สิ่งของที่เป็นความลับ ไม่ว่าจะมีราคาแพงหรือไม่ ทุกคนนั้นต่างต้องการค้นหากันทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อสิ้นสุดเสียงของพิธีกร ทุกคนต่างรีบลุกขึ้นทำท่าพร้อมจะค้นหาในทันที
“เอาล่ะ มีเวลาให้หนึ่งชั่วโมงในการค้นหา ทุกคนเริ่ม !” พิธีกรกล่าว “อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าแข่งขันไม่ควรปล่อยให้ท้องว่างนะ ทุกคนสามารถรับประทานอาหารไปด้วยพร้อมหามันไปด้วย บางทีไข่มุกราตรีอาจอยู่ในเค้กชิ้นหนึ่ง หรือในแก้วไวน์หนึ่งแก้ว!”
หลังจากพูดจบ ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปที่โต๊ะอาหาร ในขณะที่หลานเสี่ยวถางไม่รู้จะเริ่มหาจากตรงไหน หันจื่ออี้ที่อยู่ข้างๆก็พูดขึ้นว่า “เสี่ยวถาง เธอยังไม่ได้กินอะไรเลย เราไปหาอะไรกินกันก่อน แล้วค่อยไปหากันดีกว่า !”
“ตกลง” หลานเสี่ยวถางพยักหน้า และบังเอิญเห็นหร่วนฉีอยู่ข้างๆ เธอจึงดึงหร่วนฉีและพูดว่า “ เราไปกินด้วยกันเถอะ !”
หร่วนฉีหันไปมองหันจื่ออี้และลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า
เดิมหร่วนฉีอยู่ทีมเดียวกับสือเพ่ยหลิน ดังนั้นเขาจึงเดินตามมาด้วย แล้วพูดว่า โต๊ะกว้างมาก เพิ่มมาอีกหนึ่งคน ทุกคนคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม ?”
หันจื่ออี้เงยหน้าขึ้นมองสือเพ่ยหลิน ยิ้มและพูดว่า ” เชิญครับ คุณสือ !”
ขณะที่พูด เขาจงใจขยับเข้าไปนั่งใกล้หลานเสี่ยวถาง และเว้นที่ว่างให้สือเพ่ยหลิน “เราสามารถมาที่นี่ได้เสมอเพื่อดื่มสังสรรค์กัน!”
ในขณะนี้ เฉินจื่อโร่วก็เดินมาเช่นกัน เมื่อเห็นสือเพ่ยหลิน เธอรีบนั่งลงข้างเขาทันที
หลานเสี่ยวถางเหลือบสายตาไปทางอื่นและรู้สึกว่ามีเงาดำอยู่อีกด้านหนึ่ง จากนั้น ที่นั่งข้างๆ ก็ถูกดึงออกและมีคนนั่งลง
เธอหันมามองที่สือมูเฉิน ริมฝีปากของเธอขยับไปมาโดยไม่รู้ว่าควรทักทายเขาในสถานการณ์แบบนี้ไหม ?
เขาหยิบแก้วไวน์ จิบ และรับประทานอาหารเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ด้านข้าง สือเพ่ยหลินและหันจื่ออี้ต่างดื่มไปแล้วคนล่ะสองแก้ว เวลานี้นี่เองเขาเพิ่งสังเกตเห็นสือมูเฉินนั่งอยู่ข้างๆ หลานเสี่ยวถางแล้ว เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย และพูดกับ หันจื่ออี้ว่า “ประธานหัน เมื่อกี้ตอนคุณเล่นเกมกับหลานเสี่ยวถาง พวกคุณเข้ากันได้ดีมาก ถ้าคนที่ไม่รู้จัก คงคิดว่าพวกคุณรู้จักกันมานาน!”
หันจื่ออี้ยิ้มอย่างจริงใจ “ใช่ ผมก็รู้สึกเช่นนั้น ผมและหลานเสี่ยวถางเหมือนรู้จักกันมานาน !”
เมื่อสือเพ่ยหลินได้ยินเช่นนั้น หน้าเขาก็แข็งทื่อ เขายิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า “คุณหลานไว้ใจประธานหันมากเช่นกัน ตอนที่ทิ้งตัวลงน้ำผมเห็นแล้ว มันไม่ใช่ความเชื่อใจธรรมดา ถ้าเธอกลัวคงไม่ทิ้งตัวลงมาได้เป็นธรรมชาติขนาดนี้ !”
