บทที่ 47 รักษาตัวด้วย

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 47 : รักษาตัวด้วย

“ดูเหมือนผมจะมีลูกค้าใหม่อีกแล้วน่ะสิครับ”

หลินเจี๋ยมองดูแสงสีขาวสว่างจ้าส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างพลางเลิกคิ้วขึ้น

นั่นใช่…ไฟหน้ารถรึเปล่า

แต่ใครมันจะขับรถมาถึงนี่กัน? แถมขับท่ามกลางสภาพอากาศแบบนี้น่ะเสี่ยงกว่าเดินเป็นไหน ๆ

มันไม่มีทางหาความช่วยเหลือได้เลยหากประสบอุบัติเหตุ และหน่วยกู้ภัยคงลงมือช่วยได้ยากแน่นอน

อีกอย่าง แสงไฟพวกนี้ดูจะตั้งใจส่องเข้ามาข้างในร้านหนังสือโดยไม่คิดจะเปลี่ยนทิศทางไปที่ใดเลย

ถนนหน้าร้านเป็นแนวตั้ง และไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์แบบไหน ย่อมไม่มีใครมาจอดรถขวางทางเท้าหน้าตาเฉยหรอก

ยกเว้นว่าจะเป็นคนบ้าน่ะนะ

อีกทั้งตอนนี้ด้านนอกมีสายน้ำไหลแรง ขนาดคนบ้ายังรู้เลยว่าของที่โดนน้ำกวาดมาอาจจะชนเข้ากับตัวรถจนเกิดความเสียหายได้

ถ้าคนนั้นกำลังจะยูเทิร์นจริง ป่านนี้รถก็ต้องเปลี่ยนทิศไปทางอื่นแล้วสิ

และถ้าคนขับนั่นไม่ได้เป็นบ้าละก็ การเปิดไฟสูงใส่แบบนี้ถือว่าโคตรไร้มารยาท

การมาเยือนของคนคนนี้ ดูท่าทางแล้วคงไม่ได้มาอย่างเป็นมิตรนักหรอก

แม้ว่าหลินเจี๋ยจะมีน้ำใจคอยช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอด แต่เขาเองก็จำคำของนักกวีจีนลู่ซุนเอาไว้อยู่เสมอ ‘จงอย่ากลัวที่จะตัดสินผู้อื่นเพื่อตระหนักถึงกรณีเลวร้ายที่สุด’

เขามีสีหน้าตึงไปเมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา

ร้านของเขาที่ดำเนินการขายโดยไม่ได้รับใบอนุญาตถูกเปิดโปงแล้วหรือนี่

สามปีก่อน หลินเจี๋ยได้รับบัตรประชาชนและเอกสารยืนยันตัวตนในนอร์ซินจากความช่วยเหลือของสาวน้อยนามเชอร์รี่ และดำเนินการเปิดธุรกิจได้สำเร็จผ่านความช่วยเหลือของสมาคมการค้าท้องถิ่น

แต่สุดท้ายแล้ว ร้านของเขาก็ยังถือว่าเปิดทำการโดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่ดี

ตราบใดที่ที่มามีปัญหา ต่อให้เอาใบบัวมาปิดไว้มากเท่าไร สุดท้ายก็ต้องเห็นช้างที่เรียกว่าความจริงอยู่ดี

อีกอย่าง ดูจากสถานการณ์แล้ว หลินเจี๋ยก็มีเหตุผลมากพอที่จะจินตนาการเหตุการณ์ข้างนอกเช่นนี้

รถเครื่องพร้อมตราเจ้าหน้าที่นอร์ซินถูกจอดไว้ไม่ไกลนักพร้อมเปิดแสงจ้าจนสุดเข้ามาในร้านหนังสือ เป็นสัญญาณการป้องปรามและขัดขวางการมองเห็นจากด้านใน

ตำรวจติดอาวุธจำนวนหนึ่งยืนประจัญบานท่ามกลางสายฝน จดจ้องเข้ามายังร้านหนังสือแห่งนี้

