ชิงเป่ยมองนางด้วยสายตามึนงง

นายหายไปเพียงไม่กี่วัน หากแต่กลิ่นอายบนร่างนางกลับล้ำลึกขึ้นกว่าเดิมมาก ในพริบตานั้นราวกับนางกำลังสั่งสอนเขาอย่างเคร่งขัด บังคับให้เขาเติบใหญ่ขึ้นในพลัน

“ท่านพี่…..” นัยน์ตาขาเขาพลันฉายแววไม่คุ้นเคยและสับสนยามมองนาง

“เสี่ยวเป่ย เจ้าต้องโตได้แล้ว” ชิงอวี่นั่งลงข้างเขา มองใบหน้าไร้เดียงสาของเขานิ่ง ถึงจะไม่อยากเอ่ยมันขึ้นมา หากแต่ก็ยังพูดขึ้นเสียงเบา “สมัยที่ข้าอายุเท่าเจ้า ข้าก็อยู่ตัวคนเดียว ข้ากำลังจะได้ตำแหน่งผู้นำตระกูล มีคนมากมายที่ไม่อาจเห็นเด็กสาวเช่นข้าเป็นผู้นำตระกูล หากแต่ข้าก็มีอำนาจแกร่งกล้ากว่าพวกเขา จนพวกเขาเกรงกลัวข้าไม่กล้าเอ่ยอันใดออกมา”

เด็กหนุ่มตะลึงไปเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินนางเล่าถึงเรื่องในอดีต

“แต่ก่อนท่านเป็นเช่นไร?” ชิงเป่ยรู้สึกสงสัยขึ้นในพลัน

ได้ยินดังนั้น ชิงอวี่ทำเพียงยิ้มบางให้ “ตัวข้าในอดีต…..” นางหยุดชะงักไป ราวกับกำลังรำลึกย้อนถึงความหลัง “เป็นร่างไร้วิญญาณที่เย็นเฉียบและไร้หัวใจ ทำเป็นเพียงการบำเพ็ญเพียร ในหัวคิดเพียงเรื่องเดียวคือต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้”

“ท่านไม่มีครอบครัว?”

“ครอบครัวหรือ? มีสิ” ชิงอวี่ลดสายตาลงมองต่ำ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “หากแต่ยามมีอำนาจมาวางไว้ตรงหน้า ครอบครัวจะมีหรือไม่มีก็ย่อมได้ แต่ไหนแต่ไรมาก็มีการห้ำหั่นกันเองในตระกูลให้ได้เห็นกันอยู่เรื่อย ๆ”

แม้ตอนนี้นางจะพูดถึงมันอย่างไม่คิดสิ่งใด หากแต่ตอนที่มันเกิดขึ้นกับนางจริง ๆ นางกลับไม่อาจยอมรับได้

ดังนั้นเมื่อชาติก่อนนางจึงเลือกความตาย

อย่างน้อยนางก็ยังสามารถหลอกตนเองว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ความทรงจำที่งดงามเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง

ชิงอวี่ดึงความคิดตนที่ล่องลอยไปไกลให้กลับมาอยู่กับเนื้อตัว ก่อนจะหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้ม “จำตอนที่เราพบกันครั้งแรกได้หรือไม่?”

พวกเขาเป็นฝาแฝด อยู่เคียงข้างกันมาตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นการพบกันครั้งแรกของนางหมายถึง…..

“ตอนนั้นเจ้ายังเด็กนัก หากแต่ก็ยอมเลือกความตายเพื่อพี่สาวตนเอง ตัวเจ้ายังมีความหวังอันสดใสส่องประกาย เจ้าสมควรมีชีวิตที่ดีกว่านี้ เพราะงั้นข้าจะช่วยเจ้า”

จากที่เคยเห็นพี่ชายตนเองที่นับเป็นครอบครัวที่นางสนิทสนมด้วยที่สุดกลับบ้าคลั่งทำร้ายนางเพราะอำนาจและเงินตราเพื่อจะได้ไต่เต้าไปยังจุดดสูงสุด ชิงอวี่ก็ไร้ความเชื่อใจให้ใครอีก

หากสายเลือดและความสัมพันธ์ถูกตัดขาดได้ง่ายพึงเพียงนี้ เช่นนั้นบนโลกใบนี้มีสิ่งใดที่จริงใจบ้าง?

