บทที่ 48 ผู้หยั่งรู้

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 48 : ผู้หยั่งรู้

ตอนนี้เหตุการณ์ด้านนอกช่างแตกต่างจากที่หลินเจี๋ยจินตนาการไปมากโข

แต่หากคิดอีกมุม ในความเป็นความจริงก็ยังมีจุดร่วมอยู่บ้าง

ห่างจากร้านหนังสือไปไกลหลายกิโลเมตร แสงสีขาวต้องสาปกำลังลอยอยู่กลางอากาศ ตรงกลางแสงนั้นมีลูกบอลแสงสีขาวรูปทรงบิดเบี้ยวกำลังหมุนวนเป็นพลังงานน่าหวาดผวา

สายฟ้าแลบกะพริบผ่านมวลเมฆสีดำขณะที่ไอน้ำก็เพิ่มสูงขึ้นก่อเกิดเป็นสุญญากาศ ตึกรามบ้านช่องโดยรอบถูกพลัง อีเธอร์ปรับความสูงเรียบร้อย วงแหวนจากเศษซากก่อตัวเป็น ‘กำแพงเตี้ย’ ล้อมรอบลูกบอลซึ่งกำลังขยายตัวไม่หยุดหย่อน

หญิงสาวในชุดแม่ชีลอยอยู่กลางอากาศ สองมือกอบกุมกันไว้ที่อกราวกับภาวนา สีหน้าของเธอดูเย็นยะเยือกและมีเพียงริมฝีปากเท่านั้นที่ขยับพึมพำเพื่อร่ายเวทคำสาป

เช่นเดียวกันกับโลงศพบรรทมนิรันดร์กาลที่กำลังถูกตรึงไว้บนอากาศ และอัญมณีที่ฝังอยู่ก็ได้ประกายแสงสีเลือดออกมา

คอนเซปต์แรกเริ่มของโลงศพบรรทมนิรันดร์กาลคือ ‘การฟื้นคืนชีพ’ แต่ในขณะเดียวกัน ก่อนที่จะ ‘ฟื้นคืนชีพ’ ได้ จะต้องมีประสบการณ์ของ ‘ความตาย’ และ ‘ความทรมาน’ เสียก่อน ดังนั้นสื่อมนตรานี้จึงสามารถกลายเป็นสื่อหลักในการร่ายมนตร์แบบนี้ได้

คำร่ายของมอร์เฟย์ค่อย ๆ เบาลงพร้อมกับข่ายมนตร์ที่เสถียร แล้วเธอก็เปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มพึงพอใจ

เมื่อนักเวทมนตร์ดำแห่ง ‘ลิทธิสีชาด’ ที่รอดูท่าทีของหญิงสาวอยู่ด้านข้างเห็นว่าเธอหยุดร่ายแล้ว

หนึ่งในนั้นก็รีบสาวเท้าเข้ามา “มาดามมอร์เฟย์ครับ คนของหอพิธีกรรมต้องห้ามทราบเรื่องแล้วและกำลังรุดเข้ามา พวกเราถ่วงเวลาพวกเขาไว้อยู่ แต่อาจหยุดพวกเขาได้แค่สิบนาทีเพราะขาดกำลังคนครับ”

มอร์เฟย์ยิ้มเย้ยพลางเหลือบมองข่ายมนตร์ที่ร่ายจนสมบูรณ์ เธอโบกมือปัด ๆ พร้อมพูดขึ้นมา “ฉันร่ายแสงแห่งความตายเสร็จแล้ว ไม่จำเป็นต้องถ่วงเวลาอะไรต่อหรอก เตรียมตัวถ่ายโอนข่ายมนตร์ดีกว่า”

หญิงสาวชำนาญเวทแสงแห่งความตายนี้มาก แม้แต่ไวลด์ในยุครุ่งเรืองยังต้องเจ็บหนักหากเขาโดนแสงนี่เข้าไปจัง ๆ สักครั้ง

ดังนั้นย่อมไม่มีใครหนีไปได้โดยไร้บาดแผลหากไม่ใช่ระดับเหนือนภา ทว่าเท่าที่รู้มา ไม่มีคนระดับนั้นอยู่ในนอร์ซินเลยสักคน

สิ่งที่มอร์เฟย์ต้องการคือการแจ้งสาส์นเตือนที่ชัดเจนแก่ไวลด์หยุดขวางทางกันสักที

ต่อให้แสงแห่งความตายนี้จะกินพลังอีเธอร์ที่เธอใช้ได้ไปประมาณ 80% แต่เธอก็เชื่อว่าผลลัพธ์ของมันย่อมคุ้มค่า

