บทที่ 62 รู้หรือไม่ว่าข้าตามหาเจ้ามาโดยตลอด

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 62 รู้หรือไม่ว่าข้าตามหาเจ้ามาโดยตลอด

ชิงเป่ยไม่ค่อยเห็นนางเสียอาการเช่นนี้มาก่อน จึงอดสงสัยไม่ได้ “อะไรหรือ ท่านเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนหรือ?”

ชิงอวี่ลดสายตาลงต่ำก่อนหัวเราะเสียงเบา “เปล่า ข้าแค่คิดว่าชื่อฟังดูคุ้นหูมากเท่านั้น”

นางจะไม่เคย….. ได้ยินชื่อนั้นได้อย่างไร?

ชิงเยี่ยหลีเป็นชื่อที่นางตั้งให้เองด้วยซ้ำ!

ได้ยินชื่อนี้อีกครั้งหลังจากผ่านมานานหลายปี ราวกับเวลาผ่านไปนานมากแล้ว

เหตุการณ์คงไม่ประจวบเหมาะเช่นนี้กระมัง?!

เขาเป็นคนที่นางไม่อาจได้พบอีกครั้ง หากแต่ยามนางนึกถึงเรื่องเขา ในใจก็ยังรู้สึกเศร้าเสียใจและโหยหาอยู่บ้าง

ชิงอวี่จึงยิ้มปลอบเด็กหนุ่มที่ทำหน้าเป็นห่วงตรงหน้า หากแต่ตอนนั้นเองที่จู่ ๆ เสียงหนึ่งกลับดังขึ้น

“เสี่ยวอวี่ เจ้าอยู่ที่ไหน? รู้หรือไม่ว่าข้าตามหาเจ้ามาโดยตลอด…..”

รอยยิ้มบนหน้าชิงอวี่แข็งค้างในพลัน

อีกฟากหนึ่งของจวน เยี่ยนหนิงลั่วกำลังพูดคุยอยู่กับชิงเยี่ยหลีและแขกคนอื่น ๆ ในตอนที่น้ำเสียงหวานน่าฟังพลันดังขึ้นจากที่ไกล “หนิงเอ๋อร์ ข้ามาหาเจ้าแล้ว!”

หญิงสาวคนหนึ่งในชุดกระโปรงผ้าโปร่งสีม่วงอ่อนเดินเข้ามา ส่งผลให้หลายคนนัยน์ตาสดใสขึ้น อวี้เซียวหนิงท่าทางแจ่มใส หน้าตาน่ารักน่ามอง บนใบหน้ามักประดับด้วยรอยยิ้มพร้อมลักยิ้มเล็ก ๆ อยู่เสมอ ทำให้ผู้คนต่างชื่นชอบนางตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น

เยี่ยนหนิงลั่วหันไปมองยังต้นเสียง จากนั้นก็คลี่ยิ้มบางออกมาเช่นกัน “หนิงหนิง”

หลังจากอวี้เซียวหนิงเดินเข้ามา อวี้จิงจั๋วก็เดินตามนางเข้ามาติด ๆ วันนี้เขาสวมชุดคลุมสีท้องฟ้า ร่างสูงเพรียวและใบหน้าหล่อเหลาสดใสเยี่ยมหน้าเข้ามาในจวน ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะการเก็บตนบำเพ็ญเพียรปรับแก้จิตใจและร่างกายของเขาหรือไม่ที่ทำให้กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างเขาในวันนี้มีแววสง่างามราวกับหยกมันวาวออกมา

เยี่ยนหนิงลั่วเลิกคิ้วขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ “แขกหายาก! หากแต่ตอนนี้พี่ชายข้าไม่อยู่ในจวน เกรงว่าท่านคงต้องรอสักหน่อยกว่าเขาจะกลับ”

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พี่สามของข้าวันนี้ออกมาเป็นเพื่อนข้า” อวี้เซียวหนิงรีบตอบแทนพี่ชายตน จากนั้นกวาดตามองคนหลายคนที่อยู่ในที่นั้น ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นตกตะลึงเบิกตากว้าง “องค์หญิงเก้า? ชางไห่อ๋อง?? พวกท่านมาทำอะไรที่นี่!?”

