เยี่ยนหนิงลั่วยกยิ้มมุมปากข้างหนึ่งขึ้นโค้งเป็นรอยงาม “ในสำนักละอองหมอกมีสมบัติลับที่เรียกว่ากระจกพันเนตรล่าวิญญาณ เพียงมุ่งความคิดอยากตามหาผู้ใด ไม่ว่าคนผู้นั้นจะอยู่สุดหล้าฟ้าเขียว หากจิตวิญญาณยังไม่แตกสลาย กระจกจะแสดงภาพหน้าตาของคนผู้นั้นและสถานที่ที่คนผู้นั้นอยู่”

ไป๋หลี่จีหรานเอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึง “มีสมบัติล้ำค่าเช่นนั้นด้วยหรือ?”

“กระจกพันเนตรล่าวิญญาณทำให้สำนักละอองหมอกสามารถจับกุมคนทรยศได้ ไม่ว่าจะหนีไปไกลเป็นพันลี้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนหน้าตาหรือตัวตนไปเป็นคนอื่นเป็นอย่างไร ก็ยังไม่อาจรอดพ้นสายตาของกระจกพันเนตรล่าวิญญาณไปได้”

ใบหน้าภายใต้หน้ากากชิงเยี่ยหลีชะงักค้างไปในพลัน ในที่สุดเขาก็เคลื่อนสายตามามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจนได้ น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นทุ้มลึก “ข้าสงสัยว่าองค์หญิงหนิงเฟิ่งจะสามารถยืมสมบัติลับนั่นมาให้อ๋องผู้นี้ได้หรือไม่”

“ย่อมได้” ราวกับว่าพริบตาเมื่อครู่ ภาพของหญิงสาวเพิ่งจะสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาเป็นครั้งแรก เยี่ยนหนิงลั่วยิ้มรับพร้อมพยักหน้า “กลับไปข้าจะส่งคำขอไปยังท่านอาจารย์ อาจารย์ต้องตกปากรับคำแน่ หากแต่การเดินทางไปยังสำนักละอองหมอกไกลนัก อาจต้องรอหลายวัน”

“ไม่เป็นไร”

ชิงเยี่ยหลีมักตระหนี่เรื่องคำพูดเสมอ ครั้งนี้นับว่าเขาพูดยาวมากแล้ว

คนที่สามารถทำให้เขาออกตามหาได้เช่นนี้ต้องเป็นคนสำคัญมากแน่ แม้นางจะสงสัย หากแต่ก็ฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยถาม

ช่างบังเอิญนักที่ห้องตรงกันข้ามเป็นของไป๋จือเยี่ยนและชายหนุ่มชุดเทาผู้เอื่อยเฉื่อยผู้นั้น

หลังจากชิงอวี่ออกจากหอเมฆาเคลื่อนไปวันนั้น คนบางคนก็โกรธเป็นฟืนไฟ ไม่ว่าใครที่ขวางทางย่อมไม่รอดพ้น ไป๋จือเยี่ยนคร่ำครวญถึงความทุกข์ที่เขาต้องฝืนทนอย่างไม่มีวันหยุดพัก ดังนั้นเขาจึงหลีกหนีออกมาสักสองสามวัน ไม่กล้ากลับไปด้วยเกรงว่าตนจะกลายเป็นกระสอบทราย

“หือ?” ชายในชุดเทากำลังมีความสุขกับอาหารเลิศรสมากมาย หากแต่เมื่อเห็นเงาร่างหนึ่งดูคุ้นตาก็เงยหน้าขึ้นมอง

“อะไร?” ไป๋จือเยี่ยนถาม ใบหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นว่าคนที่สนแค่เรื่องกินและเรื่องนอน กลับให้ความสนใจกับสิ่งอื่นได้

“คนผู้นั้น!” ชายชุดเทาชี้นิ้ว ใบหน้าล้ำลึกเกินเข้าใจ

ไป๋จือเยี่ยนหันไปมองตามทิศที่เขาชี้ จากนั้นก็เห็นบุรุษสวมหน้ากากผมสีเงินที่แผ่กลิ่นอายเย็นชาออกมา ส่งผลให้เขาชะงักไปเล็กน้อย แม้คนผู้นี้จะแปลกประหลาดไปสักหน่อย หากแต่ก็ไม่ได้แปลกมากถึงขั้นที่ทำให้เจ้าคนเกียจคร้านผู้นี้ถึงกับหยุดกินแล้วชี้นิ้วด้วยความสนใจเช่นนี้ได้