สาส์นเตือนปกติไม่จำเป็นต้องทำกันอลังการถึงขั้นนี้หรอก

แต่เหตุการณ์ในสำนักงานใหญ่ที่มอร์เฟย์พลั้งเผลอจนไวลด์ย้อนกลับเวทของเธอต่อหน้าลูกน้อง ทำให้หญิงสาวเดือดพล่านและอยากจะสั่งสอนเจ้าคนอวดดีด้วยบทเรียนที่เขาจะไม่มีวันลืม

ความรู้สึกของคนนอกที่มีต่อนักเวทมนตร์ดำนั้นถูกต้องแล้ว

นักเวทมนตร์ดำล้วนแต่เป็นคนโง่เง่า เหมือนระเบิดเวลาที่มีความชอบธรรมอยู่เพียงกระจ้อยร่อย

และยังดีที่เธอยังจำได้ว่าต้องถอยออกไปหลังเตรียมข่ายมนตร์เสร็จสิ้น

นักเวทมนตร์ดำข้างกายเธอพยักหน้า “รับทราบครับ”

แล้วจึงหันไปมองเหล่านักเวทมนตร์ดำคนอื่นที่ต่างร่วมมือกันเปิดใช้งานวงเวทเคลื่อนย้าย

ประตูเทเลพอร์ตสีฟ้าค่อย ๆ เปิดขึ้นเหนือเวหา

ขณะเดียวกัน เหล่านักเวทมนตร์ดำทั้งหลายต่างได้เห็นแก่นสีขาวอันบิดเบี้ยวของ ‘แสงแห่งความตาย’ ถึงขีดจำกัดและกลายเป็นจุดสีดำอนธการ

ก่อนที่พลังอีเธอร์เข้มข้นจนถึงที่สุดจะถูกยิงออกไป และกลายเป็นลำแสงสีขาวราวกับเป็นคมมีดพุ่งทะลุเมฆทะมึน

ครืนนนน!

ไม่ต่างกับมีดตัดเนยร้อน ลำแสงนั้นแทงทะลุหมอกสีดำพุ่งผ่านชั้นบรรยากาศ สร้างวังวนบนท้องฟ้าขึ้นมา

เพียงแค่มอง เหล่านักเวทมนตร์ดำของลัทธิสีชาดก็ต่างตกใจ ปลาบปลื้ม และหวาดกลัวผสมปนเปไปในคราวเดียวกัน

‘นี่สินะพลังที่แท้จริงของนักเวทมนตร์ดำระดับสูง’

‘สมแล้วที่อยู่ในระดับภัยพิบัติ!’

‘มาดามมอร์เฟย์จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!’

ลูกน้องทั้งหลายต่างรู้สึกโชคดีที่ได้เห็นนักเวทมนตร์ดำระดับภัยพิบัติลงมือ

นักเวทมนตร์ดำเข้ามาในวงเวทเคลื่อนย้ายกันเกือบทุกคนแล้ว และดวงตาของพวกเขาต่างจ้องไปที่เป้าหมายด้วยความตื่นเต้น

ณ ร้านหนังสือ

พริบตาเดียว ‘แสงแห่งความตาย’ ก็อยู่ห่างจากร้านหนังสือแค่หลายร้อยเมตรเท่านั้น

พลังงานอีเธอร์อันน่าหวาดผวากำลังพุ่งทะยานลงมาหน้าประตูร้านแล้ว

อีกไม่กี่อึดใจพวกเขาจะได้เห็นสถานที่แห่งนี้ถูกลบทิ้งเป็นขวัญตา

กริ๊ง

เสียงกระดิ่งห้อยประตูดังขึ้นเมื่อประตูร้านหนังสือถูกเปิดออก

‘หืม? จะสู้กลับแล้วหรือ?’

ความสนใจของเหล่านักเวทมนตร์ดำรวมถึงมอร์เฟย์ถูกเบนไปที่อื่น

เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ แค่บาเรียป้องกันยังไม่มีนี่ไม่เท่าไร แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดเลยจนพวกเขานึกว่าเจ้าของร้านหนังสือจะยอมแพ้ไปแล้วเสียอีก

ประตูถูกเปิดออกและปิดลงอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าคนข้างในจะถูกรบกวนอย่างไรอย่างนั้น

คนที่ออกมาไม่ใช่เจ้าของร้านหนังสือตามที่แหล่งข่าวสืบมา แต่กลับเป็นเอลฟ์ตนหนึ่งในชุดขาวอันหรูหรา

งดงาม สวยสง่า หูแหลม และเรือนร่างอันสมบูรณ์แบบ

ทุกอย่างตรงกับจินตนาการที่ผู้คนมีต่อเอลฟ์เป๊ะ

‘เอลฟ์?’

