วารุณีฟังสิ่งที่เขาพูด หัวใจของเธอตกตะลึง ตัวของเธอเองก็เริ่มสั่นเทา
เธอดูออก เขาจริงจัง ถ้าเขารู้ว่าเด็กทั้งสองคนเป็นลูกของเขา เขาจะพาลูกไปจากเธอ ส่วนเธอก็ทำได้เพียงมองเท่านั้น ไม่สามารถห้ามอะไรได้
ไม่ได้ จะให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด เขาเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของพิชญา อนาคตข้างหน้าก็ต้องแต่งงานกับพิชญา
ตอนนี้พิชญายังเกลียดเด็กทั้งสองมาก วันข้างหน้าเด็กทั้งสองจะถูกปฏิบัติยังไง เธอไม่กล้าจะคิด ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ ปล่อยให้เขารู้ไม่ได้เด็ดขาด
คิดถึงตรงนี้ วารุณีมองไปที่นัทธี เธอตัดสินใจแล้ว เธอจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้
“ประธานนัทธีพูดถูกเขา ลูกของตนเอง จะปล่อยให้อยู่ข้างนอกได้ยังไง!” วารุณีฝืนเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด
หลับตาลง พิงตัวลงบนเก้าอี้แล้วนอนหลับไป
นัทธีได้ยินเสียงลมหายใจยาวและดังขึ้นข้างหู ชะงักเล็กน้อย
นอนหลับไปแล้ว?
เขามองไปที่วารุณี เห็นเธอกอดแขนตัวเอง ขดตัวอยู่บนเก้าอี้ นวดขมับ กดปุ่มข้างๆ ที่วางมือเพื่อเรียกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเดินมา “สวัสดีค่ะคุณผู้ชาย มีอะไรให้ช่วยเหลือไหมคะ?”
“ผมขอผ้าห่มผืนหนึ่งครับ” ริมฝีปากบางของนัทธีพูดขึ้น
“ได้ค่ะ” พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินยิ้มอย่างอ่อนโยน
อย่างรวดเร็ว นำผ้าห่มมาแล้ว
นัทธีปลดล็อคเข็มขัดนิรภัย ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังที่นั่งข้างวารุณี หลังจากก้มหน้าลงมองเธอสองวินาที เขาก็ย่อตัวลง แล้วปรับเก้าอี้เธอลง
ตัวของวารุณีปรับเอนไปตามเก้าอี้ จากที่ขดตัวอยู่นั้นก็กลายเป็นนอนราบ
จากนั้น นัทธีสะบัดผ้าห่ม แล้วห่มให้เธอเบาๆ พร้อมทั้งเกลี่ยผมที่บดบังใบหน้าของเธอ
มองดูใบหน้าซีดขาวของเธอ ริมฝีปากบางของนัทธีขยับเล็กน้อย นัยน์ตาของเขาลุ่มลึก
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขายื่นมือไปจับ สัมผัสที่นุ่มนวลผ่านมือของเขา ทำให้เขาดึงสติกลับมาทันที หลังจากรู้ตัวว่าตนเองทำอะไรลงไป สีหน้าของเขาเคร่งขรึม รีบดึงมือกลับ ลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปยังที่นั่งของตนเอง ขมวดคิ้วเป็นปม
เขาบ้าไปแล้วจริงๆ !
ไม่เพียงแต่ทำสิ่งที่เกินเลย ทั้งยังเป็นฝ่ายจับหน้าของเธอ
นัทธีกำหมด มองปุยเมฆนอกหน้าต่าง นัยน์ตาของเขาหม่นหมอง
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น วารุณีหาววอดใหญ่ บิดขี้เกียจ มองดูผ้าห่มที่หล่นลงมา เธอชะงักเล็กน้อย นึกอะไรขึ้นมาได้ มองไปทางชายหนุ่มที่อยู่ข้างกาย
ตรงตักของชายหนุ่มมีแล็ปท็อปวางเอาไว้ เขากำลังพิมพ์ตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์ ด้วยความตั้งใจ
วารุณีเก็บผ้าห่มขึ้นมา ถามด้วยแก้มที่แดงระเรื่อ “ประธานนัทธี คุณห่มผ้าให้ฉันเหรอคะ?”
