บทที่ 60 เพลงกลอง

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

ตอนที่ 60 เพลงกลอง

“พรืด”

คนที่อยู่ในห้องโถงอดหัวเราะไม่ได้

ลู่ชูอี้อดไม่ได้ที่จะปิดริมฝีปากของนางด้วยผ้าเช็ดหน้าแล้วหัวเราะเบา ๆ นางคิดว่ามันคงจะเป็นเครื่องดนตรีราคาแพงบางชนิด แต่กลับกลายเป็นกลองใหญ่ที่ใช้สำหรับงานเฉลิมฉลองทั่วไป

“เหตุใดเจ้าไม่บอกว่าพระชายากับนางในราชสำนักมีความแตกต่างกัน พระชายาหลี่ชินเป็นหญิงสาวที่อยู่ในจวนมหาเสนาบดี เครื่องดนตรีที่ใช้จึงมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันใกล้เคียงกับที่ใช้ในชีวิตของพวกสามัญชน”

ความหมายของคำพูดนี้คือต้องการบอกว่ากลองมีราคาถูก และไม่อาจนำมาใช้เล่นในห้องโถงอันหรูหราเช่นนี้ได้

“ใช่หรือไม่เล่า กลองส่วนใหญ่ที่ใช้ในพระราชวังเป็นกลองขนาดเล็กและประณีตสวยงาม เช่นกลองที่มีฐานเป็นรูปนกที่ใช้บรรเลงประกอบวงดนตรี ส่วนกลองใหญ่ชั้นต่ำแบบนั้นไม่อาจพบได้ในวัง”

……

หมี่โม่หรู่ฟังคนรอบข้างพูดคุยกันแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวาย เขารู้ว่าชีวิตของฉินปู้เข่อในจวนมหาเสนาบดีนั้นยากลำบากนัก และความสามารถส่วนใหญ่ของนางได้รับการสั่งสอนโดยอนุหลัวผู้เป็นแม่ของนางและความเข้าใจของนางเอง

เพียงแค่ชำเลืองดูก็รู้ว่านิ้วและการแสดงของลู่ชูอี้ได้รับการฝึกฝนโดยปรมาจารย์ผู้เลื่องชื่อ จึงเป็นการยากที่จะเอาชนะนางได้

ที่น่าหนักใจไปมากกว่านั้นคือนางเลือกตีกลองที่แทบไม่มีสตรีคนใดเล่นมาก่อนเลย…

“เจ้าเจ็ด น้องสะใภ้ของข้าสามารถเล่นกลองใหญ่ได้” หมี่ฉงพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดตีกลองใหญ่ในงานเลี้ยงในพระราชวังมาก่อน เป็นผู้หญิงที่ตีกลอง ความกล้าหาญของน้องสะใภ้ข้าช่างน่ายกย่องนัก”

เมื่อเห็นว่าสตรีบนเวทีสงบลง หมี่โม่หรู่ก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อย่างไรเสียก็ยังดีกว่าแสดงควงกระบองไฟ”

ตำหนักของอ๋องหลี่ชินเคยถูกผู้อื่นติฉินนินทามาโดยตลอดแต่เขาก็ไม่สนใจ และเขาไม่คิดว่าเครื่องดนตรีชิ้นเดียวจะสามารถทำให้คนนอกต่างไปจากเดิมได้

ตุ้ม ตุ้ม

กลองใหญ่ผิวสีแดงที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งหมี่ครึ่งก็ถูกตั้งขึ้น ฉินปู้เข่อวางขาตั้งกลองไว้ข้าง ๆ กลอง นางถือไม้ตีกลองขนาดประมาณท่อนแขน