แล้วก็ต้องมีตำรวจยศสูงรับผิดชอบถือโทรโข่ง เตรียมตะโกนว่า ‘บุคลากรข้างใน คุณได้กระทำการผิดกฎหมายนอร์ซินว่าด้วยการเข้าประเทศมาโดยมิชอบและปลอมแปลงตัวตน ขอให้คุณยอมมอบตัวแต่โดยดี’

นี่แหละวิธีที่ตำรวจในหนังเขาทำกัน

แน่นอนว่าเหตุผลที่เขาแอบเดาไว้แบบนี้เพราะหลินเจี๋ยสัมผัสได้ถึงอันตรายบางเบา

รูปการณ์แบบนี้แหละคือภยันตรายสำหรับเขา

แต่ในขณะเดียวกัน เขาเองก็ไม่ได้จมจ่อมอยู่กับพิษภัยมากเท่าไรนัก…เพราะเจ้าดำรึเปล่านะ?

ด้วยความคิดเหล่านี้ หลินเจี๋ยจึงลุกขึ้นยืนจากที่นั่งเพื่อมองดูด้านนอกดี ๆ สักครั้ง

ทว่าเมื่อเขายืนขึ้น โดริสดันพึมพำ “โปรดรอสักครู่ ข้าจะจัดการพวกเขาให้ แล้วเราค่อยมาคุยกันต่อเมื่อข้ากลับมาเถิดเจ้าค่ะ”

‘อ๊ะ?’

หลินเจี๋ยกะพริบตาปริบ ๆ อยู่สองสามครั้ง แล้วจึงสังเกตเห็นว่าสีหน้าของลูกค้าใหม่คนนี้จริงจังกว่าเขามาก

เป็นความเคร่งเครียดที่จริงจังราวกับว่าอยากจะฆ่าใครสักคนไม่มีผิด

แต่เพราะคุณหนูคนนี้ท่าทางอ่อนโยนและดูดี ต่อให้มีสายตาเย็นยะเยือกกินเลือดกินเนื้อ ทว่าสีหน้าของเธอก็ไม่ได้บิดเบี้ยวไปเพราะโทสะ ถือว่าต่างจากคนทั่วไปนัก

…ในโลกใบนี้ ผู้คนก็ยังถูกตัดสินด้วยรูปลักษณ์อยู่ดี

‘แต่ทำไมจู่ ๆ ถึงโกรธล่ะ’

‘นี่ไม่ใช่เรื่องมีคนมาแซงคิวสักหน่อย…’

‘เดี๋ยวนะ’

ในฐานะลูกค้าที่เพิ่งมาขอความช่วยเหลือ เธอกลับถูกอาคันตุกะคนใหม่มาขัดตอนที่หลินเจี๋ยกำลังตอบตกลงพอดิบพอดี

‘อย่าบอกนะว่าเหตุการณ์แบบนี้ก็เรียกว่าโดนแซงคิวได้เหมือนกันเหรอเฮ้ย?’

‘และดูจากท่าทางที่เปลี่ยนไปของคุณหนูคนนี้ คนข้างนอกคงถึงคราวซวยแล้วแหง ๆ’

หลินเจี๋ยนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ทำให้เห็นอะไรต่อมิอะไรไม่ชัดนัก ส่วนหญิงสาวกำลังยืนอยู่ด้านนอกเคาน์เตอร์และสามารถเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนกว่า

หากมองเช่นนี้ ความคาดเดาของหลินเจี๋ยถือว่าถูกเผงไปหลายส่วน

ใบหน้าของโดริสเผยความเย้ยหยันออกมาเล็กน้อยยามที่มองออกไปข้างนอก ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาช้า ๆ “ช่างอวดดีนักที่บังอาจมาลงมือกับที่นี่”

