ตอนที่ 76 มีแม่เลี้ยงแบบนี้อย่ามีเลยดีกว่า

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 76 มีแม่เลี้ยงแบบนี้อย่ามีเลยดีกว่า

ตอนที่ 76 มีแม่เลี้ยงแบบนี้อย่ามีเลยดีกว่า

คุณป้าบอกว่า “เหมือนข้างหน้าจะมีบ้านให้เช่า”

“เธออยากได้ห้องครัวที่กว้างขวางไม่ใช่เหรอ?” มาสิ ฉันจะพาเธอไปที่นั่น และแนะนำใหรู้จักกับเจ้าของบ้าน”

หลินเซี่ยและเฉินเจียเหอเดินตามคุณป้าไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูรั้วเหล็กสีแดง หลังจากตะโกนเรียกสองครั้ง คุณป้าวัยเดียวกันก็ค่อย ๆ เดินออกมา

“เธอยังหาคนเช่าบ้านอยู่ไม่ใช่เหรอ? พ่อหนุ่มกับแม่สาวน้อยสองคนนี้มาติดต่อดูบ้านเช่าน่ะ”

คุณป้าผมสั้นอีกคนสวมแจ็กเกตบุนวมหนา หล่อนกวาดตามองทั้งสองคนหัวจรดเท้า แล้วพูดอย่างร่าเริง “ลานบ้านของฉันยังว่างอยู่พอดีเลย ตามฉันมาสิ”

ว่าแล้วคุณป้าก็เดินนำพวกเขาไปยังลานบ้านที่อยู่ข้างกัน

“นั่นไงล่ะ ลานบ้านว่างให้เช่าที่ฉันบอก ลองเข้าไปดูสิ”

ทั้งสองเดินไปสำรวจรอบ ๆ ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้จะเคยมีคนอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อน ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบสะอาดเรียบร้อย หลินเซี่ยถามว่า “ที่นี่เคยมีคนเช่ามาก่อนหรือเปล่าคะ?”

คุณป้าตอบว่า “ใช่ พวกเธอเป็นเด็กสาวสองสามคน แต่ย้ายออกไปเมื่อปีที่แล้ว หลังจากนั้นบ้านก็ว่างมาโดยตลอด ลองเข้าไปดูข้างในก่อนสิ”

สภาพทั้งภายในบ้านและนอกตัวบ้านไม่ถึงขั้นใหม่เอี่ยม แต่มีพื้นที่กว้างขวาง ในบ้านไม่มีเฟอร์นิเจอร์มากมาย มีแค่เตียงและตู้เสื้อผ้าขนาดเล็กกะทัดรัดเรียบง่าย

พ้นจากประตูรั้วแล้วเดินไปตามทาง ถนนด้านหน้าจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงงานยานยนต์พอดี

หลินเซี่ยคิดว่าในเมื่อพวกเธอต้องการทำของว่างขาย ลานบ้านตรงนี้ก็ดูเหมาะสมดี อย่างน้อยก็สามารถใช้ถ่านเป็นเชื้อไฟ และใช้เตาที่ดัดแปลงจากถังน้ำมันสำหรับวางหม้อเหล็กขนาดใหญ่ในการประกอบอาหาร

“คุณคิดค่าเช่าเท่าไหร่คะ?” เธอถาม

คุณป้าตอบกลับ “ปีละห้าร้อยหยวน”

“สำหรับพื้นที่ห่างไกลแบบนี้ ค่าเช่าดูแพงไปหน่อยมั้งคะ”

“แต่แรงงานต่างถิ่นส่วนใหญ่เขาถูกใจราคานี้กันเยอะนะ”

พอได้ยินคำพูดของคุณป้า หลินเซี่ยคิดว่าอีกฝ่ายแค่จงใจสร้างเรื่องสมมุติขึ้นมาเพื่อดึงดูดผู้เช่ามากกว่า แรงงานต่างถิ่นเหล่านั้นจะทำงานได้ค่าแรงปีละเท่าไหร่กันเชียว?

พวกเขาจะยอมจ่ายเงินห้าร้อยหยวนเพื่อเช่าบ้านหลังนี้เหรอ?