“วันที่ข้าพาแม่นางน้อยกลับมา ข้าเห็นคนผู้นี้ยืนอยู่ด้านนอก ทำท่าเหมือนกับตั้งใจจะฝ่าเข้าไปหาแม่นางด้วย ตอนนั้นเกราะป้องกันด้านนอกเพิ่งถูกทำลาย” ชายชุดเทาคว้าน่องไก่ขึ้นมากัด “ข้าไม่อาจประเมินพลังบำเพ็ญเพียรของเขาได้ แต่มั่นใจว่าเขาต้องแข็งแกร่งมากเป็นแน่ อาจจะเป็นศัตรูของแม่นางน้อยก็เป็นได้”

“แต่แม่นางน้อยดูไม่น่าเป็นคนที่มีศัตรูมากมายเช่นนั้นนี่?” ไป๋จือเยี่ยนสับสนไปเล็กน้อย “แต่ก็อาจเป็นเช่นนั้นได้ ครั้งหน้าต้องอย่าลืมเตือนนาง”

แม้เจ้านี่ปกติจะพึ่งพาไม่ได้ ชอบทำตัวย้วยไปมาราวกับในร่างไม่มีกระดูก หากแต่มีฝีมือไม่เลว มีไม่กี่คนบนแดนเมฆาสวรรค์ที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ คนเช่นเขาบอกว่าบุรุษผู้นั้นแกร่ง ย่อมหมายความว่าไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

ไป๋จือเยี่ยนเหลือบมองห้องฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง จากนั้นยกมือขึ้นถูคางตน ดินแดนระดับล่างช่วงนี้ดูหวานฉ่ำน่าอร่อยขึ้นหรือไร? เหตุใดจึงมีผู้มีฝีมือหลากหลายคนมารวมตัวในเวลาเดียวกันมากราวกับผึ้งตรอมเกสรดอกไม้เช่นนี้!

——————–

ภายในจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย ท่านพี่สามของอวี้เซียวหนิงที่นางใส่ใจน้อยที่สุด วันนี้นางกลับพบว่าเขาดูผิดแปลกไป

คนเจ้าชู้ที่รู้จักกันทั่วเมืองหลวง ช่วงนี้ไม่ค่อยแวะเวียนมายังย่านโคมแดงแม้แต่นิด กลับเก็บตัวบำเพ็ญจิตใจและร่างกายแทนอยู่ในจวนแทน

ถูกต้อง บำเพ็ญจิตใจและร่างกาย อวี้จิงจั๋วกล่าวว่าจากนี้ต่อไปเขาต้องการเป็นบุรุษผู้มีคุณธรรม

ได้ยินดังนั้น อวี้เซียวหนิงก็ตกตะลึง กระทั่งโอกาสหาเงินมารออยู่ตรงหน้านางยังไม่สนใจ หากแต่จ้องมองชายหนุ่มท่าทางเหมือนบัณฑิตผู้ทรงภูมิที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนิ่ง นางอาจไม่เคยพูดออกมา หากแต่ยามเมื่อท่านพี่ผู้นี้จริงจังขึ้นมา ก็พอมีกลิ่นอายคุณชายชั้นสูงอยู่บ้าง แม้จะมีนิสัยผิดแปลกจากคนปกติอยู่บ้าง หากแต่ก็ได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี

“พี่สาม ท่านบอกข้ามาเถอะ ท่านไปพบเรื่องกระทบใจอะไรมาหรือไม่? หรือถูกผีสางตนใดเข้าสิง?” อวี้เซียวหนิงพลันเอื้อมมือแตะหน้าผากผู้เป็นพี่ด้วยความเป็นห่วง

“ชิ้ว ๆ เจ้าไปเล่นตรงโน้นไป อย่ามาหลบกวนข้า” อวี้จิงจั๋วปัดมือนางออกก่อนเอ่ยไล่

อวี้เซียวหนิงกะพริบตากลมโตของตนปริบ ๆ ใบหน้าแลดูเจ้าเล่ห์ “บอกข้ามาว่าท่านแพ้พนันกับโม่เฟยหรานผู้นั้น แล้วต้องถูกลงโทษด้วยการเก็บตัวพิเคราะห์ตนอยู่ในจวน ห้ามออกไปหาความสุขนอกจวนใช่หรือไม่?”

