บทที่ 54 เป็นเขาจริงๆ ด้วย

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“ฉันรู้ คุณได้รับคำเชิญจากโรงพยาบาลตระกูลจรูญอุดมสุข กลับมาทำงานในประเทศใช่ไหมคะ?” วารุณีนั่งลงบนเก้าอี้

พงศกรชะงัก “คุณรู้ดีขนาดนี้ได้ยังไงครับ?”

วารุณีอธิบาย “คราวก่อนอารัณป่วย ฉันเจอคุณหมอพิชิตที่โรงพยาบาล ได้ยินเขาบอกว่าจะเชิญคุณมาผ่าตัดเคสหนึ่ง”

เธอจำได้ เหมือนว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นจะชื่อนวิยา

“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง” พงศกรถอนหายใจด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “ตอนแรกผมยังอยากจะให้คุณเดาอยู่เลย”

วารุณีหัวเราะเบาๆ “กลับมาเมื่อไหร่คะ ฉันจะได้ไปรับคุณ?”

“ต้องดูว่าวีซ่าจะได้เมื่อไหร่ครับ ไว้รอได้วีซ่า ผมจะบอกคุณ”

“ได้ค่ะ!”

หลังจากนั้น วารุณีพูดคุยกับพงศกรเล็กน้อย แล้วจบบทสนทนา

เวลานี้ เพื่อนร่วมงานเดินมา “คุณวารุณีคะ ฝ่ายผลิตเสื้อบอกว่าเสื้อผ้าตัวต้นแบบมีปัญหานิดหน่อย อยากให้คุณไปดูค่ะ”

“ค่ะ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้” พูดจบ วารุณีคว้ากระเป๋า แล้วออกไปจากแผนกออกแบบ

ตอนเย็น เธอส่งข้อความไปหาปาจรีย์ ให้ปาจรีย์ช่วยไปรับลูกๆ ส่วนเธอก็นั่งรถไปยังโรงแรมที่เธอเสียพรหมจรรย์เมื่อห้าปีก่อนตามลำพัง

สิ่งที่พิชญาพูดกับปลายสายเมื่อตอนกลางวัน เหมือนเสียงของปีศาจ รบกวนจิตใจของเธอตลอดเวลา

ดังนั้นเธอต้องรู้ให้แน่ชัด คนที่นอนกับเธอในคืนนั้นเป็นใครกันแน่ ไม่อย่างนั้นเธอนอนไม่หลับ!

“สวัสดีค่ะ” วารุณีมาถึงเคาน์เตอร์โรงแรม “ขอโทษนะคะ ผู้จัดการของพวกคุณอยู่ไหมคะ?”

“อยู่ค่ะ สักครู่นะคะ!” พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ยิ้มอย่างมีมารยาท จากนั้นหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา ร้องเรียกผู้จัดการ

ผู้จัดการมองวารุณีอย่างพิจารณาครู่หนึ่ง ถามด้วยความเกรงใจ“คุณต้องการพบผมเหรอครับ?”

“ฉันอยากตรวจสอบกล้องวงจรปิดของพวกคุณ ได้ไหมคะ?” วารุณีสูดลมหายใจเข้า

ผู้จัดการตะลึงไปพักหนึ่ง แล้วปฏิเสธ “ขอโทษด้วยนะครับคุณผู้หญิง เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของโรงแรม ผมให้คุณตรวจสอบไม่ได้ นอกจากจะมีเหตุผลจำเป็น”

เหตุผลจำเป็น……

วารุณีหลบตาลง “แล้วถ้าฉันบอกว่า เมื่อห้าปีก่อนฉันถูกข่มขืน ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าใครเป็นคนข่มขืนฉัน ก็ไม่ได้เหรอคะ?”

เมื่อได้ฟัง เนื้อที่แก้มของผู้จัดการสั่นเทา ตกใจกับคำพูดของเธออย่างเห็นได้ชัด รีบเปลี่ยนคำพูด

“ได้แน่นอนครับ พวกผมยินดีให้ความร่วมมือ”

นี่มันคดีอาญาแล้ว จะไม่ให้ความร่วมมือได้ยังไง

ถ้าคุณผู้หญิงคนนั้นแจ้งความ เจ้าหน้าที่ตำรวจมาขอดูกล้องวงจรปิด ถ้าอย่างนั้นชื่อเสียงของโรงแรมก็จะเสียหาย

“เชิญครับ!” ผู้จัดการผายมือเชิญ

วารุณีกล่าวขอบคุณ แล้วเดินตามหลังเขาไปยังห้องกล้องวงจรปิด

เหตุเพราะวารุณีจะดูบันทึกเมื่อห้าปีก่อน ทำให้พนักงานในห้องกล้องวงจรปิดต้องใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวัน ถึงจะหาบันทึกเมื่อห้าปีก่อนออกมาได้ แล้วกดเปิด