ทันใดนั้นเองจากเด็กสาวผู้มีจิตใจเมตตาไร้เดียงสาก็เติบโตขึ้น นางอยู่ในช่วงวัยที่ควรจะต้องหัวเราะอย่างมีความสุข ใช้ชีวิตอย่างสดใสร่าเริง หากแต่ตอนนั้นนางกลับต้องทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ จิตใจมั่นคงราวกับผ่านพ้นมรสุมต่าง ๆ ในชีวิตมาแล้วหลายปี

นางอาจเลือกยอมพ่ายแพ้แก่ทุกสิ่งและไม่พึ่งพาสิ่งใดหรือผู้ใดอีกต่อไป หากการมีอำนาจจะทำให้คนข้างกายยอมทรยศนาง นางขอเลือกเป็นคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดให้คนอื่นได้แต่เงยหน้ามองยังดีเสียกว่า

เด็กคนนี้ก็เหมือนนางในอดีต บริสุทธิ์ราวกับผ้าขาว ความโสมของโลกยังไม่แปดเปื้อนในดวงตาสุกใสคู่นี้ หากแต่การที่เขาเป็นเช่นนี้ คอยหลบอยู่ใต้ปีกนางเช่นนี้ หากวันใดนางต้องจากเขาไป เขาจะต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้เช่นไร?

นางไม่ต้องการให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น

ใบหน้างดงามไร้ที่ติของเด็กสาวพลันโศกเศร้าชวนให้มองแล้วเจ็บปวดใจตาม

“ท่านพี่…..” ชิงเป่ยเรียกนางเสียงเบา กุมมือนางไว้อย่างแผ่วเบา น้ำเสียงเขาเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น “ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นในสักวัน และวันนั้นจะต้องมาถึงในไม่ช้าอย่างแน่นอน ไม่ว่าในอดีตท่านจะ….. เคยพบเรื่องร้ายใด ๆ มา ขอให้ท่านเชื่อคำข้า พวกเราเป็นคนสองคนคือพี่น้อง ไม่มีวันทำร้ายกันแน่นอน สักวันหนึ่งข้าจะปกป้องท่าน ให้ท่านยืนอยู่หลังข้าอย่างปลอดภัย”

ใบหน้าที่ยังไม่ประสาและหล่อเหลานี้ยังคงเด็กนัก ทั้งสดใสและเต็มไปด้วยพลังชีวิต สีหน้าเขาจริงจังเคร่งเครียด ยามเมื่อเอ่ยคำมั่นออกมาก็เผยกลิ่นอายมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้คนคล้อยตามคำเขาออกมาด้วย

ชิงอวี่ค่อย ๆ ยกยิ้มมุมปากขึ้น นิ้วเรียวลูบผ่านผมเด็กหนุ่ม ก่อนที่น้ำเสียงอ่อนโยนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าต้องทำได้แน่”

ตั้งแต่ครั้งแรกที่นางสบดวงตาที่ลุกโชนของเด็กคนนี้ นางก็เห็นแล้วว่าต่อไปเด็กคนนี้จะต้องมีชีวิตที่ไม่ธรรมดาสามัญแน่

——————–

ภัตตาคารร้อยรสเป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง เลื่องชื่อลือชาว่าเป็นสถานที่ดั่งสวรรค์ของอาหารเลิศรสทั้งหลายทั่วทั้งแคว้นชิงหลาน ภัตตาคารแห่งนี้ไม่เหมือนกับภัตตาคารหรูอื่น ๆ ที่ชอบดูถูกชาวบ้านธรรมดา อาหารทุกอย่างในภัตตาคารขายในราคาเหมาะสม ไม่แพงจนเกินไป ดังนั้นไม่เพียงแต่ชนชั้นสูงหรือเหล่าขุนนางที่แวะเวียนมายังภัตตาคารแห่งนี้อยู่บ่อยครั้ง ชาวบ้านทั้งหลายต่างก็ชื่นชอบที่นี่มากเช่นกัน

