิ้ว