หลินเซี่ยพยายามต่อรอง “คุณป้า ลดราคาลงหน่อยเถอะค่ะ พวกเราเพิ่งย้ายมาทำงานที่ไห่เฉิงได้ไม่นาน ยังไม่ทันตั้งตัวเลย”

“แม่หนู หลายปีที่ผ่านมาฉันตั้งราคาค่าเช่าเท่าเดิมมาตลอดไม่เคยปรับลดหรือปรับขึ้นเลย”

“ลดอีกไม่ได้แล้วเหรอคะ”

“ค่าเช่าบ้านแถวนี้ก็ราคาประมาณนี้กันทั้งนั้นแหละแม่หนู ถูกไปเดี๋ยวตลาดก็วุ่นวายกันพอดี”

หลินเซี่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นเราขอเช่าแค่ครึ่งปีก่อนได้ไหม?”

ในเมื่อลดราคาไม่ได้ก็ขอเช่าสักครึ่งปีก่อน หลังจากนั้นถ้ามีรายได้ก็เริ่มเก็บเงินซื้อบ้านได้แล้ว

คุณป้าเห็นด้วย “ได้สิ ทำสัญญาเช่าแค่สามเดือนก็พอ พนักงานสมัครใหม่และลาออกกันถมเถ ต่อให้เธอไม่เช่าต่อ เดี๋ยวก็มีคนมาขอเช่าต่ออยู่ดี”

หลินเซี่ยมองไปที่เฉินเจียเหอซึ่งยังคงนิ่งเงียบ จากนั้นก็ลากเขาออกไปเพื่อถามความคิดเห็น “คุณคิดยังไงคะ?”

“หล่อนเอาเปรียบเราเกินไปหรือเปล่า?” เฉินเจียเหอถาม

หลินเซี่ยบอกว่า “ไม่นะ ก็ยุติธรรมดี ถึงยังไงบ้านหลังนี้ก็สะอาดเป็นระเบียบ พื้นที่ใช้สอยในห้องครัวกว้างขวาง บ้านหลังนี้เหมาะเป็นที่สำหรับทำอาหารขายจริง ๆ”

นอกจากนี้ แค่เดินออกจากตรอกไปไม่กี่ก้าวก็เจอกับโรงงานยานยนต์ของเฉินเจียเหอที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพอดี ถนนด้านนอกการจราจรค่อนข้างพลุกพล่าน เหมาะแก่การตั้งแผงลอย

เมื่อเห็นว่าพวกเขาคุยกันอยู่นานแต่ไม่ยอมตัดสินใจอะไรสักที คุณป้าก็พูดเสียงดังขึ้นมา

“ถ้าจะเช่าก็รีบตัดสินใจเร็ว ๆ ล่ะ อีกไม่กี่วันแรงงานอพยพจากที่อื่นก็จะกลับเข้ามาแล้ว ฉันรับรองไม่ได้หรอกว่าบ้านจะยังว่างตลอดไป”บราวนี่ออนไลน์

“ไม่ต้องกังวลนะคะคุณป้า ถึงยังไงฉันก็จะเช่าอยู่ดี แค่ขอเวลาตัดสินใจอีกนิด”

หลินเซี่ยเดินไปรอบ ๆ ลานบ้านหลังนี้อีกสองรอบ สอดส่องดูสภาพภายในบ้านจนทั่ว โชคดีที่ผู้เช่าคนก่อนหน้าเป็นผู้หญิง ดังนั้นบ้านจึงสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย

ทันใดนั้นเธอก็ตัดสินใจ “ถ้าอย่างนั้นเรามาตกลงกัน พรุ่งนี้ฉันจะมาเจอคุณที่นี่เพื่อทำสัญญาเช่าเป็นเวลาครึ่งปี”

เธอแค่อยากพาหลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนออกมาจากหมู่บ้านในชนบทโดยเร็วที่สุด อยู่ต่อไปสภาพแวดล้อมก็ใช่ว่าจะดี พวกเธอยังต้องการเวลาสำหรับปรับตัวในช่วงเริ่มต้น

“ตกลง พรุ่งนี้อย่าลืมเอาเงินค่าเช่ามาจ่ายด้วย ไม่งั้นฉันจะปล่อยบ้านให้คนอื่นทันที”

หลังออกมาจากถนนโฮ่วฉ่างแล้ว เฉินเจียเหอก็ยืนกรานว่าจะพาหลินเซี่ยไปซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่

“ฉันยังมีเสื้อใส่อยู่นะคะ”

เขามองดูเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีแดงของหลินเซี่ยที่ซื้อมาตั้งแต่อยู่ที่บ้านเกิด สายตาเต็มไปด้วยความเห็นใจ “อากาศเริ่มอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ อีกหน่อยเสื้อคลุมผ้าฝ้ายอาจจะหนาเกินไป”