ทำไมหันจื่ออี้ไม่เข้าใจสิ่งที่สือเพ่ยหลินพูด เขาอดคิดไม่ได้ที่จะคิดว่าสือเพ่ยหลินหมายความว่าไง หรือว่าเขารู้สึกเสียใจและเสียดายหลานเสี่ยวถางหลังจากหย่าร้างกันแล้ว ถึงได้แสดงอาการแบบนี้ ?
ถ้าเป็นเช่นนี้ เขายิ่งท้อใจเข้าไปอีก !
ดังนั้น หันจื่ออี้จึงตอบกลับว่า ” ผมและหลานเสี่ยวถางยังมีโอกาสที่จะต้องร่วมกันในอนาคตอีกมากมาย ผมเชื่อว่าความไว้วางใจซึ่งกันและกันนี้ จะเป็นผลดีต่อการทำงานในอนาคตของเรา ”
ขณะนี้ หลานเสี่ยวถางรู้สึกนั่งไม่ติดกับที่
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้เป็นคนพูดอะไร แต่เธอกลับถูกผลักให้เป็นประเด็นหลักของเรื่องนี้
เธอก้มลงทานอาหาร และพยายามไม่สนใจอะไร
น่าเสียดายที่บางคนไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น
เฉินจื่อโร่วพูดด้วยเสียงเบาว่า “ประธานหัน ฉันได้ยินประธานสือพูดว่า เมื่อก่อนคุณเป็นนักศึกษาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ของมหาลัยหนิงเฉิง ไม่รู้ว่าคุณรู้จักกับคุณหลานหรือไม่! หลานเสี่ยวถางเป็นนักศึกษาวิศวกรรมซอฟต์แวร์เช่นกัน ฉันได้ยินมาว่าในชั้นเรียนมีนักเรียนหญิงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น!”
หันจื่ออี้พูดด้วยความสนใจ “จริงหรือ เป็นเรื่องบังเอิญจัง ผมกับหลานเสี่ยวถางก็ถือว่าเป็นศิษย์เก่าจากมหาลัยเดียวกัน งั้นเขาควรจะเรียกผมว่ารุ่นพี่สักคำ ”
“ใช่ค่ะ ประธานหัน และคุณหลานดูเป็นคนละคนกันจริงๆ!” เฉินจื่อโร่วพูดจบก็หันไปมองสือเพ่ยหลิน ตามที่คาดไว้ เธอเห็นตะเกียบเขาสั่นเล็กน้อยตอนคีบอาหาร และอาหารก็หล่นลงบนโต๊ะ
หลานเสี่ยวถังวางตะเกียบลงและพูดกับทุกคนว่า “ฉันอิ่มแล้ว ทุกคนค่อยๆ ทาน ฉันจะไปล่าสมบัติก่อน”
“ผมกินอิ่มแล้วเหมือนกัน” หันจื่ออี้วางตะเกียบลง และพูดกับสือมูเฉินว่า “ไม่มาด้วยกัน” ขณะที่เขาพูด เขาไม่ได้สนใจสายตาคนอื่น และตามเสี่ยวถางไปติดๆ
เมื่อสือเพ่ยหลินกำลังจะวางตะเกียบของเขาลง เฉินจื่อโร่วคว้าขาของเขาไว้และกระซิบที่หูของเขาว่า “พี่เพ่ยหลิน นั่งกับฉันก่อน ! คุณดูสิ ประธานหันตามหลานเสี่ยวถางไป ถ้าพี่ตามไปที่นั่นพวกเขาจะคิดว่าพี่กำลังหึง…”
สือเพ่ยหลินหน้าชา เขาพยายามที่จะระงับอารมณ์ที่จะอยากจะตามไป
อีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนจะมีสือมูเฉินเท่านั้นที่ไม่ได้สนใจอะไร เขาทานอาหารเรื่อยๆ จนอิ่มแล้วหยิบแก้วไวน์ลุกออกจากโต๊ะอาหาร ในขณะที่เดินไปก็ดื่มไปด้วย
หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าหันจื่ออี้กำลังไล่ตามเธอมา เธอรู้สึกรำคาญ จึงรีบเร่งฝีเท้าของเธอ
ข้างหลัง หันจื่ออี้วิ่งสองสามก้าวแล้วตามเธอทันในที่สุด ” เสี่ยวถาง ไม่ต้องเดินเร็วขนาดนี้”
เธอหันกลับมาและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ฉันคิดว่าเราควรจะแยกกันหา โอกาสที่จะเจอมีมากกว่า ”
“เสี่ยวถาง ทำไมเธอต้องคอยหลบหน้าฉันตลอด ?” แววตาของหันจื่ออี้เศร้าเล็กน้อย
“ไม่ คุณคิดมาก ฉันจะกล้าหลบหน้าเจ้านายได้ยังไง !” หลานเสี่ยวถางมองมาที่เขา “ หรือคุณรู้อยู่แล้วว่าของถูกซ่อนไว้ที่ไหน ? ดังนั้น….”
