บทที่ 73 ฝนตกลงมาอย่างหนักราวกับเป็นลางว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น

คิงดราก้อน

เมื่อแน่ใจแล้วว่าคนที่มานั้นคือเซียวหยาง คนพวกนั้นก็ไม่พูดมากอีกต่อไป ยกมีดซาบาต้าขึ้นและบุกเข้ามาทันที

เป้าหมายของพวกเขานั้นง่ายนิดเดียว นั่นก็คือล้มเซียวหยางลง และพากลับไปเพื่อส่งงาน ขอเพียงแค่ไม่ตาย จะทำยังไงก็ได้

เซียวหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย คนยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับ

คนพวกนั้นยังรู้สึกมึนงง ไอ้หมอนี่รนหาที่ตายหรือยังไง ไม่คิดจะหนีเลยสักนิด

พี่น้องมีมีดอยู่ในมือเยอะขนาดนี้ คนละมีดก็สามารถสับแกเป็นชิ้น ๆ ได้แล้ว หรือว่าไอ้หมดนี้จะกลัวจนเอ๋อแดกไปแล้ว?

“แม่ง ตัดขาทั้งสองข้างของมันก่อนเลย!”

บนหัวของรถออฟโรดนั้น มีลูกพี่ที่สวมเสื้อแจ็คเก็ตหนัง ที่หน้าอกปรากฏให้เห็นรอยสักยืนอยู่ มีรูปลักษณ์ขาว ๆ อ้วน ๆ แต่กลับย้อมผมสีแดงทั้งหัว คอยสั่งการให้ลูกน้องบุกตะลุยโจมตี

ฉัวะ ๆ !

มีดซาบาต้าสามเล่มถูกฟันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มีซาบาต้าสองเล่มฟันเข้าไปที่เข้าซ้ายและเท้าขวาของเซียวหยาง ส่วนอีกเล่มนั้นคิดจะแทงเข้าไปที่บริเวณไล่ของเซียวหยาง

คนพวกนี้ไม่ได้ลงมือแบบเอาให้ตาย คนที่อยู่ข้างบนต้องการแบบยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นถึงได้ลงมืออย่างมีขอบเขต ไม่ได้ลงมือต่อจุดสำคัญของเซียวหยาง

เซียวหยางถอยไปด้านหลัง หลบพ้นจากมีดสองเล่ม ขณะเดียวก็นั้นก็เบี่ยงตัวหลบมีดที่แทงเข้ามาบริเวณไหล่ จากนั้นก็ยกเท้าเตะด้วยแข้งออกมา กวาดเตะเข้าไปยังอันธพาลที่อยู่ใกล้เขาที่สุด

กร๊อบ!

อ๊าก!

ทันใดนั้นกระดูกขาของอันธพาลนั่นก็งอคดโค้งอย่างแปลกประหลาด โซซัดโซเซล้มลงไปร้องหาพ่อเรียกหาแม่อยู่บนพื้นอย่างเจ็บปวด

คนที่บุกเข้ามาทีหลังพวกนั้นชะงักงั้น มือที่ยกมีดขึ้นก็ค้างอยู่ในอากาศ

พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเจ้าหนุ่มคนนี้จะสามารถหลบพ้นจากมีดได้ แถมยังทำร้ายคนได้ด้วย!

แต่เซียวหยางไม่ได้ให้เวลาพวกเขาตอบสนองเลยสักนิด ร่างทั้งร่างราวกับกระสุนปืนใหญ่ พุ่งเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างฝูงชน

แสงสีขาวเงาจากมีด เซียวหยางเดินไปมาราวกับปีศาจงู

เขาเตะเท้าออกไปอย่างต่อเนื่อง ซ้ายขวาสลับกัน

มีผู้คนอีกหกเจ็ดคนลอยถอยออกไปอีกครั้ง ตกลงไปบนพื้นไม่รู้เป็นตาย

เหล่าอันธพาลที่เหลืออยู่ตกตะลึงสุดขีด เย็xเข้ ไอ้หมอนี่ใช้แค่เท้าสองข้างก็ร้ายกาจขนาดนี้แล้ว! เท้าสลาตันเหรอ?

พี่จูที่ยืนคีบมวลบุหรี่อยู่บนรถออฟโรด เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ตกใจมือสั่น จนบุหรี่หล่นลงไปบนเป้ากางเกง

เย็xเข้ ทำไมไอ้หมอนี้ถึงได้วิปริตขนาดนี้เนี่ย

เวลาต่อมา เซียวหยางก็ได้ล้มพวกอันธพาลสิบกว่าคนที่เหลืออยู่ให้ลงไปกองบนพื้น และเหยียบร่างของอันธพาลพวกนั้นเดินไปข้างหน้าทีละก้าว ๆ

พี่จูที่นั่งอยู่บนรถออฟโรดกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ ตกใจกลัวจนขาอ่อนไปทั้งสองข้าง

“แก……แกอย่าเข้ามานะ!”

