บทที่ 61 เขามีนามว่าชิงเยี่ยหลี
“เช่นนั้นจะเหมือนกันได้อย่างไร?” เยว่ซินเหยียนเหลือบตามอง “ยามเจ้าบอกว่าตัวข้าองค์หญิงผู้นี้ร่าเริงแจ่มใส ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังบอกว่าข้าเหมือนเด็ก ไม่นุ่มนวลสมเป็นสตรีงั้นหรือ?”
“…..” ไป๋หลี่จีหรานสำลักอากาศ องค์หญิงน้อยท่านนี้รับมือยากนัก
“เข้าไปข้างในเถอะ ยืนอยู่ตรงหน้าประตูดูไม่ค่อยเหมาะสม” ชิงเยี่ยหลีเอ่ยเสียงเรียบ ขัดคนทั้งสองที่กำลังลับฝีปากกันอยู่ จากนั้นเดินตรงเข้าไปโดยลำพัง เป็นตอนนั้นเองที่เยว่ซินเหยียนยอมปล่อยไป๋หลี่จีหราน เดินตามชิงเยี่ยหลีไปด้านใน
ไป๋หลี่จีหรานถูจมูกตนไปมา รู้สึกจนมุมเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะมีวันที่ความสามารถในการพูดที่ลื่นไหลของตนที่ล่อลวงมาแล้วทั้งชายและหญิงจะแพ้ไม่เป็นท่าเช่นนี้
เยี่ยนซู่และเยี่ยนซีเฉิงมีตำแหน่งขุนนาง นอกจากต้องเข้าวังแล้วก็ยังมีหน้าที่อื่น ๆ ต้องจัดการ ดังนั้นจึงไม่ได้อยู่ในจวน ทิ้งให้เยี่ยนหนิงลั่วจัดการแทนทุกอย่าง
เหล่าคุณหนูและสตรีในเรือนต่างได้รับข่าว อยากมาที่ห้องโถงใหญ่เพื่อมาดูเหตุการณ์นัก หากแต่เยี่ยนหนิงลั่วกล่าวไว้ชัดเจนยิ่งว่าแขกในวันนี้เป็นคนสำคัญไม่ธรรมดา หากพวกนางก่อเรื่องต่อหน้าแขก ต้องได้รับโทษไม่เบาแน่นอน ในเมื่อนางกล่าวไว้เช่นนี้ ทั้งยังไม่ได้ระบุว่าจะลงโทษอย่างไรให้แน่ชัด ดังนั้นแม้อยากรู้อยากเห็นมากเพียงไร แต่ก็ไม่กล้าออกมาเดินทอดน่องนอกเรือนตนเอง
แขกที่มาในวันนี้คือท่านอ๋องและองค์หญิงจากต่างแคว้น แม้ชิงเยี่ยหลีจะพยายามไม่ทำตัวโดดเด่นมาก หากแต่ด้วยตัวตนสูงส่งของเขาและเรื่องนักฆ่าก่อนเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้ เสนาธิการคนสนิทและหัวหน้าทหารคุ้มกันของเขาจึงไม่ยอมปล่อยให้เขาและองค์หญิงเก้าเดินทางออกมาโดยไร้ผู้คุ้มกัน
แม้จะเป็นจวนหย่งอันอ๋องซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการคุ้มกันแน่นหนาที่สุดรองจากพระราชวัง หากแต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถมั่นใจได้ว่าจะมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นหรือไม่ ดังนั้นหัวหน้าทหารคุ้มกันจึงจัดทหารหน่วยย่อยฝีมือดีมาเพื่อปกป้องท่านอ๋องอย่างใกล้ชิด และเพื่อไม่ให้ดึงความสนใจจากผู้คนมากเกินไป จำนวนทหารจึงมีเพียงสิบห้าคนรวมถึงหัวหน้าทหารคุ้มกันด้วย
ทหารคุ้มกันสวมชุดเกราะสีน้ำเงินดูองอาจทั้งยังสบายตา ทุกนายมีร่างสูงใหญ่องอาจยิ่ง ดูเป็นภาพน่าชมไม่น้อย ส่งผลให้สาวใช้ตัวน้อยเดินผ่านไปผ่านมาพากันหน้าแดงไปตามๆกัน
ชิงเป่ยนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้องทั้งคืน แม้จะไม่ได้หลับหากแต่ก็ยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่า หากบำเพ็ญถึงระดับหนึ่ง ไม่ได้นอนเพียงไม่กี่วันย่อมไม่มีปัญหา