อวี้จิงจั๋วได้ยินคำพูดของนางก็หัวเราะ “เจ้านั่นน่ะหรือ? ข้าผู้นี้ไม่เคยแพ้พนันมาก่อน”

“เช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใด?” อวี้เซียวหนิงเอ่ยถามพร้อมส่งสายตารังเกียจให้ “ถ้าไม่ได้เป็นเพราะแพ้พนันทำให้เปลี่ยนแปลงไปกะทันหันเช่นนี้ อย่าบอกนะว่าท่านไปตกหลุมรักแม่นางบ้านไหนเข้า?”

พูดถึงเรื่องนี้ เป็นไปไม่ได้เลยต่างหาก ท่านพี่ของนางน่ะเจ้าชู้เรี่ยราดไปทั่ว

จะมีใครคาดคิดว่าเมื่อนางพูดจบ อวี้จิงจั๋วก็สะดุ้ง ทั้งยังพึมพำออกมาเสียงเบา “เห็นชัดขนาดนั้นเลยหรือ…..”

นางแค่เอ่ยไปมั่ว ๆ กลับดันถูกต้องเสียอย่างนั้น!?

“ท่าน ๆ….. เล่าให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้ ท่านคิดจะไปทำร้ายแม่นางบ้านไหนเข้า!?” นัยน์ตาซิ่งของอวี้เซียวหนิงพลันเบิกกว้าง เอ่ยถามพี่ชายอย่างดุร้าย

“ทำร้ายอะไรของเจ้า? เช่นนี้เรียกว่าพบคนที่ถูกใจต่างหาก!?” อวี้จิงจั๋วหันมองนางจากด้านข้าง จากนั้นก็หันกลับไปทำสีหน้าครุ่นคิด ที่มุมปากพลันแย้มยิ้ม ภาพที่อวี้เซียวหนิงเห็นคือรอยยิ้มและใบหน้าเหนียมอาย “หนิง ๆ หากเจ้าได้เห็นนาง เจ้าจะยิ่งตะลึงกว่าข้าเป็นแน่!”

“ว่าไงนะ? เป็นแม่นางที่ข้ารู้จักงั้นหรือ?” อวี้เซียวหนิงเลิกคิ้วสูง

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะรู้จักนางหรือไม่ แต่นางเป็นคนตระกูลเดียวกับองค์หญิงหนิงเฟิ่ง สหายสนิทของเจ้า” อวี้จิงจั๋วค่อยๆ เผยความจริง

“แม่นางจากจวนหย่งอันอ๋อง?” อวี้เซียวหนิงกะพริบตา “เท่าที่ข้ารู้ ในจวนหย่งอันอ๋องมีคุณหนูอยู่หกคน นอกจากหนิงเอ๋อร์แล้ว อีกสองคนที่หน้าตางดงามหน่อยก็คงเป็นเยี่ยนซีโหรวและเยี่ยนซีอู่ ส่วนคุณหนูห้าร่างกายไม่แข็งแรง ไม่เคยออกจากจวนมาก่อน คนสุดท้ายยังเด็กมาก เพิ่งอายุได้สิบขวบปี พี่สามบอกข้าได้หรือไม่ว่าท่านถูกใจแม่นางคนใด?”

“ไม่ใช่ทั้งหมดที่เจ้าว่ามา” อวี้จิงจั๋วส่ายหัว

“หรือท่านจะไปแอบชอบสาวใช้จากจวนหย่งอันอ๋อง?!” อวี้เซียวหนิงร้องเสียงดัง หน้าตาโกรธเกรี้ยว

อวี้จิงจั๋วกลอกตาใส่นาง “ตลกแล้ว คนที่เยี่ยนซีเฉิงเป็นคนออกปากแนะนำว่าเป็นน้องสาวของเขาจะเป็นสาวใช้ไปได้อย่างไร? หากเจ้าไม่เชื่อ ไว้ข้าจะพาเจ้าไปดูที่จวนหย่งอันอ๋อง รูปโฉมนางงดงามไม่แพ้เยี่ยนหนิงลั่วเลย”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วตนเล็กน้อย “หากแต่มีนิสัยเย็นชาไปสักหน่อย”

“ฮ่า ๆ สตรีที่เย็นชากว่าหนิงเอ๋อร์งั้นหรือ? น่าสนใจยิ่ง เช่นนั้นจะรอทำไมอีกเล่าพี่สาม เราก็ไปกินข้าวที่จวนหย่งอันอ๋องเสียวันนี้ จะได้ไปหาแม่นางที่ท่านบอกข้าด้วยเลย” อวี้เซียวหนิงเป็นเด็กสาวใจร้อนนัก ท่านพี่นางพูดให้นางอยากรู้มากถึงขั้นนี้ นางจะนั่งรอไหวอีกต่อไปได้อย่างไร?