วารุณียืนอยู่ตรงหน้าจอภาพที่ใหญ่ที่สุด มือทั้งสองข้างของเธอกำหมัดแน่น เห็นได้ชัดว่าเวลานี้เธอไม่ใจเย็นอีกต่อไปแล้ว

อย่างรวดเร็ว ภาพจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นพิชญาพาเธอ เดินอยู่ตรงทางเดินในห้องสูทของโรงแรม วินาทีต่อมา พิชญาเปิดประตู แล้วผลักเธอเข้าไป

“เดี๋ยวก่อน!” จู่ๆ ผู้จัดการก็บอกให้หยุด

วารุณีมองไปที่เขา “เป็นอะไรไปคะ?”

“คุณวารุณีครับ เมื่อกี้คุณบอกว่า ตอนนั้นคุณพักที่ห้อง 3606 ใช่ไหมครับ?” ผู้จัดการถาม

“ถูกต้องค่ะ” นัยน์ตาของวารุณีฉายแสงแวววับ พยักหน้า ทว่าภายในใจของเธอกลับรู้สึกร้อนตัว

เธอโกหก เธอจงใจบอกผู้จัดการว่า พี่สาวของเธอช่วยเปิดห้องให้เธอ บอกให้เธอพักผ่อน หลังจากนั้นก็มีคนบุกเข้ามา แล้วข่มขืนเธอ

ถ้าพูดแบบนี้ ผู้จัดการจะได้ไม่ต้องคิดว่า เธอเป็นคนเข้าไปในห้องนั้นด้วยตนเอง เพราะถึงอย่างไร มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี!

ผู้จัดการไม่ได้สงสัยว่าสิ่งที่วารุณีพูดเป็นเรื่องจริงหรือโกหก ชี้ไปยังห้องที่เธอเข้าไปแล้วพูด“แต่คุณวารุณีครับห้องที่คุณเข้าไป ไม่ใช่ห้อง3606 แต่เป็นห้อง 3609″

“คุณบอกว่าอะไรนะคะ?” สีหน้าของวารุณีเปลี่ยนไปทันที ดวงตาของเธอเบิกกว้าง

ใบหน้าของผู้จัดการเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “นี่คือความผิดของทางโรงแรมครับ ตอนนั้นเลข 9 ของห้อง 3609 หลวม ทำให้กลายเป็นเลข 6 ทางโรงแรมก็เพิ่งรู้ในตอนหลังเองครับ”

ตัวของวารุณีสั่นเทา ภาพตรงหน้ามืดสนิท

ดังนั้นในตอนนั้นเธอเข้าผิดห้อง นอนกับผู้ชายผิดคน?

“แล้วเจ้าของห้อง 3609 คือใครคะ?” ใบหน้าของวารุณีซีดขาว ถามด้วยเสียงสั่นเทา

ผู้จัดการกำลังจะตอบ ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นอะไรบางอย่าง ใช้ปากชี้ไปยังภาพบนหน้าจอ “คือเขาครับ!”

วารุณีรีบมองไปที่หน้าจอ เห็นร่างสูงใหญ่เดินเซไปมาด้านหน้าห้อง 3609 เขาก้มหน้าลง วารุณีมองไม่เห็นหน้าของเขา เธอรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา

จนกระทั่งชายหนุ่มเปิดประตู วินาทีที่เขาเดินเข้าไปในห้อง ในที่สุดก็เผยหน้าด้านข้างออกมา

ถึงแม้ใบหน้าด้านข้างจะไม่ดูเป็นผู้ใหญ่เหมือนตอนนี้ แต่เธอก็ยังดูออกในพริบตาเดียว

นัทธี!

ถึงว่าทำไมอารัณถึงหน้าตาเหมือนเขามากขนาดนี้ ที่แท้พวกเขาก็เป็นพ่อลูกกันจริงๆ !

วารุณีปิดปาก น้ำตาคลอเบ้า

ถึงแม้ก่อนมา เธอจะพอคาดเดาได้แล้ว แต่ตอนที่ได้รับการยืนยัน อดไม่ได้ที่จะตกใจ บนโลกใบนี้ มีเรื่องบ้าแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย

“คุณครับ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” ผู้จัดการเห็นเธอร้องไห้ ถามด้วยความเป็นห่วง

วารุณีส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ ฉันขอเซฟบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดนี้ได้ไหมคะ?”