ตอนที่เขาเดินออกจากห้องมา ข้ารับใช้ก็ได้ตระเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เขาเรียบร้อยแล้ว กำลีงยืนรออยู่ที่ข้างโต๊ะอย่างนอบน้อม “นายน้อยสอง อาหารเช้าพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
ไม่นานชิงอวี่ก็กลับเข้าเรือนมา นางสวมชุดทำงานสีขาวเรียบง่าย ดูไม่เหมือนกับชุดที่ดูงามสง่าอย่างที่ทุกทีเคยสวมใส่ ผมถูกมัดขึ้นสูงเหนือหัว ใบหน้างามมีหยาดเหงื่อแต้มบาง ๆ บนแก้ม
“ท่านไปทำอะไรมา?” ชิงเป่ยถาม ส่งสายตาประหลาดใจให้นาง
ชิงอวี่รินชาหนึ่งถ้วยขึ้นจิบให้ชุ่มคอก่อนตอบ “เจ้าบอกว่าสมุนไพรข้าตายหมดแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าจึงไปจัดการพวกมัน ปลูกสมุนไพรชุดใหม่เสีย”
ชิงเป่ยส่งเสียงจิ๊ปากไม่พอใจหน่อย ๆ “ปล่อยให้พวกข้ารับใช้ทำก็ได้นี่? แต่เหตุใดท่านถึงต้องปลูกใหม่ทั้งหมดเองด้วยเล่า?”
ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ชิงอวี่ก็กลอกตาใส่เขาอย่างเสียไม่ได้ “ลูกน้อยของข้ามีพิษร้ายแรง ข้าเป็นผู้เดียวที่รู้วิธีจัดการพวกมัน หากคนอื่นแตะต้องอาจตายได้ ข้าไม่อยากให้ต้องมีใครมาทิ้งชีวิตไว้ในเรือนสงบเงียบ อีกอย่าง ลูก ๆ ของข้าหน้าตาน่ารัก ข้ามองแล้วอารมณ์ดียิ่ง”
“…..” เป็นคำตอบที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้เลยจริง ๆ
พี่น้องฝาแฝดกำลังกินอาหารเช้ากันอย่างมีความสุข ทันใดนั้นน้ำเสียงคุ้นหูที่มักดังก่อนเห็นตัวก็ดังขึ้น
“น้องชิงอวี่” น้ำเสียงหวานเกินจริงนั้นไม่ใช่ของใครที่ไหน หากแต่เป็นของเยี่ยนซีโหรวนั่นเอง นางมาพร้อมกับชุดกระโปรงสีชมพูเป็นเอกลักษณ์ งดงามราวกับผีเสื้อตัวน้อย เป็นเด็กสาวสวยหวานคนหนึ่ง
ที่อยู่ด้านหลังคือเยี่ยนซีอู่ในชุดกระโปรงสีฟ้า คนทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันแทบจะตลอด หากแต่แท้จริงแล้วไม่ได้สนิทกันมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงตัวติดกันไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ซึ่งทำให้หลาย ๆ คนมองแล้วอดสงสัยในใจไม่ได้
ชิงอวี่ชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงหวานของนาง นางเลิกคิ้วขึ้นก่อนหันไปมองทางต้นเสียง “ท่านพี่ทั้งสองต้องการอะไรหรือ?”
ยามได้พบหน้าชิงอวี่อีกครั้ง เด็กสาวทั้งสองก็ถูกความงามสะท้านชั้นฟ้าโจมตีจนลายตาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นหันไปมองเด็กหนุ่มหน้าตางดงามพอกันอีกด้าน “นี่ใช่เสี่ยวเป่ยหรือไม่? พวกข้าไม่เห็นเจ้านานหลายปีเจ้ายิ่งหล่อเหลาขึ้นทุกวัน”
ชิงอวี่พูดไม่ออก “…..”
ชิงเป่ยก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน “…..”
แม่นางทั้งสองมาเล่นตลกที่เรือนนางหรือ?