“เจ้าว่าเช่นนั้นดีแล้วหรือ?” อวี้จิงจั๋วเอ่ยขึ้นด้วยความลังเล

แท้จริงแล้วเขากลัวว่าตนเองจะสร้างความประทับใจไม่งามให้นางเห็นอีกคราหนึ่ง เช่นนั้นเขาจะยิ่งดูแย่ในสายตานางมากกว่าเดิม

“ท่านว่ามาว่าอยากเจอนางหรือไม่อยาก!”

“ข้าอยาก”

“เช่นนั้นก็เพียงพอแล้วนี่? ท่านจะต้องรั้งรออะไรอยู่อีก? ท่านนั่งรอตรงนี้ ข้าจะไปเตรียมรถม้า”

“…..”

——————-

อาจเพราะเยี่ยนหนิงลั่วสามารถช่วยเขาตามหาคนได้ ท่าทีของชิงเยี่ยหลีต่อนางจึงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อนางส่งคำเชิญให้เยว่ซินเหยียนและชิงเยี่ยหลีให้เดินทางมายังจวนหย่งอันอ๋องในฐานะแขกของนาง ชิงเยี่ยหลีจึงตอบตกลง

แน่นอนว่าไป๋หลี่จีหรานที่ชื่นชอบการมีส่วนร่วมกับทุกสิ่งอย่างย่อมติดตามไปด้วย หลังจากรู้ว่าชิงเยี่ยหลีจะเดินทางไปยังจวนหย่งอันอ๋อง วันนี้เขาจึงเผยความหนังหน้าหนาของตนด้วยการติดตามไปด้วย

ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาได้หนังหน้าที่หนาเช่นนี้มาจากที่ใด ถึงชิงเยี่ยหลีจะมีนิสัยเย็นชาไร้อารมณ์ คำที่เอ่ยออกมาในช่วงหลายวันนี้อาจนับได้เพียงไม่กี่สิบคำ หากแต่ไป๋หลี่จีหรานอาจเกิดมาไร้ยางอายโดยธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจใบหน้าเย็นชานั้นแม้แต่น้อย รับบทตัวทากที่เกาะแน่นไม่ยอมหลุดได้เป็นอย่างดี

รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของจวนหย่งอันอ๋อง มือเล็กผิวเนียนละเอียดเลิกผ้าม่ารถม้าขึ้นตั้งแต่ที่รถม้ายังไม่ทันหยุด ร่างในชุดสีน้ำเงินกระโดดลงมาจากด้านใน

ที่ตามหลังนางมาคือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีขาว ไป๋หลี่จีหราน เขามองเด็กสาวเบื้องหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “องค์หญิงเก้าไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยจริง ๆ ร่าเริงแจ่มใสนัก!”

เยว่ซินเหยียนเลิกคิ้วขึ้น นัยน์ตาสีฟ้าส่องประกาย สวยงามราวกับผิวน้ำสะท้อนแสงแดด “ขอบใจสำหรับคำชม”

ไป๋หลี่จีหรานเกือบถูกนัยน์ตาคู่งามทำให้ตกตะลึงไป เขาคิดในใจ ฮวงจุ้ยของแคว้นหลินยวนนี่ดีจริง ผู้คนจากแคว้นนี้หน้าตางดงามจนไม่อาจหาคำได้มาเปรียบเปรยได้

หลังจากเยว่ซินเหยียนกระโดดลงรถม้ามา นางก็วิ่งไปยืนรอชิงเยี่ยหลี ที่หน้ารถม้าอย่างว่าง่าย