ผู้จัดการตกลง

วารุณีหยิบแฟลชไดร์ฟที่เตรียมเอาไว้ออกมา แล้วเซฟบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิด จากนั้นก็ออกไปจากโรงแรม

ตอนไป เธอเดินเซไปมา

คืนวันนั้น วารุณีนอนไม่หลับทั้งคืน วันที่สองเธอไปสนามบินด้วยใบหน้าอิดโรย

นัทธีเห็นขอบตาดำทั้งสองข้างของเธอ เลิกคิ้วขึ้นขมวด

ผู้หญิงคนนี้ แค่ไปร่วมงานนักวิจารณ์ ก็ดีใจขนาดนี้เลยเหรอ?

“เอาตั๋วโดยสารหรือยัง?” นัทธีเดินไปตรงหน้าวารุณี ถามเสียงเรียบ

วารุณีไม่ตอบ นั่งเหม่อลอยบนเก้าอี้

นัทธีขมวดคิ้วเป็นปมอย่างอดไม่ได้ ยื่นมือออกไปแล้วโบกไปมา

ในที่สุดวารุณีก็ดึงสติกลับมา หลังจากเงยหน้าขึ้นมองเขาครู่หนึ่ง เธอก็รีบก้มหน้าลง เสียงของเธอเบาราวกับยุง “ประธานนัทธี คุณมาแล้ว……”

“คุณเป็นอะไรไป?” นัทธีหรี่ตาลงแล้วจับจ้องไปที่เธอ

เหมือนผู้หญิงคนนี้กำลังหลบหน้าเขา?

“เปล่า……เปล่าค่ะ……” วารุณีวางมือบนตัก จับกระโปรงแน่น เธอดูตื่นตระหนกอย่างมาก

ตั้งแต่รู้ว่าผู้ชายตรงหน้าคือพ่อที่แท้จริงของลูกทั้งสองคน

เธอก็พบว่า เธอไม่สามารถ เผชิญหน้ากับเขาอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนเดิมได้อีกแล้ว

นัทธีจะดูไม่ออกได้ยังไงว่าวารุณีกำลังโกหก ริมฝีปากบางเม้มแน่น อยากจะถามอะไรเล็กน้อย แต่เสียงประกาศในสนามบินก็ดังขึ้น ขัดจังหวะเขา

ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเคร่งขรึม แล้วเปลี่ยนสิ่งที่จะพูด“ไปกันเถอะครับ ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว”

“ค่ะ” วารุณีรีบพยักหน้า

หลังจากขึ้นไปบนเครื่องบิน วารุณีมองดูห้องโดยสารชั้นหนึ่งที่มีแค่พวกเขาสองคน ในที่สุดเธอก็รู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง รีบถามนัทธีทันที “ประธานนัทธี มีแค่พวกเราสองคนเหรอคะ?”

นัทธีที่กำลังอ่านนิตยสาร ได้ยินคำพูดของเธอ ขานตอบอื้ม “มารุตไปพรุ่งนี้”

“เหรอคะ” วารุณีกัดริมฝีปากล่าง

ดังนั้นหลายชั่วโมงต่อจากนี้ เธอต้องอยู่กับเขาตามลำพัง?

หางตาของนัทธีเห็นสีหน้าลำบากใจของวารุณี นัยน์ตาเยือกเย็น

เธอหมายความว่าอะไร?

เธอไม่อยากอยู่กับเขา?

“ประธานนัทธี ฉันขอถามอะไรอีกอย่างหนึ่งได้ไหมคะ?” วารุณีไม่รู้ว่านัทธีกำลังคิดอะไร หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จู่ๆ เธอก็พูดขึ้น

นัทธีตอบกลับเสียงเยือกเย็นสามพยางค์ “ถามมาสิ!”

วารุณีรวบรวมความกล้า กัดฟันถาม “ถ้าวันหนึ่ง คุณพบว่าตนมีลูกอยู่ข้างนอก คุณจะทำยังไงคะ?”

ได้ยินคำถามนี้ นัทธีปิดนิตยสาร เงยหน้าขึ้นมองเธอ จับจ้องลึกเข้าไปในดวงตา คล้ายจะอ่านจนทะลุทะลวง “คุณถามแบบนี้ทำไมครับ?”

กังวลว่าเขาจะดูออก วารุณีรีบหลบตาลง ซ่อนความกระวนกระวายและร้อนตัวที่อยู่ในแววตาของตน พยายามปรับเสียงให้ธรรมชาติที่สุด “ฉันสงสัยคะ เมื่อคืนฉันดูโทรศัพท์ พระเอกรู้ว่าตนมีลูกอยู่ข้างนอก แต่ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี ดังนั้นฉันเลยอยากถามความคิดเห็นของประธานนัทธีค่ะ”

นัทธีถอนสายตากลับ หัวเราะในลำคอ “รับกลับมา ลูกของผม ผมไม่มีวันทิ้งให้อยู่ข้างนอกหรอก”