นี่แหละความรู้สึก นางไม่อยากตีกลองแล้วรู้สึกเหมือนถูกแม่ตีด้วยไม้ตีกลอง

ตุ้ม ตุ้ม แกร๊ก แกร๊ก

หัวไม้ตีกลองกระทบหน้ากลอง ส่วนปลายไม้กลองก็ชนขอบกลองส่งเสียงอึกทึก

หมี่เสวี่ยหลีและจานหานชิวมองดูสตรีที่ยืนอยู่กลางเวทีอย่างประหม่า หัวใจของพวกนางเต้นแรงตามจังหวะเสียงกลองที่หนักหน่วงและแข็งแกร่ง ผ้าเช็ดหน้าเส้นไหมในมือของพวกนางถูกกำแน่นจนยับ

เสียงที่ขาดหายไปนานทำให้ทั้งร่างกายของฉินปู้เข่อรู้สึกตื่นเต้น

วิเศษไปเลย! ในที่สุดนางก็สามารถตีกลองได้อย่างไม่ต้องเหนียมอาย ไม่มีเพื่อนบ้านมาบ่นและไม่มีครูคนใดมาด่าว่านางส่งเสียงดัง

ตุ้ม-

เสียงแตรดังขึ้น ฝูงชนโห่ร้องและเหล่าทหารกล้าก็ขี่หลังม้าออกมาพร้อมกับหอก ทุกคนเห็นทหารผู้กล้าหาญบนหลังม้าอยู่ตรงหน้าของพวกเขา

ค่ำคืนก่อนการต่อสู้จะชี้ขาดมีบรรยากาศตึงเครียด

ทันใดนั้นลมหายใจก็หอบถี่ขึ้นแล้วการต่อสู้ในระยะประชิดก็เกิดขึ้น ทหารเผชิญหน้ากันแบบดาบต่อดาบ ทหารใต้บังคับบัญชาทุกคนออกไปหมด

ฉินปู้เข่อยังคงโบกสะบัดแขนของนางและทุ่มตัวให้กับกลองขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้านาง ไม้ตีกลองในมือของนางกำลังโบกสะบัดและตีหน้ากลองสลับกับขอบกลอง

เนื่องจากไม้ตีกลองหนักและหน้ากลองใหญ่เกินไป นางจึงเดินไปอยู่ข้างกลองแล้วตีอย่างไม่หยุดยั้ง การใช้พละกำลังอย่างหนักหน่วงทำให้เหงื่อไหลออกจากหน้าผากและปลายจมูก ใบหน้าที่บอบบางของนางแดงก่ำด้วยความร้อน

ตุ้ม!

ทันใดนั้นนางก็พลิกตัวแล้วยืนบนหน้ากลอง

หลังจากนั่งยอง ๆ เล็กน้อย เท้าเล็ก ๆ ของนางก็ขยับอย่างรวดเร็วบนหน้ากลอง และแขนที่โบกสะบัดไม้ตีกลองก็ไม่หยุดเลย

เชือกสีแดงที่ผูกติดกับไม้ตีกลองและแขนยาวของนางลอยไปในอากาศ ทำให้แขกบนโต๊ะต่างตื่นตาตื่นใจและฟังอย่างจดจ่อ—

ในสมรภูมิรบ เสียงกีบม้า เสียงโลหะกระทบกันและเสียงโห่ร้องไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อสองกองทัพมาเผชิญหน้ากัน ม้าก็ส่งเสียงร้องและบรรยากาศก็ตึงเครียด แล้วทหารก็ต่อสู้กับศัตรูอย่างเข้มแข็งและหนักหน่วง

เสียงแตรดังขึ้นอีกครั้ง เหล่านักรบผู้รอดชีวิตจากการนองเลือดก็รวมตัวกันราวฝูงพยัคฆ์

ทันใดนั้นม้าศึกที่ใกล้เข้ามาก็ชะลอฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน ดาบยาวเปื้อนเลือดถูกดึงกลับเข้าไปในฝัก ทหารตีโกลนด้วยแส้ แล้วร้องเพลงแห่งชัยชนะพร้อมกัน

…………………………………………………………………………..