เรือนสงบเงียบอยู่ห่างไกลเช่นนี้ จะมีใครอุตส่าห์เดินมาถึงที่นี่เพื่อเอ่ยชมหน้าตาอันงดงามของพวกนางหรืออย่างไร?
พี่สาวทั้งสองคนไม่เห็นสีหน้าของเด็กแฝด เยี่ยนซีโหรวทำทีเป็นสนิทสนม นั่งลงข้างชิงอวี่ จับแขนนางไว้ด้วยความสิเน่หา “ชิงอวี่ กินข้าวเสร็จออกไปเดินเล่นกันเถอะ!”
“?!” ชิงอวี่ตกใจเล็กน้อย ส่วนเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามเหลือบมองนางด้วยสายตาล้ำลึก
“สองคนนี้คิดจะสร้างปัญหางี่เง่ามาให้เราอีกแล้วใช่หรือไม่?”
“ข้าว่าไม่น่าใช่ อีกอย่างหลังจากเมื่อคราวก่อน สองคนนี้ก็เป็นมิตรกับข้าดี”
“รู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่แน่ว่าอาจหลอกให้ท่านออกไปให้ขายหน้าเล่น นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่สองคนนั้นเคยทำเช่นนี้ ท่านลองคิดดูสักนิดเถอะ!”
ชิงเป่ยนึกย้อนไปถึงชิงอวี่เมื่อหกปีก่อนที่ถูกพี่สาวทั้งสองคนแกล้งเล่นสนุกสนาน
ดังนั้นชิงอวี่จึงยังไม่ตอบรับ ส่งผลให้เยี่ยนซีโหรวเริ่มมีท่าทีกังวล “ชิงอวี่ เจ้าไม่รู้หรือว่าวันนี้เรามีแขกสำคัญมาที่จวน?”
“แขกสำคัญ?” เรือนสงบเงียบอยู่ห่างไกลจากห้องโถงใหญ่มาก ดังนั้นจึงไม่รู้ข่าวเรื่องนี้
“ถูกต้อง เจ้ารู้ไหมว่าเป็นใคร?”
ชิงอวี่เลิกคิ้วถาม “ใครเล่า?”
“คือองค์หญิงเก้ากับชางไห่อ๋อง! เจ้าไม่อยากไปดูหรือ?” เยี่ยนซีโหรวจ้องหน้านางด้วยแววตาตื่นเต้น
เยี่ยนซีโหรวชื่นชอบเหล่าคนมีชื่อเสียงมาตั้งแต่เล็ก กระทั่งชางไห่อ๋องโด่งดังในเรื่องความโหดร้าย หากแต่นางก็ยังหลงใหลเขามากอยู่ดี ตอนวันงานเลี้ยงนางนั่งห่างจากเขามากจนไม่อาจเห็นหน้าเขาได้อย่างชัดเจน หากแต่ครั้งนี้เขากลับเป็นคนที่มาหาถึงจวนหย่งอันอ๋อง!
แล้วนางจะไม่ตื่นเต้นดีใจได้อย่างไร? นางสามารถเห็นชิงเยี่ยหลีอย่างใกล้ชิดได้!
“ชางไห่อ๋องมาที่จวนหรือ?” ชิงอวี่ไม่สนใจนักยามได้ยินที่พวกนางกล่าว หากแต่เป็นชิงเป่ยที่ในตอนแรกมองทั้งสองอย่างไม่พอใจนักชะงักไปเมื่อได้ยิน ก่อนจะโพล่งถามออกไปด้วยความตกใจ
เยี่ยนซีโหรวเห็นโอกาสจึงรีบตีเหล็กตอนยังร้อน “เสี่ยวเป่ยก็อยากไปดูใช่หรือไม่? ชางไห่อ๋องไม่ใช่คนที่พบเห็นได้ง่าย อีกไม่กี่วันก็จะเดินทางกลับแคว้นหลินยวนแล้ว คงไม่อาจได้มีโอกาสพบอีก!”
ข่าวลือร่ำลือนักว่าบุรุษผู้นั้นน่ากลัวถึงเพียงไหน หากแต่คนเหล่านี้กลับชื่นชมบูชาเขานัก
ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้นสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “ในเมื่อท่านพี่ทั้งสองอยากไปดูชางไห่อ๋อง เหตุใดจึงไม่ไปเอง ต้องให้ข้าไปด้วยเล่า?”
