บทที่ 49 ถูกรบกวนตรงไหนหรือไม่

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 49 : ถูกรบกวนตรงไหนหรือไม่

“เป้าหมายของยัยนั่นอยู่ที่วงเวทเคลื่อนย้าย!”

“รีบออกมาเซ่! เร็วเข้า!”

เหล่านักเวทมนตร์ดำที่ออกจากวงเวทเคลื่อนย้ายได้แค่ครึ่งตัวต่างตะโกนอย่างลุกลี้ลุกลน

โดริสประกาศก้อง “ลูกศรของข้าจะทำลายทุกเส้นทางหลบหนีของศัตรูอย่างพวกเจ้า!”

ลูกศรสีทองเป็นดั่งอุกกาบาตพุ่งลงสู่พื้นดินด้วยความเร็วสูงสุด เช่นเดียวกับตอนที่แสงแห่งความตายได้ตัดพาดผ่านแนวท้องฟ้า ตอนนี้เรียกได้ว่าสถานการณ์พลิกผัน

อีเธอร์สีฟ้าอ่อนก่อให้เกิดประตูเคลื่อนย้ายซึ่งทำหน้าที่ควบคุมและเชื่อมสองจุดหมายปลายทางเข้าด้วยกัน

ประตูเคลื่อนย้ายถูกสร้างขึ้นมาโดยการรวมพลังของเหล่านักเวทมนตร์ดำมากกว่าสิบซึ่งเพียงพอให้เป็นทางหนีทีไล่ได้ ในขณะเดียวกัน ประตูนี้ทั้งเสถียร กว้างขวาง เป็นสัญลักษณ์อันแสนจะภาคภูมิใจของนักเวทมนตร์ดำลัทธิสีชาดเลยก็ว่าได้

ทว่าในยามนี้ ต่อให้ทนทานสักเพียงใดก็ไร้ความหมายเมื่อต้องรับการโจมตีจากระดับภัยพิบัติ

เส้นทางอันกว้างขวางกลายเป็นกับดักสั่งตาย

นักเวทมนตร์ดำส่วนหนึ่งที่ตอบสนองไวพอต่างรีบออกมาจากประตูเคลื่อนย้ายได้สำเร็จ แต่ก็มีบางคนที่ตอบสนองช้าไปหน่อย

เป็นความเชื่องช้าที่ชี้ชะตาความเป็นตาย

ฟิ้วววว ตูม!

ลูกศรกระแทกที่มุมประตูเคลื่อนย้าย ทำให้แสงสีฟ้าซึ่งทำหน้าที่คล้ายแผงควบคุมถูกตัดขาด จากนั้น มิติเวลาในพอร์ทัลก็ไม่เสถียรและเริ่มปิดผนึกลง

คนที่ติดอยู่ข้างในต่างถูกฉีกกระชากราวกับกระดาษถูกส่งเข้าเครื่องทำลายเอกสาร ตับใตไส้พุงถูกรีดเค้นไหลทะลักออกมา

ประตูเคลื่อนย้ายกลายเป็นเครื่องบดเนื้อพลังอีเธอร์ไปเสียแล้ว

สุดท้าย พอร์ทัลก็หายวับไป ตามมาด้วยเศษชิ้นเนื้อร่วงโรยลงมาเป็นห่าฝน

เหล่านักเวทมนตร์ดำที่เหลือต่างจ้องมองด้วยความช็อก เมื่อเห็นเพื่อนพ้องของตนถูกฉีกกระชากอย่างไร้สุ้มเสียง

นี่ก็จะเป็นชะตาของพวกเขาหากไหวตัวช้าไป

สีหน้าของมอร์เฟย์บิดเบี้ยวจนดูไม่ได้

เจ้าหน้าที่ของหอพิธีกรรมต้องห้ามและสมาคมแห่งสัจธรรมที่ถูกถ่วงเวลาไว้กำลังมา

ทว่าการเสียประตูเคลื่อนย้ายหมายความว่าพวกเขาได้สูญเสียเส้นทางหลบหนีไปแล้ว ตอนนี้มอร์เฟย์ติดอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยเอลฟ์ตรงหน้าเธอ

แต่เธอจะเข้าตาจนทันทีหากถูกขัดขวางจนกระทั่งคนจากหอพิธีกรรมต้องห้ามและสมาคมแห่งสัจธรรมมาถึง

“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสิ เธอบังคับฉันเองนะ!” สายตาของ มอร์เฟย์นั้นดำมืดนัก

ที่ด้านหลังหญิงสาว โลงศพบรรทมนิรันดร์กาลได้เปิดออกอย่างช้า ๆ มีออร่าอำมหิตแผ่ออกมาจากข้างในโลงศพนั้น

“มาเป็นสารอาหารให้ฉันซะ”

มอร์เฟย์สั่งเหล่านักเวทมนตร์ดำจากเบื้องบน

นักเวทมนตร์ดำแห่งลัทธิสีชาดต่างนิ่งงันกันไป ก่อนสีหน้าคลุ้มคลั่งจะบังเกิดบนใบหน้าพวกเขา “พวกเราพร้อมรับใช้ท่านครับ มาดามมอร์เฟย์”