ภัตตาคารร้อยรสมีลูกค้าเต็มร้านทุกวัน เป็นเพราะในแต่ละวันจะทำอาหารเพียงห้าร้อยจานเท่านั้น ผู้ใดมาไม่ทันก็ไม่อาจแม้แต่จะได้ลิ้มรสชาติอาหารใดๆ ทั้งยังมีหลายคนที่ทำการจองโต๊ะในร้านไว้ล่วงหน้านานกว่าหนึ่งเดือน

ที่ภัตตาคารแห่งนี้ไม่แบ่งแยกชนชั้นต่ำสูง ลือกันว่าเจ้าของภัตตาคารร้อยรสแห่งนี้เป็นคนมีชื่อ ทั้งยังมีเบื้องหลังสูงส่ง ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าก่อปัญหาภายในร้านมาก่อน กระทั่งเสี่ยวเอ้อร์ที่คอยยกอาหารภายในร้านยังทำงานอย่างไร้ข้อผิดพลาด มารยาทเองก็งดงาม ราวกับถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

หลังจากที่ถอนหมั้นแล้ว เยี่ยนหนิงลั่วก็ดูมีรอยยิ้มบนหน้ามากขึ้นกว่าเก่า

โดยเฉพาะในตอนนี้ที่นางอยู่ใกล้บุรุษที่นางชมชอบมากขึ้นอีกก้าวหนึ่ง

เยว่ซินเหยียนชอบทำความรู้จักกับผู้มีอำนาจทั้งหลาย นางชื่นชอบผู้มีความสามารถที่มีพลังบำเพ็ญเพียรสูงส่ง นับตั้งแต่ที่พ่ายแพ้ให้เยี่ยนหนิงลั่ว ทั้งสองก็กลายเป็นสหายรักกัน

หากแต่นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยามที่เยี่ยนหนิงลั่วเชิญนางออกไปข้างนอกทีไร เยี่ยนหนิงลั่วก็จะเชิญชิงเยี่ยหลีให้มาด้วยเช่นกัน แม้ว่าชิงเยี่ยหลีจะไม่เคยตอบตกลงก็ตาม

วันนี้เยี่ยนหนิงลั่วพาเยว่ซินเหยียนมายังภัตตาคารร้อยรส หลังจากได้คุยกันจึงรู้ว่าองค์หญิงน้อยผู้ร่าเริงท่านนี้ชื่นชอบอาหารรสเลิศ ดังนั้นเพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ เยี่ยนหนิงลั่วจึงออกปากเชิญนางมากินอาหารในภัตตาคารที่มีชื่อและมีอาหารรสเลิศที่สุดในเมืองหลวง

“สวรรค์!” ดวงตาสีน้ำเงินของเยว่ซินเหยียนเบิกตาโตมองภาพเบื้องหน้า บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง “ข้าไม่เคยเห็นร้านอาหารใดมีคนมากเท่านี้มาก่อน แน่นขนัดเต็มร้านเชียว”

ภัตตาคารร้อยรสมีทั้งหมดสามชั้น หากมองผ่าน ๆ ชั้นหนึ่งในตอนนี้มีผู้คนเต็มร้าน คนมากกระทั่งยอมยืนเบียดกันแม้แต่เก้าอี้ก็ไม่ได้นั่ง ส่วนบนระเบียงชั้นสองก็เห็นกลุ่มคนมากมายที่ยืนดื่มยืนคุยกันอย่างครึกครื้น

เยี่ยนหนิงลั่วมองใบหน้าตกใจขององค์หญิงแล้วเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “องค์หญิงไม่ใช่คนแคว้นชิงหลาน ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นคงรู้แล้วว่าทุกวันก็เป็นเช่นนี้ ภัตตาคารร้อยรสมีลูกค้าแน่นตลอดทุกวัน มีทั้งผู้ที่มาจากแดนไกลที่หวังจะได้มาลิ้มลองอาหารที่นี่สักจาน”

“อาหารเลิศรสขนาดนั้นเลยหรือ? คนจะมีพ่อครัวมือฉมังมากเป็นแน่ ข้าจะเชิญเขามาเป็นพ่อครัวในแคว้นหลินยวนได้หรือไม่นะ” ความคิดของเด็กสาวทั้งไร้เดียงสาและสวยงามนัก