ยามชิงอวี่ถามแบบนั้นออกไป เยี่ยนซีโหรวก็พลันมีสีหน้าเดือดดาล รีบเปิดปากอธิบายในทันที “เป็นเพราะเยี่ยนหนิงลั่วสั่งห้ามไม่ให้ใครไปที่ห้องโถงใหญ่ และทุกคนห้ามออกมา นางเป็นพี่สาวคนโต พวกข้าไม่กล้าขัดคำนาง”
“เช่นนั้นข้าขัดได้หรือ?” ชิงอวี่ถามด้วยใบหน้าหมดหนทาง
“กับเจ้าย่อมต่าง” เยี่ยนซีอู่น้ำเสียงดูตื่นเต้นเล็กน้อย ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าตนตื่นเต้นมากไปหน่อย จึงพยายามสงบจิตใจลง “ท่านพ่อเป็นคนกล่าวเองว่าห้ามใครยุ่งกับเจ้า นอกจากเยี่ยนหนิงลั่วแล้ว ก็มีเจ้านี่ล่ะที่คำพูดมีอำนาจที่สุดในจวน”
“งั้นหรือ?” ชิงอวี่ยกมือขึ้นลูบคางตน ดวงตาหรี่ลงท่าทางเกียจคร้าน “แต่ข้าไม่อยากไปดูชางไห่อ๋องอะไรนั่น ทั้งห้องโถงใหญ่ยังห่างไกลจากเรือนนี้มาก เวลาที่ต้องใช้เดินทางนั้นข้าเอาไปงีบหลับยามบ่ายใต้แสงอาทิตย์อุ่น ๆ ได้เลย”
“แต่…..”
“ความคิดเห็นข้าคือ นอกจากมีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ ทำให้ดูแปลก ชางไห่อ๋องเองก็มีหนึ่งจมูกสองตาเหมือนกันไม่ใช่หรือ? ไม่เห็นมีสิ่งใดน่าสนใจจนต้องไปดู” ชิงอวี่พูดจบก็หาวออกมา
บนหน้าเยี่ยนซีโหรวราวกับมีคำพูดเขียนไว้ ยังมีคนที่ไม่สนใจในตัวชางไห่อ๋องอยู่อีกงั้นหรือ?
กระทั่งเยี่ยนซีอู่ที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ยังมีสีหน้าตะลึงไปครู่หนึ่ง ไม่คิดว่าชิงอวี่จะตอบกลับมาเช่นนี้
พี่สาวทั้งสองยังคงพูดกล่อมชิงอวี่อยู่พักใหญ่ หากแต่นางก็ยังนั่งนิ่งไม่ไหวติง ส่งผลให้พวกนางโกรธนัก อยากพ่นคำด่าระบายความโกรธในใจออกมา หากแต่เมื่อมองใบหน้างามไร้ที่ตินั่นแล้วกลับพูดไม่ออก สุดท้ายก็ได้แต่ย่ำเท้าจากไป
เห็นพวกนางเดินย่ำเท้าจากไปด้วยความโกรธแล้ว ชิงอวี่ก็อดเปล่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้
“พี่ ท่านไม่สงสัยเรื่องเกี่ยวกับชางไห่อ๋องบ้างเลยหรือ?” ชิงเป่ยถาม มองนางด้วยความสงสัยยิ่ง สายตาที่มองมาราวกับนางเป็นคนจากโลกอื่น ซึ่งนางก็มาจากโลกอื่นจริง ๆ
“หือ?” ชิงอวี่กะพริบตาจ้องหน้าเขา “เหตุใดข้าต้องสงสัย?”
นางไม่ได้แสดงตัวว่าสนใจในบุรุษผู้นี้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
“แต่หากข้าเล่าเรื่องต่าง ๆ ของเขาให้ท่านฟัง ท่านต้องเริ่มสนใจเขาแน่” ชิงเป่ยเอ่ยขึ้น หน้าตาดูมั่นใจนัก
“หือ? เช่นนั้นเจ้าก็ลองว่ามา”
“งั้นเรื่องนี้ก็แล้วกัน ลือกันว่าชางไห่อ๋องก็มาจากโลกอื่นเช่นกัน เขาไม่ได้เป็นคนจากโลกของเรา”
ชิงอวี่ประหลาดใจเล็กน้อย “จากโลกอื่นหรือ?”