การปะทะกันระหว่างเขตแดนไพรสัณฑ์ปกปักและแสงแห่งความตายกำลังเข้าสู่บทสรุป

เศษซากต้นไม้เหี่ยวเฉาจนกลายเป็นผงต่างร่วงโรยลงมาเช่นเดียวกับลำแสงสีขาวพิสุทธิ์ที่กำลังอ่อนกำลังลงเรื่อย ๆ โดยมีอีเธอร์หลงเหลืออยู่ไม่มากแล้วในข่ายมนตร์นี้ และตัวมนตร์เองก็ไร้ซึ่งการเสริมพลังอีกต่อไป

หมอกหนารวมถึงหยาดน้ำค้างในอากาศกลับกลายเป็นเม็ดฝนและเริ่มตกลงสู่พื้นดินอีกครั้ง

“เคี้ยก”

เสียงคำรามสุดประหลาดมาพร้อมกับเงาขนาดใหญ่ที่ผุดขึ้นมาจากโลงศพ เงายักษ์บินทะยานขึ้นไปบนอากาศพร้อมกระพือปีกยาวหกสิบเมตร

นกปีศาจนี้มีลำตัวสูงกว่ายี่สิบเมตรพร้อมกับเกล็ดปกคลุมทั่วร่างกายที่เหม็นเน่าไปแล้วครึ่งตัว หัวเป็นกระโหลกพร้อมฟันแหลมคมยื่นออกมาเต็มไปหมด มันชูคอขึ้นฟ้าก่อนจะส่งเสียงกู่ร้องก้องไปทั่วสวรรค์

กลิ่นอายแห่งความตายแผ่ออกมาจากร่างกายในขณะที่เศษเนื้อเหม็นเน่าก็ร่วงหล่นลงมาทุกครั้งที่มันขยับตัว ของเหลวเหม็นหืนหยดลงมาจากร่างของมันและกัดกร่อนทุกที่ที่ของเหลวนั้นกระทบถึง

นี่คือสัตว์มายาระดับภัยพิบัติที่ตายไปแล้ว แต่ได้รับโอกาสในการมีชีวิตอีกครั้งด้วยโลงศพบรรทมนิรันดร์กาล…นักเดินทาง

เลี้ยงดูสัตว์มายา… นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของมอร์เฟย์ในการใช้โลงศพนี้

หญิงสาวไม่ได้ทำลายล้างสัตว์มายาจนสิ้นซากหลังจากสังหารมันแต่อย่างใด มอร์เฟย์จัดการเก็บมันไว้ในโลงศพบรรทมนิรันดร์กาลเพื่อรอฟื้นคืนชีพมันและสร้างสัตว์มายาที่ตัวเธอเป็นเจ้าของ

นี่ถือเป็นข้อห้ามตามกฎหมายของสมาคมแห่งสัจธรรมเช่นเดียวกับฉันทามติต่อสิ่งมีชีวิตลี้ลับ

“เคี้ยก…”

นักเดินทางคำรามด้วยเสียงน่าขนลุก กระพือปีกโผบินสู่ฟากฟ้า

ฟ้าวววว

ดั่งสายลมแห่งโรคระบาดพัดโชยมาจากปรโลก สัตว์ประหลาดตัวยักษ์ซึ่งมีความยาวประมาณเจ็ดสิบเมตรกำลังพุ่งไปข้างหน้าด้วยความน่าสะพรึง

บนยอดตัวนักเดินทาง มอร์เฟย์อ้าแขนกว้างมองผลงานชิ้นเอกของตนด้วยความหลงใหลเกินต้าน

‘เป็นยังไงล่ะ? เจ้าตัวหรูหราจากแดนนิมิตตัวนี้เป็นสิ่งมีชีวิตสุดแสนจะยอดเยี่ยมไปเลยล่ะสิ!’

หลังจากฆ่าเจ้าเอลฟ์นั่นแล้ว นักเดินทางจะพามอร์เฟย์ขี่หลังและมุ่งตรงสู่แดนนิมิตเพื่อไปยังที่หมายของเธอ

ทว่าช่างน่าเสียดายที่มันไม่ใช่การฟื้นคืนชีพอย่างสมบูรณ์ และต้องใช้เวลาอีกสองสามเดือนกว่าเจ้านักเดินทางจะกลับมาอยู่ในสภาพแข็งแกร่งเหมือนก่อนหน้านี้

มอร์เฟย์หันไปมองเบื้องล่างและจะพบว่าเอลฟ์ตนนั้นกำลังยิ้มอ่อนโยนก่อนจะชูคทาขึ้นฟ้า

“ข้าขออัญเชิญ ไนต์กอนต์! (Nightgaunt)”