หันจื่ออี้ส่ายหัว ” ฉันไม่รู้ ฉันแค่ต้องการหามันพร้อมกับคุณ ”
หลานเสี่ยวถางทำอะไรไม่ถูก เธอชี้ไปที่ด้านหน้า ” ทางโน้นมีโขดหินและต้นไม้กลุ่มหนึ่ง เราแยกกันหา แล้วมาเจอกันที่หลังป่าของศาลา?”
หันจื่ออี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามข้อตกลง ” โอเค ตกลงตามนั้น แต่ทางนั้นค่อนข้างมืด คุณเดินดีๆ อย่าให้ล้มล่ะ ”
“ฉันรู้แล้ว ” ขณะที่หลานเสี่ยวถางพูด เธอก็รีบเดินออกไปอีกครั้ง
หันจื่ออี้เฝ้าดูเธอเดินหายเข้าไปในความมืด แล้วค่อยเดินไปอีกฝั่งของป่าที่อยู่ทางซ้ายมือ
ทางข้างหน้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ และเธอมองไม่เห็น หลานเสี่ยวถางหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาและกำลังจะเปิดไฟฉายเพื่อให้แสงสว่าง แต่ในขณะนั้น แขนของเธอก็รัดแน่นขึ้นมาทันที และเธอรู้สึกว่ากำลังถูกรัดด้วยผู้ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หลานเสี่ยวถางทุบไปที่ร่างกายของใครบางคน
เธออุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว เธอกำลังจะเปิดปาก แต่ริมฝีปากของเธอถูกผนึกไว้
ขณะนี้ เสี่ยวถางรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่ในวินาทีต่อมา เธอก็ได้กลิ่นของลมหายใจที่คุ้นเคย
สือมูเฉินเหรอ !
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันมาแค่เดือนเดียว แต่เธอกับเขาต่างก็คุ้นเคยกับกลิ่นของกันและกันแล้ว
ในใจของเธอรู้สึกโล่งอกขึ้นมานิดหน่อย เธอพยายามผลักสือมูเฉินออกเพื่อออกจากการถูกรัดของเขา
แต่ว่า ถ้าเธอไม่ผลักยังจะดีเสียกว่า เมื่อเธอผลักออก แรงกอดรัดก็รัดเธอแน่นมากขึ้น เขาจูบเธอในทันที หลังจากหายใจได้สองครั้ง หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าอากาศในปอดของเธอถูกดูดออก การถูกบีบรัดร่างกายนี้ทำให้เธอรู้สึกเกือบจะสำลัก
เธอดิ้นรนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาพาเธอหมุนไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว แล้วผลักเธอไปที่ต้นไม้ใหญ่ แล้วก้มลงจูบเธออีกครั้ง
เขาจูบเธออย่างบ้าคลั่ง ร่างกายของเขาจู่โจมเธออย่างดุดันและแข็งแกร่ง อย่างกับพายุทอร์นาโด ซึ่งเธอไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน
หลังของหลานเสี่ยวถางพิงอยู่กับต้นไม้ เธอรู้สึกว่าเธอถูกดันโดยพลังของสือมูเฉินและลำต้นของต้นไม้ เธออดไม่ได้ที่จะพยายามเอาปากออกจากเขา แต่เขาจับหัวด้านหลังของเธอไว้
“อื้อ อื้อ……” เสียงอู้อี้จากจมูกเพราะเธอกำลังพยายามต่อต้าน แต่ทว่า เขากลับไม่ได้ยินเลย และยังคงจูบอย่างบ้าคลั่งอย่างต่อเนื่อง
ในเวลานี้ เสียงบทสนทนาดังมาจากระยะไกล “ที่นี่มืดมาก ถ้ามุกถูกซ่อนอยู่ที่นี่ คงจะมองเห็นได้ไม่ยาก เรามาช่วยกันตามหาดีกว่า!”