“เรื่องนั้นคงไม่ง่าย พ่อครัวที่นี่รับคำสั่งจากเจ้านายตนเท่านั้น เคยมีคนเสนอเงินจำนวนมากจ้างพวกเขา หากแต่พวกเขาเพียงปฏิเสธอย่างไม่สนใจ”

ระหว่างที่เยี่ยนหนิงลั่วพูด นางก็ส่งแผ่นผลึกแก้วไปให้ชายหนุ่มหน้าตาดีที่ยืนอยู่หน้าประตูเมื่อชายหนุ่มเห็นของสิ่งนั้นก็รับมันมาด้วยความเคารพนบน้อม ใช้พลังวิญญาณวาดผ่านผลึกนั่นเล็กน้อยก่อนจะส่งมันคืนให้ จากนั้นก็ทำท่าเชื้อเชิญ “อาหารถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญขึ้นไปที่ห้องรอยจันทร์ที่ชั้นสองได้เลยขอรับ”

อวี้เซียวหนิงสนิทกับเถ้าแก่ภัตตาคารร้อยรสอยู่บ้าง และเยี่ยนหนิงลั่วก็ได้ประโยชน์จากตรงนั้นเช่นกัน นางไม่ต้องจองร้านล่วงหน้า ทั้งยังได้ห้องส่วนตัวอีกต่างหาก

อาจเป็นเพราะโชคชะตาลำดับมา หลังจากเยี่ยนหนิงลั่วและเยว่ซินเหยียนเดินขึ้นมาถึงชั้นสอง เดินผ่านห้องรอยตะวันที่อยู่ถัดมา เยี่ยนหนิงลั่วก็พลันได้ยินน้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์อันคุ้นหู เป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่บุรุษผู้นั้นทำให้นางรู้สึก

“มีอะไรหรือ?” เยว่ซินเหยียนเห็นว่าจู่ ๆ นางก็นิ่งไปจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ชางไห่อ๋อง….. ดูเหมือนจะอยู่ที่นี่เช่นกัน” เยี่ยนหนิงลั่วเอ่ยขึ้น จากนั้นสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตูเสียงเบา

รออยู่ครู่หนึ่งประตูก็ถูกเปิดออก จากนั้นคนงามที่มีใบหน้าเย้ายวนมีเสน่ห์ก็ยื่นหน้ายิ้มออกมา นับเป็นใบหน้างามของ….. บุรุษเสียจริง

เบื้องหลังม่านลูกปัดคือบุรุษผู้ที่เรือนผมสีเงินดูโดดเด่น มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นใคร

“เฮ้ บังเอิญเสียจริง! องค์หญิงหนิงเฟิ่งกับองค์หญิงเก้าก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน” ไป๋หลี่จีหรานชะงักไปนิดหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ

“ขออภัยด้วยหากพวกข้ารบกวนท่าน เราได้ยินเสียงพวกท่าน ดังนั้นจึงเดินมาทักทาย” เยี่ยนหนิงลั่วเอ่ยพร้อมหยักหน้ารับอย่างสุภาพ สุขุมและสง่างาม นับเป็นสตรีที่ฉลาดนัก

ไป๋หลี่จีหรานคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ

ส่วนเยว่ซินเหยียนที่อยู่ข้าง ๆ ในสายตาพลันมีแววตาประหลาด

นางรู้จักพี่เยี่ยหลีมานานหลายปี กระทั่งนางยังจำเสียงเขาเมื่อครู่ไม่ได้ หากแต่เยี่ยนหนิงลั่วกลับมั่นใจนักว่าต้องเป็นเสียงพี่เยี่ยหลี่ ช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจจริงๆ

แม้เยว่ซินเหยียนจะใช้ชีวิตอยู่ในวังมาโดยตลอด ทั้งไร้เดียงสาและใจดี หากแต่ก็ไม่ไร้สมอง นางจับสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติได้ทันที

นางรู้จักรุกและถอยตามสมควร ส่งผลให้ไป๋หลี่จีหรานชอบนางขึ้นมาอีกเล็กน้อย “เอาล่ะ! เช่นนั้นไม่มานั่งด้านในด้วยกันเล่า?”