มือของนัทธีหยุดชะงัก หนึ่งวินาทีหลังจากนั้นก็กลับเป็นเหมือนเดิม ตอบกลับเสียงเรียบ“ไม่ใช่ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเป็นคนทำ”
เมื่อได้ฟัง วารุณีรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างมาก
เธอนึกว่าเขาเป็นคนทำเสียอีก
ก็จริง พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน แล้วเขาจะดูแลเธอทำไม
ถึงแม้จะคิดแบบนี้ แต่ภายในใจก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
แต่วารุณีไม่ได้ขยายความผิดหวังเป็นวงกว้าง เธอปรับพนักเก้าอี้แล้วพับผ้าห่มวางไว้ข้างๆ จากนั้นลุกไปห้องน้ำ
หลังจากเข้าห้องน้ำกลับมา นัทธีเก็บแล็ปท็อปเรียบร้อยแล้ว เขากำลังดูนาฬิกาข้อมือ “เตรียมตัวให้พร้อม เครื่องบินกำลังจะลงแล้วครับ”
“ค่ะ” วารุณีตอบกลับ แล้วเก็บข้าวของของตนให้เรียบร้อย
หลังจากลงเครื่อง นัทธีเดินไปตรงประตูทางออก วารุณีมองดูแผ่นหลังของเขา แววตาของเธอสับสน แต่อย่างรวดเร็ว นัยน์ตาของเธอก็ฉายความโล่งอก
ในเมื่อตนไม่คิดจะให้เขารู้ว่าเด็กทั้งสองเป็นลูกของเขา ถ้าอย่างนั้นเมื่อก่อนตนปฏิบัติต่อเขายังไง หลังจากนี้ก็ปฏิบัติเหมือนเดิม
หลบหนี กลับกลายเป็นทำให้เขาหวาดระแวงง่ายขึ้น
เมื่อคิดได้แบบนี้ วารุณีตบหน้าตนเอง รู้สึกผ่อนคลายขึ้นกะทันหัน
แน่นอนว่านัทธีเองก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเธอ แต่เขาก็ไม่ได้ถามเธอว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ไปถึงโรงแรมที่พัก วารุณีวางของลง หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดวิดีโอคอลหาปาจรีย์ อยากจะพูดคุยกับลูกทั้งสองคน
ตอนนี้ในประเทศเป็นเวลากลางคืนพอดี เธอเองก็ไม่กังวลว่าพวกเขาเข้านอนแล้ว
“หม่ามี๊” หน้าของเด็กทั้งสองปรากฏอยู่ตรงหน้ากล้อง ร้องเรียกเธอเสียงหวาน
วารุณีฟังเสียงอ้อแอ้ของเด็กทั้งสอง หัวใจของเธอเกือบจะละลายแล้ว ทำไมถึงน่ารักได้ขนาดนี้!
“ลูกรัก กำลังทำอะไรกันอยู่เป็นเด็กดีรึเปล่า?” วารุณีนอนอยู่บนเตียงแล้วถาม
ไอริณพยักหน้า “พวกหนูเป็นเด็กดีค่ะ เมื่อกี้แม่บุญธรรมเพิ่งชมหนูเองค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอคะ แล้วพี่ชายเป็นยังไงบ้างคะ?” วารุณีมองไปทางอารัณ
อารัณเบ้ปาก “แม่บุญธรรมดุอารัณครับ!”
“หื้ม?” วารุณีแปลกใจ “ทำไมถึงด่าอารัณครับ?”
“หนูรู้ค่ะ” ไอริณยกมือเล็กๆ ขึ้นแล้วรีบตอบ “เพราะพี่อารัณทำแจกันดอกไม้ของแม่บุญธรรมแตก แม่บุญธรรมไม่ให้พี่อารัณเอามือไปเก็บ เดี๋ยวจะถูกแก้วบาด แต่พี่อารัณไม่ฟังค่ะ”
ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง
“ถ้าอย่างนั้นก็สมควรถูกดุ!” วารุณีพยักหน้าเห็นด้วย
อารัณทำเสียงฮึดฮัดด้วยความน้อยอกน้อยใจ แล้วหันหน้าไปอีกทาง
วารุณีอยากจะให้เขามีบทเรียน จึงไม่ได้ปลอบเขา พูดคุยกับลูกสาว
คุยกันอยู่สองสามประโยค ไอริณดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ ถามถึงนัทธี “หม่ามี๊ คุณอานัทธีอยู่ไหมคะ? หนูอยากคุยกับคุณอานัทธีค่ะ”
ได้ยินคำพูดนี้ วารุณีเงียบไปครู่หนึ่ง “ทำไมหนูต้องอยากคุยกับคุณอานัทธีด้วยคะ?”