หลานเสี่ยวถางตกใจและอดไม่ได้ที่จะผลักไหล่ของสือมูเฉิน
แต่ว่า เขากลับกักขังเธอไว้แน่น พลังของเธอที่อยู่ตรงหน้าเขาดูเหมือนจะเป็นเพียงหนอนตัวน้อยที่พยายามเขย่าต้นไม้
บทสนทนาในระยะไกลใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หัวใจของหลานเสี่ยวถางเต้นเหมือนกลอง เธอไม่สามารถดิ้นออกมาได้ แต่เริ่มดิ้นรนอย่างรุนแรงจนกระทั่งสือมูเฉินมีปฏิกิริยา เขาหลับตาลงและมองไปทางแสงสลัวๆ ดวงตาที่ลึกล้ำมองมาที่เธอ เหมือนพยายามรวบรวมกระแสน้ำวนทั้งสองที่ไม่มีที่สิ้นสุด
“มีคนกำลังมา…” หลานเสี่ยวถางชี้ไปทางหนึ่ง
แต่ว่าสือมูเฉินไม่ได้เคลื่อนไหว ร่างกายของเขายังคงกดทับหลานเสี่ยวถางอย่างแน่นหนา
ขณะนี้ หลานเสี่ยวถางกังวลมากจนอยากจะร้องไห้ออกมา และแล้วเธอก็ได้ยินคนสองคนกำลังเดินผ่านมาและมีเสียงเหยียบใบไม้แห้งที่ร่วงอยู่บนพื้น
“เฮ้ ดูเหมือนจะมีคนอยู่ข้างหน้า!” หนึ่งในนั้นพูด
“พวกเราไปถามเขาดูว่าเจออะไรไหม? ” ชายคนนั้นพูดพร้อมกับเปิดไฟฉายมือถือ
หลานเสี่ยวถางรู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตไปทั้งตัว เธอไม่รู้จะทำอย่างไร?
แสงของไฟฉายส่องไปในทิศทางที่พวกเขาอยู่ ขณะที่แสงกำลังจะตกลงมาบนใบหน้าของหลานเสี่ยวถาง ร่างกายของสือมูเฉินก็ขยับ เขาก้าวไปด้านข้างและช่วยบังแสงให้กับหลานเสี่ยวถาง จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะจูบดวงตาของเธอ
“อ่ะ —” หญิงสาวอุทานเสียงต่ำ
จากนั้นชายคนนั้นก็กล่าวขอโทษ ” ขออภัย พวกเราไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ”
จากนั้น ดูเหมือนทั้งสองคนจะรู้สึกผิด และวิ่งหนีหายไปจากพวกเขาอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่กล้าเปิดไฟเพื่อส่องทางอีกเลย
“คุณ—” หลานเสี่ยวถางอารมณ์เสียเล็กน้อย เมื่อกี้ฉันกลัวจะตายอยู่แล้ว
แต่ว่า เธอเพิ่งพูดได้ไม่กี่คำ สือมูเฉินก็ลากเธอไปที่โขดหินทันที
ที่นี่ค่อนข้างมืด และเธอแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาพาเธอมาที่นี่ได้อย่างไรโดยที่ไม่ล้มเลย
“มูเฉิน–” หลานเสี่ยวถางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสือมูเฉินในวันนี้ แต่เธอรู้สึกถึงความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ของเขา ดูเหมือนจะเข้าใจผิดว่าเธอและหันจื่ออี้มีอะไรบางอย่าง
เธอจึงรีบอธิบายว่า “อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระที่สือเพ่ยหลินพูดที่โต๊ะอาหารเลย จริงๆแล้ว —”
“จริงๆ แล้วอะไร ?” มือของสือมูเฉินลูบผ่านผมที่ยังคงเปียกของหลานเสี่ยวถาง และภาพก่อนหน้านี้ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา
เฉินจื่อโร่วล้มลง เขาแค่ทำท่ารับแต่ไม่ได้ตั้งใจรับ ดังนั้นเฉินจื่อโร่วจึงตกลงไปในน้ำและสำลักน้ำด้วยความเขินอาย เขาไม่ได้ช่วยดึงเธอขึ้นมา แต่กลับยืนมองดูเฉินจื่อโร่วที่ทุลักทุเลขึ้นจากน้ำอย่างยากลำบาก
เธอโกรธเล็กน้อย แต่ไม่กล้าที่จะโมโหใส่เขา เขาพูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “คุณเฉิน ผมขอโทษ เมื่อกี้ขาของผมเป็นตะคริว ”
แต่แล้ว เขาก็มองเห็นหลานเสี่ยวถางทิ้งตัวลงมาอย่างเป็นธรรมชาติ ท่าทางของเธอเหมือนผีเสื้อบินได้ แถมหันจื่ออี้ก็รับเธอได้ไว้แน่น เขาเห็นว่าภาพเป็นอย่างไร ? และกลมกลืนกันเพียงใด ?