สีหน้าของหญิงสาวน่ารักเกินต้านทาน ตากลมโตของนางเบิกกว้างบอกทุกคนในที่นั้น ตาข้ายังเห็นได้ชัดเจนหรือไม่? หรือว่าข้ามาผิดจวน??

ไป๋หลี่จีหรานระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในทันทีด้วยไม่อาจฝืนกลั้นไว้ได้ ริมฝีปากเยว่ซินเหยียนเองก็โค้งเป็นรอยยิ้มหนึ่ง มีเพียงชิงเยี่ยหลีที่ยังคงสีหน้าเรียบเฉยไว้ ไม่โกรธไม่ดีใจ

เยี่ยนหนิงลั่วเห็นสีหน้านางก็เกือบหัวเราะออกมา หากแต่ยังรักษากิริยาอันเหมาะสมไว้ได้ ทำเพียงยิ้มน้อย ๆ ออกมาก่อนกล่าวขึ้น “ข้าเชิญองค์หญิงเก้าและคนอื่น ๆ มาเยือนจวนอ๋อง วันนี้เจ้าก็บังเอิญได้มาเจอพวกเขาด้วย”

แต่นางไม่ได้อยากพบชางไห่อ๋องผู้น่าชังผู้นี้เลยแม้แต่นิด เจ้าเข้าใจหรือไม่?

ชางไห่อ๋องที่ทำลายร้านอาหารที่นางสู้อุตส่าห์เปิดกิจการมาอย่างยากลำบากเมื่อตอนนั้น นึกย้อนไปนางยังคงรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัส

เช่นนี้คือศัตรูยิ่งพบหน้ายิ่งอาฆาต

สิ่งที่น่าชังที่สุดไม่ใช่เรื่องที่ร้านนางถูกทำลาย หากแต่เป็นตอนที่นางไปคุยกับผู้ร้ายเบื้องหลังที่ทั้งเลือดเย็นไร้มโนธรรมผู้นั้น อีกฝ่ายเพียงตอบกลับนางมาสามคำ

เขาว่า “เจ้าเป็นใคร?”

ใช่แล้ว! เขาถามนางว่าเป็นใครอย่างโหดร้ายเช่นนั้น ทั้งยังไม่ได้รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย

แค้นนี้ใหญ่หลวงนัก!

เยี่ยนหนิงลั่วรู้ดีว่านางไม่พอใจเรื่องใด ดังนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปดึงนางมาด้านข้างพร้อมหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะกระซิบเสียงเบาใส่ “เอาล่ะ อย่าได้ทำตัวเป็นคนใจแคบ อย่าทำให้พวกเขามองเจ้าเป็นตัวตลก พวกเขาเป็นแขกของข้า”

“ข้าจะไม่เห็นแก่เขาเพราะเจ้าหรอก” อวี้เซียวหนิงพูดเสียงลอดไรฟัน

“เอาล่ะ ๆ หนิงหนิง เจ้าดีที่สุดอยู่แล้ว” เยี่ยนหนิงลั่วเอ่ยปลอบ พลันเลื่อนสายตาไปมองอวี้จิงจั๋วที่ดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัวนัก ทำท่าราวกับอยากออกไปจากที่นี่เต็มทน เห็นดังนั้นความสงสัยก็ก่อตัวขึ้น “แล้วเหตุใดพี่สามของเจ้าจึงเดินทางมาเป็นเพื่อนเจ้าในวันนี้เล่า?”

จะโทษที่นางสงสัยไม่ได้ ชายหนุ่มผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องทำเจ้าชู้ไก่แจ้ไปทั่ว พบตัวได้ยากนัก หากไม่อยู่ในหอเริงรมย์ก็จะไปดื่มกับผองเพื่อนอย่างสนุกสนาน เป็นชายหนุ่มเสเพลผู้ไร้ประโยชน์ที่ไม่ว่าใครก็รู้จักเป็นอย่างดี

ส่วนเรื่องที่ชายหนุ่มไร้ประโยชน์ผู้นี้เก็บตัวเปลี่ยนนิสัยอยู่กับเรือนก็ไม่ใช่ความลับแต่อย่างไร

ได้ยินนางถามเช่นนี้ อวี้เซียวหนิงก็พลันนึกถึงเหตุผลที่ออกมาในวันนี้ขึ้น นัยน์ตาเป็นประกาย “ข้าจะบอกเจ้าให้ พี่สามถูกใจแม่นางในจวนหย่งอันอ๋องของเจ้าเข้า ดังนั้นจึงเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อนาง ไม่น่าเชื่อเลยใช่หรือไม่!?”