มอร์เฟย์นิ่งไป สายตาของเธอหรี่ลงพลางพยายามขบคิด

‘ทำไมเป็นเอลฟ์ล่ะ! ทำไมถึงเป็นเอลฟ์ได้ล่ะ!’

โดริสยื่นมือไปข้างหน้าและทำท่าเหมือนจับอะไรสักอย่าง พร้อมกับที่คทากิ่งไม้ผุดขึ้นมาจากมือของเธอ หัวคทาไม้นั้นคือดอกไอริสสีขาวหิมะ

‘ดอกไอริส?’

มอร์เฟย์นึกถึงดอกไอริสที่เบ่งบานบนก้อนเนื้อก่อนจะเหี่ยวเฉาซึ่งพรากชีวิตของอูริและโยฮันไป

ในตอนนั้นเองที่หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความครั่นคร้าม

เอลฟ์ตนนั้นก้าวออกมาเผชิญหน้าเข้ากับลำแสงนั้น

ตุบ!

โดริสปักคทาไม้ลงไปกับพื้นโคลน รอยแตกแยกพลันบังเกิดขึ้นรอบคทานั้น “เขตแดนไพรสัณฑ์ปกปัก!” หญิงสาวพึมพำ

ครืนนนน!

รากไม้จำนวนมากผุดงอกขึ้นมาจากพื้น กิ่งก้านสาขาขนาดยักษ์อันมั่นคงต่างยื่นแผ่ขยายออกไปสู่ทิศทางของแสงแห่งความตายและปะทะเข้ากับมัน

เสียงแตกหักลอยมาขณะที่ร่มไม้ต่างถูกลำแสงอีเธอร์ทำลายไปทีละเล็กทีละน้อย

ทว่าต้นไม้เหล่านั้นยังคงเติบโตต่อ สร้างเขตแดนยักษ์ครึ่งวงกลมที่พร้อมจะดูดกลืนลำแสงนั้นในเวลาเดียวกัน

สองพลังนี้ต่างหักล้างกันเอง!

‘ผู้หยั่งรู้’ โดริสคือนักปราชญ์ระดับภัยพิบัติของกลุ่มไอริส

ผลกระทบฉับพลันสร้างแรงระเบิดรุนแรง ทุกอย่างในจุดศูนย์กลางหายวับไปในพริบตา ตึกรามบ้านช่องต่างล้มลงเป็นโดมิโน่ หลุมขนาดมหึมาบังเกิดขึ้นบนพื้นอันเป็นผลมาจากการที่พลังอีเธอร์ขนาดใหญ่ถูกกลืนกินอย่างรวดเร็ว

ใบหน้าของโดริสซีดเซียว ทว่ามือของเธอกระชับคทาประจำกลุ่มแน่นขึ้นไปอีก

หญิงสาวดึงคทาขึ้นมาทีละนิด หากแต่เขตแดนพงไพรกลับสร้างตัวไวขึ้นกว่าเดิม ข่ายมนตร์ของแสงแห่งความตายถูกกัดกินและค่อย ๆ เลือนหายไปราวกับภาพสีน้ำมันที่ถูกเช็ดจนสะอาด สุดท้ายมันก็ไม่สามารถหนุนเวทนั้นได้ ลำแสงเลยอ่อนแอลงอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด

โดริสจึงดึงคทาออกมาจากพื้นและใช้สองมือถือมันไว้ จากนั้นคทาไม้นั้นก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นธนู

นัยน์ตาของหญิงสาวแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม เธอดึงสายธนูเฉกเช่นนักล่าชั้นยอด รวบรวมอีเธอร์เป็นลูกธนูแล้วยิงออกไป

มันพุ่งไปไกลหลายกิโลเมตรจนถึงบริเวณที่มอร์เฟย์และคนอื่น ๆ อยู่ในทันที

ฟ้าว!

“แย่แล้ว ออกมาเร็ว!”

“เป้าหมายมันคือวงเวทเคลื่อนย้ายนะ!”

นักเวทมนตร์ดำทั้งหลายต่างตะโกนเซ็งแซ่ แต่ลูกศรได้ไปถึงที่เรียบร้อยแล้ว

สีหน้าของมอร์เฟย์ฉายแววสิ้นหวัง

สถานการณ์กลับจากหน้ามือเป็นหลังมือเสียแล้ว!