ในวันนี้เขาสวมชุดคลุมยาวสีดำ ร่างสูงสมส่วนนัก ผมสีเงินคล้ายหิมะตัดกับชุดดำ บนหน้ามีหน้ากากหมาป่าสวมอยู่ เผยให้เห็นเพียงสันกรามสมบูรณ์แบบและริมฝีปากงาม นัยน์ตาสีเขียวเรืองแผ่กลิ่นอายลึกลับสูงส่ง

ภายในจวนหย่งอันอ๋อง ข้ารับใช้ทุกคนได้รับคำสั่งว่าวันนี้จะมีแขกสำคัญมาเยือน ต้องระวังกิริยามารยาทและคำพูดคำจาเป็นพิเศษเพื่อจะไม่ไปล่วงเกินแขกเข้า

เดิมทีทุกคนต่างสงสัยใคร่รู้ว่าแขกสำคัญประเภทไหนกันที่ต้องเรียกข้ารับใช้มาตักเตือนเคร่งครัดถึงเพียงนี้ กระทั่งยามที่องค์รัชทายาทมาเยือน พวกข้ารับใช้ยังไม่ถูกสั่งให้ต้องทำตามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดเช่นนี้

ดังนั้นถึงใจหนึ่งจะเป็นกังวล หากแต่อีกใจหนึ่งก็ตั้งตารอดูแขกผู้มีเกียรติด้วยความสนใจ

แม้แต่ละคนจะมีงานทำล้นมือ หากแต่ก็ไม่อาจเก็บความสงสัย สายตาพากันสอดส่องมองหาไปทั่ว และเป็นเพราะสายตาสงสัยใคร่รู้นี่เองที่ทำให้หน้าคนมองถึงกับถอดสี ขนอ่อนทั่วร่างลุกชัน

บุรุษผู้มีเรือนผมสีเงินและสวมหน้ากากเช่นนั้น…..

คือปีศาจที่ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก กระทั่งเด็กเห็นยังต้องร้องไห้จ้าด้วยความหวาดกลัว คือชางไห่อ๋อง!

พริบตาที่เห็นว่าเป็นเขา ทุกคนเริ่มรู้สึกอยากร้องไห้ออกมาในพลัน

เหตุใดเทพสังหารถึงได้มายังจวนหย่งอันอ๋องของพวกเขาได้?

“มากันแล้วหรือ เชิญเข้ามาด้านในได้เลย” น้ำเสียงอ่อนโยนของหญิงสาวดังขึ้นช้า ๆ เป็นเยี่ยนหนิงลั่วที่เดินออกมาจากด้านใน

วันนี้หญิงสาวที่เย็นชาดั่งเทพเซียนอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงเข้ม ที่ปลายแขนเสื้อทั้งสองข้างมีระบายประณีตประดับอยู่ ทั้งดูสดใสและสง่างาม เอวบางที่เข้ากับแบบชุดยิ่งส่งให้เอวบางของนางดูงดงามเปราะบางยิ่งขึ้น

อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่เคยเห็นเยี่ยนหนิงลั่วที่งดงามเช่นนี้มาก่อน กระทั่งคนจากจวนอ๋องที่เห็นนางอยู่บ่อยครั้งยังมองนางตาค้างไป

ชุดกระโปรงของนางในวันนี้ยิ่งทำให้ความงามล่มเมืองของนางเพิ่มสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ทั้งยังเสริมเสน่ห์ดึงดูดให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก

ไป๋หลี่จีหรานเป็นคนแรกที่พูดขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะเพื่อคลายความตกตะลึงของคนอื่น ๆ “องค์หญิงหนิงเฟิ่งเป็นโฉมสะคราญโดยแท้ ใบหน้างดงามท่าทางงามสง่าเช่นนี้ไม่อาจมีใครเทียบชั้นได้”

เยี่ยนหนิงลั่วเผยรอยยิ้มบาง ดวงตาเหลือบมองไปยังบุรุษเย็นชาไร้อารมณ์ “คำของนายน้อยไป๋หลี่จีจะทำให้องค์หญิงเก้าไม่พอใจได้”

เยว่ซินเหยียนได้ยินดังนั้นก็เล่นตามนาง ใช้หางตาปรายตามองเขา “ถูกต้อง แล้วองค์หญิงผู้นี้ไม่งามหรือ?”

“องค์หญิงเก้า ข้าน้อยเพิ่งจะชมท่านว่าร่าเริงแจ่มใสไปเมื่อครู่นี่เอง!”