เป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ใจราวกับก้อนกรวดธรรมดาบนพื้นกลับกลายเป็นอัญมณีล้ำค่า!

เยี่ยนหนิงลั่วสีหน้าประหลาดใจนัก ส่งสายตาซับซ้อนไปยังอวี้จิงจั๋ว “เยี่ยนซีโหรวหรือเยี่ยนซีอู่….. เขาชอบคนไหน?”

“ไม่ใช่ทั้งคู่ เขาบอกว่าเขาได้พบนางตอนไปงานเลี้ยงในวัง”

ภาพคนผู้หนึ่งผุดขึ้นในความคิดเยี่ยนหนิงลั่ว แต่เมื่อชิงเยี่ยหลีอยู่ด้วยนางจึงไม่คิดอันใดอีก “ค่อยคุยเรื่องนั้นทีหลัง ในเมื่อเจ้ามาก็นั่งลงเถอะ แล้วเดี๋ยวกินข้าวกับข้าที่นี่”

อวี้เซียวหนิงนั่งลง นางช่างโชคดีเหลือเกินที่ชิงเยี่ยหลีนั่งถัดจากนางไปอีกสองที่พอดิบพอดี ริมฝีปากนางเหยียดตรง ไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่แสดงออกมากนัก หันไปคุยกับเยว่ซินเหยียนที่นั่งด้านข้างแทน “องค์หญิงเก้า ข้าชื่ออวี้เซียวหนิง”

เยว่ซินเหยียนกะพริบดวงตาสีน้ำเงินกลมโต “ข้ารู้จักเจ้า สตรีที่มีความสามารถที่สุดในแคว้นชิงหลาน สหายสนิทขององค์หญิงหนิงเฟิ่ง”

“เช่นนั้นท่านก็เคยได้ยินชื่อข้าหรือ?” อวี้เซียวหนิงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ลักยิ้มทักสองข้างดูน่ารักยิ่ง ทั้งยังแอบส่งสายตามองบุรุษผู้หนึ่งด้วยความระมัดระวัง จากนั้นเอนตัวเข้าไปกระซิบกระซาบเสียงเบา “ชางไห่อ๋องอารมณ์ไม่ดีหรือ? ข้าเห็นเขาดูเย็นชาตลอดเวลาเลย”

เยว่ซินเหยียนมองนางด้วยสายตาประหลาดใจ แต่ไม่ได้โกรธเกรี้ยวอันใด นางส่งยิ้มทื่อๆ ให้อวี้เซียวหนิงก่อนตอบกลับ “พี่เยี่ยหลีเป็นคนดีมาก หากได้พูดคุยกับเขาเจ้าจะรู้เอง”

อวี้เซียวหนิงลูบขนอ่อนที่พากันลุกเกรียวที่แขนทั้งสองของตน นึกภาพนางคุยกับเขาแล้วหวาดกลัวยิ่ง

ชิงเยี่ยหลีทอดสายตามองออกไปที่นอกประตูนิ่ง นัยน์ตาทอดมองไปยังที่ไกลแสนไกล ไป๋หลี่จีหรานที่นั่งอยู่ด้านข้างเอ่ยอะไรบางอย่างกับเขา หากแต่เขาไม่ได้ใส่ใจนัก เป็นพริบตานั้นเองที่ความรู้สึกประหลาดในใจราวกับมาคนชี้ทิศทางให้เขาอยู่

ไม่นานสาวใช้ที่ยืนรออยู่ด้านนอกก็รับคำสั่งให้นำอาหารหน้าตาประณีตน่ารับประทานหลากหลายจานมาจัดวางบนโต๊ะกลมขนาดใหญ่