เขาเพียงเอ่ยชวนตามมารยาทเท่านั้น หากแต่พริบตาต่อมากลับเห็นมุมปากเยี่ยนหนิงลั่วยกยิ้มขึ้น “เช่นนั้นก็ต้องขอรบกวนพวกท่านด้วย ข้าจะให้คนยกอาหารของพวกข้ามาไว้ที่ห้องนี้”

นางพูดเช่นนั้นออกไปแล้ว ไป๋หลี่จีหรานยังจะสามารถปฏิเสธได้อีกหรือไร? เขาไม่มีทางเลือก จำต้องเชิญพวกนางเข้ามาด้านใน

เยว่ซินเหยียนยืนทำตาเป็นประกายอยู่ด้านหลัง ยิ่งมั่นใจในสิ่งที่คิดไว้มากขึ้นกว่าเดิม

เยี่ยนหนิงลั่วผู้นี้….. กับพี่เยี่ยหลี…..

ภายในห้องส่วนตัว คนสามสี่คนนั่งตรงข้ามกัน ชิงเยี่ยหลีนั่งดื่มไม่เอ่ยคำใด บรรยากาศภายในห้องหนักอึ้งเล็กน้อย ชิงเยี่ยหลีอยู่ในสภาพเช่นนี้ เยว่ซินเหยียนมักไม่กล้าพูดมากนัก นางเคยเห็นยามชิงเยี่ยหลีโมโหมาแล้ว ดังนั้นจึงทักทายเขาเล็กน้อยแล้วไม่พูดอันใดอีก

เยี่ยนหนิงลั่วเห็นบรรยากาศแล้วก็เอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น “ช่วงนี้ท่านดูเศร้าหมองนัก ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดกวนใจอยู่หรือไม่ หากท่านยอมบอกพวกข้าอาจหาทางช่วยเหลือได้”

ไม่ทราบว่าด้วยสาเหตุใด ทั้ง ๆ ที่คนทั้งคู่เคยเจอหน้ากันเพียงครั้งเดียว หากแต่ท่าทางที่เยี่ยนหนิงลั่วใช้พูดคุยกับเขานั้น ทั้งเป็นธรรมชาติและเป็นกันเองราวกับรู้จักกันมานานแสนนานแล้ว

“ไม่จำเป็น ขอบใจมาก” น้ำเสียงเขายังคงเย็นชาเหินห่างดังเช่นเคย ราวกับต้องการเว้นระยะห่างจากทุกคน ไม่อาจมีผู้ใดเอื้อมถึงใจเขาได้

ไป๋หลี่จีหรานเห็นว่าบรรยากาศยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงหัวเราะขึ้นบรรเทาความตึกเครียด “พวกข้าซาบซึ้งใจกับข้อเสนอขององค์หญิงหนิงเฟิ่งนัก หากแต่เรื่องนี้เกรงว่าท่านไม่อาจช่วยเหลือได้ กระทั่งข้ายังไร้เบาะแส”

“เช่นนั้นบอกข้าได้หรือไม่?”

“เรากำลังตามหาคน ทั้งคนผู้นี้ยังอาจจะมีหน้าตารูปร่างแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ข้าค้นมาครึ่งแดนมุกหยกแล้วไม่พบเบาะแสแม้แต่นิด ” ไป๋หลี่จีหรานพูดพร้อมยักไหล่ สีหน้าหมดหนทาง

“ที่แท้เป็นเช่นนี้” เยี่ยนหนิงลั่วกัดริมฝีปากพร้อมหัวเราะเสียงเบา ลากสายตาไปมองบุรุษที่ดูจะนั่งหดหู่อยู่อีกด้าน “หากท่านกำลังตามหาคน ไม่แน่….. ว่าข้าอาจจะช่วยท่านได้”

“จริงหรือ?” ไป๋หลี่จีหรานชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ

ชิงเยี่ยหลีที่นั่งยกจอกเหล้าขึ้นดื่มเองก็หยุดมือเช่นกัน ก่อนจะค่อย ๆ หันมามองทางนาง นัยน์ตาสีเขียวเข้มส่องประกายความหวังออกมาจาง ๆ