พี่จูใบหน้าซีดเซียว กล่าวอย่างเสียงสั่น

“แกบอกว่าจะตัดเท้าทั้งสองข้างของฉันไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้กลัวเร็วแบบนี้ล่ะ?”

เซียวหยางมองไอ้หมอนั่นเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม คนพวกนี้มีจำนวนเยอะก็จริง แต่สำหรับเขาแล้ว มันไม่ได้ต่างอะไรกับพวกเศษขยะเลย อย่างมากก็แค่พวกขยะที่ถือมีดซาบาต้า

พี่จูหัวเราะแหะ ๆ ขึ้นมาทันที ท่าทางยโสอวดดีอย่างเมื่อสักครู่นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“พี่ชาย ทุกคนต่างก็ออกมาเพื่อความอยู่รอด ไว้หน้าหน่อยนะ ปล่อยฉันไปเถอะ”

ปล่อยแกไป?

ปลายเท้าของเซียวหยางเหยียบลงไปบนด้ามมีดที่อยู่บนพื้น กระทืบเบา ๆ มีดซาบาต้าถูกถือไว้ในมือของเขา

“ไม่รู้ว่ามีดเล่มนี้จะเร็วหรือเปล่า ถ้าเฉือนแกไม่ขาดในครั้งเดียว ฉันก็จะปล่อยแกไปเป็นยังไงบ้าง?”

พี่จูแทบจะร้องไห้ เขากลิ้งไถลจากรถลงมาบนพื้น กอดเข้าที่ต้นขาของเซียวหยางพลางกล่าว“ลูกพี่ ผมผิดไปแล้ว เลิกเล่นเถอะนะ ผมมันก็แค่หัวโจกเล็ก ๆ เท่านั้นเอง พวกเรามีเรื่องอะไรคุยกันดี ๆ ก็ได้”

ในดวงตาของเซียวหยางเป็นประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง ตวัดมีดไปมา และฟันลงไปเหนือหัวของพี่จู

ว๊าก!

พี่จูตกใจกลัวจนกรีดร้องออกมา และล้มลงไปกองบนพื้นทันที ขาสองข้างสั่นเทา ของเหลวสีเหลืองไหลออกมาจากบริเวณเป้ากางเกงของเขา

ไอ้หมอนี่ตกใจกลัวจนฉี่ราดแล้ว

พี่จูลูบคลำไปบนร่างกาย ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะยังอยู่ครบ พอมองลงไปบนพื้น ล้วนเต็มไปด้วยเส้นผมสีแดง ๆ

เซียวหยางตวัดมีดไปมาอีกหลายครั้ง จนกระทั่งตัดผมสีแดงออกจนเหลือเพียงครึ่งซีก

“แกบอกว่าแกเป็นแค่หัวโจกเล็ก ๆ ฉันถามแก ใครเป็นคนส่งแกมา และแกเป็นหัวโจกของที่ไหน?”

พี่จูตกใจกลัวจนฉี่ราดไปแล้ว ยังจะกล้าปิดบังอีกได้ยังไง เขากล่าวออกมาตามความจริง:

“หัวหน้าแก๊งของพวกเราส่งผมมา เขาบอกให้ผมพาลูกน้องมาฟันคุณ และพากลับไปโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ เรื่องอื่นผมเองก็ไม่รู้”

“หัวหน้าแก๊งของพวกแก?”

เซียวหยางหรี่ตาทั้งสองข้างลง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยล่วงเกินหัวหน้าแก๊งอะไรสักหน่อย

“พูดต่อไป” เซียวหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“พวกเราเป็นคนของแก๊งมังกรเขียว หัวหน้าแก๊งของพวกเรามีชื่อว่าหวางชิงหลง โดยปกติแล้วเขาจะใช้เวลาอยู่คลับเป่ยไห่แทบทุกวัน ลูกพี่ ที่ผมสามารถพูดได้หรือพูดไม่ได้ ล้วนบอกลูกพี่ไปหมดแล้ว ลูกพี่อย่าฆ่าผมนะครับ”

พี่จูขายลูกพี่ของตัวเองออกมาโดยไม่ลังเล

เซียวหยางโบกตวัดมีดไปมาอีกรอบ ตัดเอาผมสีแดงที่เหลืออยู่ข้างของพี่จูออกจนหมด ดูแล้วหัวของพี่จูนั้นราวกับไข่ไก่ไม่มีผิด

“สบายตาขึ้นเยอะเลย”

เซียวหยางโยนมีดซาบาต้าออกไป มีดเสียบเข้าไปบนต้นไม้ที่อยู่ตรงข้าม จากนั้นเขาก็จากไปอย่างสง่าผ่าเผย