เขตแดนนิมิตถูกเปิดออกตรงหน้าเธอ

เนื่องจากเป็นตระกูลที่ได้รับคำอำนวยพรจากแม่มดบรรพกาล ท่านหญิงซิลเวอร์ ทุกคนในกลุ่มไอริสจึงมีความสามารถในการตามหาและเปิดแดนนิมิตได้

ขอบเขตของความจริงและแดนนิมิตนั้นถูกสร้างโดยแม่มดบรรพกาลเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรที่กลุ่มไอริสจะมีพลังเช่นนี้ แค่พวกเขาจะไม่ใช้พลังแบบนี้แทบทุกสถานการณ์เพราะความน่ากลัวของแดนนิมิตก็เท่านั้นเอง

ในช่วงความอลหม่านที่เกิดขึ้นระหว่างการทำลายประตูเคลื่อนย้าย โดริสฉวยโอกาสแอบมองอนาคตไปเล็กน้อย

ในฐานะผู้หยั่งรู้ หญิงสาวยมีการมองอนาคตสองรูปแบบ

อย่างแรกคือ ‘การทำนาย’ ซึ่งก็คือการมองเห็นช่วงเวลาสำคัญในอนาคต ปกติสัญญาณที่ได้รับมักมาในรูปแบบ ‘คำทำนาย’ แบบเดียวกับที่โดริสคุยกับจี้จือซู่

อีกรูปแบบคือ ‘การรับรู้’ ซึ่งเป็นการคาดเดาระยะสั้น การทำนายรูปแบบนี้ถือว่ามีความแม่นยำสูง แต่ระยะเวลาครอบคลุมสั้นมากและส่วนใหญ่เหมาะกับการใช้ในการต่อสู้เสียมากกว่า

แน่นอนว่าผู้หยั่งรู้ต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองเหนือคนทั่วไปด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็โดนฆ่าได้อยู่ดีต่อให้ได้รับสัญญาณ ‘การรับรู้’ แล้วก็ตาม

โดริสเห็นชัดเจนแล้วว่านักเดินทางจะถูกเรียกออกมา

กลุ่มไอริสซึ่งได้รับการปกป้องจากแม่มดย่อมมีความรู้สูงกว่านักเวทมนตร์ดำทั่วไป

และโดยปกติแล้ว ก็คงไม่มีใครรู้เรื่องนี้แม้แต่มอร์เฟย์เอง แต่นักเดินทางที่ดูแกร่งกล้าตัวนี้ก็มีศัตรูตัวฉกาจที่มันหวั่นเกรงนักหนาอยู่เหมือนกัน

ไนต์กอนต์

หลินเจี๋ยชงชาและรินให้ตัวเองอีกถ้วยด้วยน้ำที่เพิ่งเดือด

เขาเฝ้ามองใบชาที่ล่องลอยบนผิวน้ำก่อนจะมองออกไปด้านนอกด้วยความกังวลเล็กน้อย

ทว่าหมอกหนาท่ามกลางอากาศมืดมิดแบบนี้ทำให้เขามองเห็นอะไรต่อมิอะไรได้ยากเหลือเกิน

หลินเจี๋ยแอบคิดว่าพวกเขาอยู่ไกลออกไปแล้วหรือเปล่า เนื่องจากทุกเสียงดูจะถูกกลบจนเหลือเพียงเสียงของฝนเท่านั้น

“อย่างน้อยแสงไฟหน้ารถก็ปิดแล้วละนะ แสดงว่าการคุยเป็นไปได้ด้วยดีแหละน่า” หลินเจี๋ยพยักหน้าหงึกหงัก

ความใจกล้าของคุณหนูคนนั้นมาจากพลังของตัวเธอเอง ทั้งที่หญิงสาวคนนั้นเพิ่งออกไปไม่นาน แต่ไฟพวกนั้นก็ดับลงเสียแล้ว

ไม่นานนัก หลินเจี๋ยพลันรู้สึกว่าพื้นสั่นไหวเล็กน้อย

‘แผ่นดินไหว?’

หลินเจี๋ยจ้องมองถ้วยชาในมือด้วยความสงสัย แล้วเลิกคิ้วขึ้นพลางลุกขึ้นยืนเพื่อออกไปตรวจดูสถานการณ์ข้างนอก ตอนนั้นเองที่แรงสั่นสะเทือนได้หยุดลง

กริ๊ง

ประตูร้านหนังสือได้ถูกเปิดออกอีกครั้ง

โดริสเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อนเล็กน้อย

เธอปิดประตูลง เอนตัวพิงเข้ากับกรอบประตูแล้วแอบปลดเขตแดนเก็บเสียงที่กางเอาไว้ก่อนออกไป หลังจากนั้นจึงมองหลินเจี๋ยและชาร้อนบนเคาน์เตอร์ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา

“แม้ข้าจะใช้เวลานานไปสักหน่อย แต่เรื่องราวทั้งหมดถูกแก้ไขเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าถูกรบกวนตรงไหนหรือไม่? เรามาคุยกันต่อเถิดเจ้าค่ะ”