แน่นอน คนที่มาที่นี่ย่อมหมายหัวหลินเจี๋ยไว้

หลินเจี๋ยนั้นเก่งในเรื่องการอ่านภาษากายมาแต่ไหนแต่ไร

แม้สาวเอลฟ์ตรงหน้าจะโมโห แต่ความสุขุมยังไม่สั่นคลอนแถมยังคงมารยาทเอาไว้ได้เฉกเช่นตอนที่คุยกับเขาด้วย

หลินเจี๋ยจึงจินตนาการออกว่า พวกหยาบคายที่มาเปิดไฟสูงใส่หน้าบ้านคนอื่นคงไม่เป็นปัญหาสำหรับสาวคนนี้เท่าไรนัก

มิหนำซ้ำ เธอยังเป็นเพื่อนของจี้จือซู่และมาจาก ‘ตระกูล’ อีก คนรวยนั้นมีดีกว่าคนธรรมดาอยู่เสมอและคนแบบนั้นย่อมมีอิทธิพล

นี่ไม่ใช่การหลงตัวเองแต่อย่างใด

ทว่า คนตรงหน้าหลินเจี๋ยยังถือว่าเป็นสาวน้อยบอบบาง เขาจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ “แน่ใจนะครับว่าจะไม่เป็นปัญหา ถ้ายังไงให้ผมจัดการเองดีกว่าไหม”

สาลิกาลิ้นทองอย่างหลินเจี๋ย การถ่วงเวลาย่อมไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับเขา

หลังจากนี้ เขาค่อยติดต่อลูกค้าเก่าให้มาช่วยพูดคุยเรื่องนี้ก็ยังได้

นอกเหนือจากนั้น หลินเจี๋ยเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า ต้องเป็นเหตุการณ์แบบไหน เจ้าดำถึงจะแสดงตัวออกมา

ในเมื่อเจ้ามือที่มองไม่เห็นนี่สามารถพาหลินเจี๋ยมายังต่างโลกได้ มันย่อมมีพลังยากหยั่งถึงแน่ แต่มันก็ชอบทำตัวลึกลับเข้าถึงยาก แถมหลินเจี๋ยไม่มีทางติดต่อมันได้เลยต่อให้เขาจะอยากทำก็เถอะ

สีหน้าของโดริสยิ่งตั้งมั่นกว่าเดิมเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอจับจีบชายกระโปรงของตนเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มสง่างามและสงบเสงี่ยม “มันเป็นเพียงพวกดื้อด้าน และมีเพียงหัวหน้าพวกมันที่ค่อนข้างยุ่งยากเจ้าค่ะ แม้ว่าข้าอาจต้องเปิดเผยตัวตนเพราะสิ่งนี้ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเนื่องจากท่านได้ตอบตกลงเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

“โปรดอย่าเป็นห่วงไป ต่อให้เป็นวันนี้หรือภายภาคหน้า คนเหล่านั้นจะไม่มีโอกาสได้เข้ามาทำร้ายท่านแน่ ข้าจะทำให้ท่านยอมรับข้าเองเจ้าค่ะ”

“ซ้ำแล้วยังถือเป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาของท่าน”

ได้ยินโดริสเอ่ยดังนั้น หลินเจี๋ยจึงรู้สึกว่าหากปฏิเสธออกไป คงไม่ต่างกับการดูแคลนตระกูลตกอับที่ถึงขั้นต้องการความช่วยเหลือเพื่อกอบกู้ความสำคัญของตนกลับคืนมา

เห็นได้ชัดว่าเป็นตระกูลที่ยังคงถือความภาคภูมิและอิทธิพลไว้อยู่ แม้จะอยู่ในสภาพถอยหลังลงคลอง

‘เฮ้อ…จะให้สาวน้อยคนนี้คิดว่าฉันกำลังดูถูกเธอก็ไม่ได้ซะด้วยสิ’

หลังจากขบคิดอีกเล็กน้อย หลินเจี๋ยก็ตอบ “ถ้าอย่างนั้น รักษาตัวด้วยนะครับ”