“เพราะชอบคุณอานัทธีไงคะ” ไอริณอมนิ้วมือแล้วตอบ
“อารัณก็เหมือนกันเหรอครับ?”
อารัณไม่งอลแล้ว เขาพยักหน้า “แน่นอนครับ ผมนับถือคุณอานัทธีมาก อนาคตผมโตขึ้น ผมก็อยากเป็นเหมือนคุณอานัทธี……ไม่สิ อยากจะเป็นผู้ชายที่เก่งยิ่งกว่าคุณอานัทธี!”
มองดูตอนที่เด็กทั้งสองพูดถึงนัทธี ดวงตาเป็นประกายคู่นั้น วารุณีขยับริมฝีปาก รู้สึกมึนงงเล็กน้อย
ไม่มีใครรู้จักเด็กทั้งสองคนดีเท่ากับเธอ ถึงแม้มองดูแล้วเด็กทั้งสองจะสดใส แต่ความเป็นจริงพวกเขายอมรับใครคนหนึ่งยากมาก
แต่หลังจากกลับมา พวกลูกๆ กลับยอมรับในตัวนัทธีอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอรู้สึกตกใจมาก ตอนนี้เธอเพิ่งรู้ว่า นั่นเป็นเพราะพวกเขาเป็นสายเลือดเดียวกัน
แต่วันนี้ เธอตัดสินใจแล้วที่จะไม่ให้พวกเขาสามคนพ่อลูกรู้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากัน ดังนั้น……
หลังจากกล่าวขอโทษในใจ วารุณียิ้มเศร้า “ขอโทษด้วยนะลูกรัก คุณอานัทธีไม่อยู่”
“คะ?” เด็กทั้งสองมองหน้ากันด้วยความผิดหวัง
วารุณีรีบเปลี่ยนบทสนทนา ไม่พูดถึงนัทธีอีก พูดถึงเรื่องอื่น เปลี่ยนความสนใจของเด็กทั้งสองคนได้สำเร็จ
ผ่านไปประมาณสิบกว่านาที ได้เวลาเข้านอนของเด็กทั้งสองคนแล้ว วารุณีจึงตัดสาย
ในเวลานี้ เสียงกริ๊งหน้าประตูดังขึ้น
วารุณีเด้งตัวขึ้นนั่ง ใส่รองเท้าแล้วไปเปิดประตู
นัทธียืนอยู่ด้านนอกประตู ในมือถือกล่องสองกล่อง “ให้คุณ”
“นี่คือ……ชุดราตรี?” วารุณีรับกล่องมา ดูรูปด้านบน ก็เดาได้ทันทีว่าของด้านในคืออะไร
นัทธีเชยคางขึ้นเล็กน้อย “คืนนี้ต้องใส่”
“ขอบคุณค่ะประธานนัทธี” วารุณียิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ
ตอนแรกเธอจะออกไปซื้อชุดราตรีด้านนนอก คิดไม่ถึงว่า เขากลับเตรียมให้เธอแล้ว
“ไม่เป็นไร คุณเป็นนักออกแบบคนสำคัญของโปรเจค‘Bath fire rebirth’ ผมควรรับผิดชอบเรื่องชุดราตรีของคุณ ผมขอตัวก่อนนะ”
พูดจบ นัทธีหมุนตัวหันหลังกลับไปยังห้องสูทที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
วารุณีเห็นเขาเดินเข้าไปในห้อง จึงปิดประตู กอดกล่องทั้งสองเอาไว้เดินไปข้างเตียง วางกล่องไว้บนเตียงแล้วเปิดออก
กล่องแรกคือชุดราตรี กล่องที่เล็กกว่าเล็กน้อย คือรองเท้าส้นสูงสีเงิน
วารุณีสะบัดชุดราตรีออกมา เดรสตัวยาวปาดไหล่สีแดง สวยและหรูหราอย่างมาก บริเวณเอวมีเพชรเม็ดใหญ่ฝังเอาไว้ ประกายแวววับ
วารุณีแค่มองก็ชอบชุดนี้อย่างมาก อดไม่ได้ที่จะเอาชุดมาทาบกับตัวเอง เมื่อทาบแล้ว เธอเพิ่งรู้สึกว่า หัวใจเต้นแรง ใบหน้าแดงระเรื่อก้มลงแล้วพูดพึมพำ “แปลกจัง เขารู้ขนาดตัวของฉันได้ยังไง?”