“อาหารมาแล้วก็เชิญทานกันให้เต็มที่” เยี่ยนหนิงลั่วเอ่ยขึ้นเสียงนุ่ม หันไปมองชิงเยี่ยหลีที่น่ะอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาดูใจลอยเล็กน้อย เห็นดังนั้นนางจึงเรียกชื่อเขา “ชิงเยี่ยหลี หัวหน้าพ่อครัวของจวนหย่งอันอ๋องฝีมือล้ำเลิศ ท่านลองชิมดูแล้วเทียบกันว่าแตกต่างจากอาหารในแคว้นหลินยวนของท่านมากน้อยเท่าไหร่”

ชิงเยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงน่าดึงดูดเย็นชานักหากแต่ก็ยังน่าฟัง “ขอบใจองค์หญิงหนิงเฟิ่งที่ต้อนรับเป็นอย่างดี”

บรรยากาศบนโต๊ะพลันแปลกไป

เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินคนเรียกชางไห่อ๋องด้วยชื่อจริง

ไม่สิ ควรจะเป็นครั้งที่สองเสียมากกว่า ตอนอยู่ในงานเลี้ยง เยี่ยนหนิงลั่วก็เคยเรียกเขาด้วยชื่อนั้นมาแล้ว

น้ำเสียงที่ใช้เรียกชื่อนั้นเป็นธรรมชาติอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วชางไห่อ๋องกลับยอมรับงั้นหรือ?

แต่ละคนปิดสายตาครุ่นคิดตนไม่มิด พยายามมองหาจุดน่าสงสัย

——————–

แสงอาทิตย์อบอุ่นส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง ชิงอวี่ที่กำลังนอนหลับตาพักผ่อนพลันได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวแผ่วเบา นางเงยหน้าขึ้นมอง พบนกสีสวยตัวหนึ่งกำลังกระพือปีกบินมาเกาะที่ขอบหน้าต่าง ตาสีเขียวของมันมองซ้ายมองขวา ทำท่าทางเหมือนมนุษย์ยิ่งนัก

“เจ้าตัวเล็ก มาจากที่ไหนกัน?” ชิงอวี่เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

เจ้านกตัวน้อยส่งเสียงร้องสองที ยื่นเท้าเล็กที่มีท่อนไม้ไผ่จิ๋วผูกอยู่ให้นางเห็น

หรือว่า….. จะเป็นพิราบส่งสารในตำนานงั้นหรือ?

หากแต่มองอย่างไร เจ้านกตัวนี้ก็ไม่น่าใช่นกพิราบ ดูเป็นนกชั้นสูงราคาแพงที่พวกขุนนางเลี้ยงไว้เสียมากกว่า

นางจึงลุกขึ้น ก่อนจะเดินไม่กี่ก้าวไปยังริมหน้าต่าง เอื้อมมือไปรับท่อนไม้ไผ่จิ๋ว พริบตาต่อมาเจ้านกก็กระพือปีกบินจากไป ก่อนจะหายไปในที่สุด

ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่ใส่ใจมันนัก นางหยิบกระดาษที่ม้วนอยู่ในท่อนไม้ไผ่ออกมาคลี่ดู

พริบตาต่อมานัยน์ตาหงส์ที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งด้วยความขี้เกียจพลันเปลี่ยนเป็นแวววาว จากนั้นกระดาษในมือนางก็สลายกลายเป็นผุยผง

“เสี่ยวเป่ย ข้าออกไปข้างนอกสักประเดี๋ยว”

เรือนสงบเงียบเป็นเรือนที่อยูห่างไกลที่จุดในจวนหย่งอันอ๋อง หากต้องการเดินทางออกจากจวนจากที่เรือนนี้ จำต้องใช้รถม้า ไม่เช่นนั้นเดินจากเรือนนี้จนถึงประตูใหญ่ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง

แต่ด้วยวันนี้มีแขกมาเยือนจวนอ๋อง ดังนั้นด้านนอกจึงไม่มีผู้คนเดินมากมายเท่าไหร่ ดังนั้นชิงอวี่จึงเคลื่อนตัวได้สะดวก นางใช้วิชาที่ช่วยย่นระยะทาง พริบตาเดียวก็เดินทางมาเกือบถึงห้องโถงใหญ่ อีกไม่กี่ก้าวก็จะสามารถเดินออกจากจวนได้แล้ว