บังเอิญขนาดนี้เชียว?
“ถูกต้อง เขามาที่แคว้นหลินยวนเมื่อสิบกว่าปีก่อน จากนั้นก็ได้รับยศเป็นชางไห่อ๋อง เป็นตำแหน่งที่อยู่เหนือคนทั้งแคว้นจนต้องก้มหัวให้คนหนึ่งคน ก่อนหน้านี้แคว้นหลินยวนติดพันเรื่องการสู้รบ แต่หลังจากชางไห่อ๋องปรากฏตัวขึ้น เขาก็ระงับเหตุวุ่นวายในแคว้นจนสิ้น หากไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อเจ็ดปีก่อนขึ้น แคว้นหลินยวนก็คงเป็นผู้นำแห่งสามแคว้นไปแล้ว หลินยวนมีฮ่องเต้ที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ มีความคิดรอบคอบถี่ถ้วน เมื่อรวมกับความสามารถของชางไห่อ๋อง ไม่แปลกที่จะกลายเป็นพยัคฆ์ที่มีอำนาจเหนือแคว้นอื่น ๆ”
ชิงอวี่พยักหน้าหลังจากฟังเขาเล่า “เป็นผู้มีความสามารถสูงส่ง แล้วเรื่องฉายาเทพสังหารของเขามีมาได้อย่างไร?”
“เป็นตอนที่ชางไห่อ๋องสนับสนุนให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ มีกลุ่มกบฏพยายามลอบสังหารฮ่องเต้ที่มีร่างกายอ่อนแอเปราะบาง ชางไห่อ๋องล้างทั่วทั้งวังหลวงด้วยเลือด ว่ากันว่าน้ำทะเลในแถบพระราชวังเปลี่ยนเป็นสีโลหิตอยู่นาน ดังนั้นเขาจึงได้ชื่อนั้นมา” ชิงเป่ยนั้นเป็นผู้สนับสนุนชางไห่อ๋องอย่างแท้จริง รู้เรื่องราวเกี่ยวกับบุรุษผู้นี้มากมายนัก
“ข้าว่าเขาไม่ใช่คนโหดร้ายทารุณอย่างที่ลือกันหรอก เป็นเพียงข่าวลือเท็จที่เล่ากันปากต่อปากเท่านั้น” ชิงอวี่กล่าวอย่างไม่เข้าใจ
“ต่างคนต่างความคิด” ชิงเป่ยเอ่ยเสียงสุขุม ก่อนจะพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมา “แต่ข้าคิดว่ามีเรื่องหนึ่งที่บังเอิญมาก”
ชิงอวี่คลี่ยิ้ม ยกถ้วยชาขึ้นจีบ “เรื่องอะไรหรือ?”
“สกุลของชางไห่อ๋องพิเศษยิ่ง ชื่อสกุลเหมือนกับเรา สกุลของเขาคือสกุลชิง”
“ชิง?” ชิงอวี่พลันมีสีหน้าตกใจ ในหัวนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมา
เด็กหนุ่มไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของนาง ยังคงเล่าต่อไป “ใช่แล้ว เขาชื่อว่าชิงเยี่ยหลี”
นิ้วเรียวงามชะงักค้างในทันใด ถ้วยชาหลุดร่วงลงจากมือกลิ้งตกลงแตกกระจายกับพื้น
ชิงเป่ยตกใจ เมื่อมองหน้านางก็บว่ามีสีหน้าผิดปกติ ดังนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “พี่ ท่านเป็นอะไรหรือ?”
ชิงอวี่พลันหลุดออกจากภวังค์ จากนั้นหยิบถ้วยชาใบใหม่มารินชา จิบชาอึกใหญ่สงบใจตนก่อนกล่าว “ข้าสบายดี เมื่อครู่ได้ยินเจ้าไม่ชัด เจ้าว่าชางไห่อ๋องมีนามว่าอะไรนะ?”
“อ้อ เขาชื่อชิงเยี่ยหลี แต่น้อยคนนักที่จะกล้าเรียกชื่อนี้ของเขา พอเวลาผ่านไป หลาย ๆ คนก็เลยจำชื่อนี้ของเขาไม่ได้”
เขามีนามว่าชิงเยี่ยหลี