“รับทราบเจ้าค่ะ ได้โปรดรอสักครู่เท่านั้น” โดริสตอบรับด้วยรอยยิ้มเบิกบาน แล้วจึงเดินออกจากเคาน์เตอร์พร้อมมุ่งหน้าไปยังประตู นัยน์ตาของเธอเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว

เธอรู้ดีว่านี่เป็นบททดสอบและข้อกำหนดเบื้องต้น

ก่อนหน้านี้เจ้าของร้านหนังสือได้บอกเอาไว้ว่า ‘ไม่ใช่ปัญหาอะไร’ นั่นแสดงว่าในฐานะผู้ได้รับคำอำนวยพร เขาจะสามารถถามคำชี้แนะจากท่านหญิงซิลเวอร์และฟื้นคืนความรุ่งเรืองมาสู่ดอกไอริสอีกครั้ง

อีกทั้งเขายังกล่าวว่า ‘ดูเหมือนจะมีลูกค้าใหม่อีกแล้ว’ เสียด้วย แต่คนข้างนอกนั่นดูอย่างไรก็ศัตรูชัด ๆ

ดังนั้นหากมองจากรูปการณ์ปัจจุบัน ย่อมชัดเจนแล้วว่าคำขอของเจ้าของร้านหนังสือคือให้เธอช่วยกำจัดคนเหล่านั้นเพื่อแสดงเจตจำนงในการกอบกู้เกียรติและศักดิ์ศรีของกลุ่มไอริส

โดริสเข้าใจความต้องการของชายหนุ่มเจ้าของร้านหนังสืออย่างถ่องแท้

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และจ้องตรงไปยังที่มาของแสงสีขาวซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

แสงจ้าชวนแสบตาเหล่านี้ไม่ได้อยู่แค่ด้านนอกร้านหนังสือเท่านั้น แหล่งจริง ๆ ของมันอยู่ไกลออกไปถึงหลายกิโลเมตรด้วยกัน

ทว่าพลังอีเธอร์มากมายจนน่ากลัวได้นำมาซึ่งความร้อนจนมิอาจประเมินได้ ถึงขั้นเป็นอะไรที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

มันไม่ใช่อะไรที่สามารถสัมผัสได้จากร้านหนังสืออันเงียบสงบแห่งนี้ แต่ฝนและแอ่งน้ำขังด้านหน้าได้ระเหยออกไปจนหมด หมอกหนาเองก็ถูกสร้างขึ้นมาในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรขณะที่สายฟ้าอสนีบาตยังคงฟาดและลมมรสุมกำลังพัดอย่างบ้าคลั่ง

หยดน้ำซึ่งเกาะตัวอยู่ตามบานหน้าต่างร้านหนังสือกำลังสั่นระรัวตามแผ่นดินที่กำลังสั่นไหวเบา ๆ

มนตราระดับภัยพิบัติ ‘คาถาไฟ – แสงแห่งความตาย’ นั่นถือว่าเยี่ยมยอด

หากถูกปล่อยออกมา ทั่วทั้งพื้นที่จะถูกกำจัดจนมลายสิ้น สมกับเป็นนักเวทมนตร์ดำที่มีแต่พวกบ้ากับอันธพาลจริง ๆ

ขนาดโดริสยังมองว่าสถานการณ์นี้ไม่ค่อยจะเป็นใจเท่าไรเลย

ทว่าเจ้าของร้านหนังสือกลับทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนแบบนี้ ยิ่งทำให้หญิงสาวตระหนักได้ถึงช่องว่างระหว่างฝีมือ เขาแข็งแกร่งกว่าที่เธอคิดไว้หลายขุม…

เธอต้องผ่านบททดสอบนี้ไปให้ได้!

นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบเขียวหยกของโดริสประกายสีทองขึ้นมา แล้วประกายแสงนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นรูปดอกไอริส

หญิงสาวเอื้อมมือไปยังลูกบิด ก่อนจะออกแรงดันประตูบานนั้นเบา ๆ