ก่อนที่จะจากไปนั้น เขาได้ฝากไว้หนึ่งประโยค“หวางชิงหลงแห่งแก๊งมังกรเขียวใช่ไหม ฝากไปบอกหัวหน้าแก๊งของพวกแก ฉันจะต้องไปหาเขาแน่”

พี่จูหดคอลง เขาอดไม่ได้ที่จะคิด แก๊งมังกรเขียวในครั้งนี้ เหมือนจะเอาหัวไปกระทบหินเข้าให้แล้ว

กลับมาถึงบริษัทหยุนซู เซียวหยางหาอะไรทานเล็กน้อยที่โรงอาหาร จากนั้นก็ได้ถูกเย่หยุนซูเรียกไปที่ห้องทำงานของประธานบริษัท

“ทำไมไม่บอกฉันทันทีที่คุณกลับมาล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณปู่บอกว่าคุณถูกปล่อยตัวกลับมาแล้ว ฉันยังไม่รู้เลยว่าคุณได้กลับมาถึงบริษัทแล้ว”

เย่หยุนซูกล่าวอย่างตำหนิเล็กน้อย เธอกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเซียวหยาง อกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดทั้งเช้า แต่เขาล่ะ พอกลับมาถึงก็ไปทานข้าวที่โรงอาหารซะงั้น

“หยุนซู ที่แท้คุณเป็นห่วงผมขนาดนี้เชียว” เซียวหยางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม

“ไปให้พ้นเลยนะ ใครเป็นห่วงคุณกัน ฉันแค่อยากจะรู้ว่าเรื่องเป็นยังไงบ้างแล้วเท่านั้นเอง” เย่หยุนซูเหลือกตามองบนใส่เขาไปหนึ่งครั้ง

ในตอนนี้เอง เธอก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าบนร่างกายของเซียวหยางนั้นมีรอยเท้าอยู่หลายรอย ทันใดนั้นเธอก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความตกใจ“เกิดอะไรขึ้น มีคนทรมานให้คุณรับสารภาพใช่ไหม คุณได้รับบาดเจ็บเหรอ?”

เซียวหยางหัวเราะแหะ ๆ “ยังบอกว่าไม่เป็นห่วงผม แล้วนี่คุณทำอะไร วางใจเถอะน่า เรื่องราวได้คลี่คลายเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ผู้ชายของคุณยังได้รับประกาศนียบัตรเกียรติคุณและเงินรางวัลกลับมาด้วยด้วยล่ะ”

“นี่เป็นสิ่งที่ผมได้รับจากการทำในสิ่งที่ถูกต้องเมื่อครั้งที่แล้ว พวกเขายังคิดจะจัดงานแถลงข่าวอะไรบางอย่างอีก แต่ว่าถูกผมปฏิเสธไป”

เย่หยุนซูถึงได้วางใจลง“ประกาศนียบัตรเกียรติคุณจากการทำในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วยังมีเงินรางวัลหนึ่งหมื่นหยวน ไม่เลวนี่ ถ้าจำไม่ผิด คงเป็นตอนที่สู้กับพวกโจรชิงทรัพย์กับตำรวจสาวเมื่อครั้งที่แล้วสินะ”

เซียวหยางหัวเราะเหอะ ๆ ถือเป็นการยอมรับ

เย่หยุนซูไม่คิดที่จะพูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ว่าในใจของเธอนั้นก็ยังรู้สึกไม่ค่อยจะดีนัก

เซียวหยางในสายตาของเธอนั้น ได้ค่อย ๆ ออกจากขอบเขตของคนไร้ประโยชน์ไปเรื่อย ๆ เปลี่ยนไปจนทำให้เธอนับวันยิ่งดูเขาไม่ออก

เย่หยุนซูเคยชินกับการควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือ แต่สำหรับเซียวหยาง เธอกลับไม่มีความมั่นใจแบบนั้นแล้ว แม้กระทั่งครั้งหนึ่ง เซียวหยางยังเคยช่วยเธอเอาไว้

พูดถึงเมื่อคืนวาน ถ้าหากไม่ใช่เซียวหยาง เธออาจถูกถังเทียนหวาย่ำยีไปแล้วก็ได้

“หยุนซู คุณกำลังคิดอะไรอยู่น่ะ?”

เห็นเย่หยุนซูไม่พูดอะไร เซียวหยางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา

“ไม่มีอะไร ฉันแค่มีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีอะไรบางอย่าง มักรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเพียงแค่เริ่มต้น ทางตระกูลถัง จะต้องไม่ยอมวางมือแน่”

ในเวลานี้ สภาพอากาศอึมครึม เมฆดำปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง บรรยากาศอึดอัดยิ่งนัก

ครืน!

ในที่สุด ท้องฟ้าที่มืดมนก็ได้มีสายฟ้าฟาดลงมา

ฝนตกลงมาอย่างหนักราวกับเป็นลางว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น