หากแต่นางดันพบเยี่ยนซีโหรวที่กำลังเอียงคอมองเข้าไปยังห้องโถงใหญ่ ชิงอวี่ขมวดคิ้ว รีบเร่งฝีก้าวตนหมายจะรีบเดินหนีนาง หากแต่ช้าไปเพียงหนึ่งก้าว

“ชิงอวี่?” เยี่ยนซีโหรวเบิกตากว้างมองนาง ดูประหลาดใจเล็กน้อย หากแต่ไม่นานความประหลาดใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ “ไหนเจ้าว่าเจ้าไม่สนใจชางไห่อ๋อง? แล้วเจ้าแอบมาทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ตรงนี้!?”

“ไม่รู้ล่ะ ในเมื่อเจ้ามาแล้วเราก็ไปด้วยกัน อย่างไรเจ้าก็อยากพบชางไห่อ๋องอยู่แล้ว อย่าปิดบังอีกเลย” เยี่ยนซีโหรวพูดไปก็คว้าแขนชิงอวี่ราวกับกลัวว่านางจะวิ่งหนีไป

“…..” นางเพียงต้องการจะออกนอกจวนเท่านั้น

ชิงอวี่คลี่ยิ้มไร้เดียงสาเข้าสู้ “ท่านพี่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว เมื่อวันก่อนข้าสั่งชุดไว้ วันนี้เลยจะออกไปรับเท่านั้น”

“งั้นหรือ?” เยี่ยนซีโหรวมองนางด้วยความสงสัย “ข้าเชื่อเจ้าก็แล้วกัน แต่เอาอย่างนี้เป็นไง? เราไปทักทายชางไห่อ๋องกันก่อน จากนั้นข้าจะไปรับชุดเป็นเพื่อนเจ้าเป็นไง?”

นางคิดว่าหากถูกเยี่ยนหนิงลั่วตำหนิเข้า อย่างน้อยก็ยังมีชิงอวีเป็นโล่คุ้มภัย อืม นางนี่ฉลาดเสียจริง

ชิงอวี่หันไปมองนาง ส่งสายตาเชื่อฟังให้ “ก็ได้ แต่ท่านปล่อยแขนข้าก่อน ข้าประหม่า”

เยี่ยนซีโหรวเห็นว่าชิงอวี่สีหน้าไม่สู้ดีนัก ดังนั้นจึงคิดว่านางคงจะเขินอาย ดังนั้นจึงลดความระมัดระวังตนลง “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะเดินนำเจ้าด้านหน้า เจ้าเดินตามหลังข้ามา เช่นนั้นเจ้าจะได้ไม่ประหม่า”

“ตามท่านพี่ว่า”

ท่าทีเชื่อฟังของชิงอวี่ทำเยี่ยนซีโหรวรู้สึกพึงพอใจนัก ดังนั้นนางจึงปล่อยแขนชิงอวี่ ก่อนจะเดินนำหน้าไปอย่างมีความสุข

อึดใจต่อมา นางรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ท่าทางประหม่าและให้ความร่วมมือเมื่อครู่ไม่เหมือนเด็กสาวงามสง่าท่าทางเกียจคร้านที่แผ่กลิ่นอายทรงพลังเช่นก่อนแม้แต่นิด

“เยี่ยนชิงอวี่!”

น้ำเสียงเดือดดาลพลันดังขึ้น ส่งผลให้คนด้านในที่กำลังทานอาหารอยู่ตกใจ เยี่ยนหนิงลั่วขมวดคิ้มวมุ่นในทันที ก่อนจะส่งเสียงออกไป “ใครมาตะโกนอยู่ด้านนอก?”

สาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูรีบเข้ามารายงานเสียงนุ่ม “เป็นคุณหนูสามกับคุณหนูหกเจ้าค่ะ เหมือนว่าจะทะเลาะกัน”

“เสียมารยาทนัก” เยี่ยนหนิงลั่วตำหนิเสียงเบา นัยน์ตาทะมึนลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเจือแววขอโทษขอโพย “ข้าต้องขออภัยด้วย น่าขายหน้าจริงๆ”