จากนั้นเขาก็พาเธอไปที่ห้างสรรพสินค้า

ถึงเฉินเจียเหอจะดูเป็นผู้ชายหยาบกระด้าง แต่รสนิยมการเลือกซื้อเสื้อผ้าของเขาก็ค่อนข้างดี เขาเลือกเสื้อคลุมสีขนอูฐแบบมีปกให้เธอ

เขายื่นให้พนักงานขายถอดออกจากไม้แขวนแล้วให้หลินเซี่ยลองสวม

หลังจากถามราคา หลินเซี่ยก็ลังเล “ไม่เอาดีกว่า มันแพงเกินไป”

“ไม่แพง ผมมีเงินจ่าย” เฉินเจียเหอยืนกรานจะให้เธอลองสวมดูให้ได้ หลังจากที่เธอลองชุดแล้ว เขาก็ไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน

ทำเหมือนตัวเองเป็นผู้มีอิทธิพลที่รวยล้นฟ้า

หลังจากซื้อเสื้อคลุมเรียบร้อยแล้ว เขาก็เลือกกางเกงและรองเท้าให้หลินเซี่ย

ตอนที่เลือกเขาแทบไม่สนใจราคา ถ้าไม่รู้คงคิดว่าเป็นคนร่ำรวยคนหนึ่ง

หลังจากซื้อเสื้อผ้า ทั้งสองก็ไปตลาดสดเพื่อหาซื้อวัตถุดิบ กระเป๋าสตางค์ของเฉินเจียเหอมีคูปองข้าวสารและน้ำมันอยู่จำนวนมาก ดูรวยจริง ๆ

นั่นเป็นเพราะปกติเขาไม่ค่อยทำอาหาร ดังนั้นจึงสะสมคูปองไว้มากมาย

พวกเขาซื้อเนื้อสัตว์ วุ้นเส้น เห็ดหูหนู และอื่น ๆ และแล้วทั้งสองก็พากันกลับบ้าน

เฉินเจียเหอไม่ค่อยได้แวะมาที่ร้านขายข้าวสารและน้ำมัน จึงอดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้ เมื่อมาซื้อวัตถุดิบที่ใช้ในชีวิตประจำวันโดยมีสาวสวยอยู่เคียงข้าง

เขาเพิ่งจะตระหนักเอาตอนนี้ว่าตัวเองเริ่มมีชีวิตจิตใจอย่างสมบูรณ์

ก่อนหน้านี้ตัวเขาแทบไม่ต่างอะไรไปจากเครื่องจักรเคลื่อนที่

ทางด้านหลินเซี่ยค่อนข้างเพลิดเพลินกับช่วงเวลาเงียบสงบแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ หรือการทำอาหารร่วมกับคนที่เธอชอบ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเป็นพิเศษ

วันนี้หู่จือตาลุกวาวเมื่อเห็นบะหมี่ผัดของหวังซิ่วฟาง เธอจึงวางแผนว่าจะทำบะหมี่ผัดให้เขาในคืนนี้

หลินเซี่ยสังเกตว่าบรรดาสาว ๆ ทั้งหลายที่หลงรักเฉินเจียเหอ มักจะเริ่มต้นโดยการเข้าหาหู่จือก่อนเสมอ

พวกหล่อนคิดแค่ว่าต้องทำให้หู่จือประทับใจตัวเองก่อนอื่น

แต่พวกหล่อนไม่เข้าใจความคิดที่แท้จริงของเฉินเจียเหอและหู่จือเอาซะเลย

ตราบใดที่เฉินเจียเหอไม่เล่นด้วย การติดสินบนหู่จือก็ไม่มีประโยชน์

หู่จือคนนี้ดื้อรั้นเกินกว่าจะทำให้ยอมจำนนได้ง่าย ๆ

เมื่อพวกเขามาถึงอาคารพักอาศัย ผู้หญิงหลายคนในชุดสีสันสดใสกำลังเต้นรำและร้องเพลงระบำยางเกอ หรือพูดให้ถูกคือพวกเธอกำลังฝึกเต้นรำซะมากกว่า การเคลื่อนไหวที่ไม่สอดคล้องกันของทุกคนดูตลกดี

หนึ่งในนั้นคือหวังซิ่วฟางและพี่สาวจางที่พวกเขาเคยเห็นหน้าค่าตา

หู่จือปีนอยู่บนหน้าต่างชั้นสองพลางมองลงไปด้านล่าง เมื่อเห็นว่าเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยกลับมาแล้ว เขาตะโกนเรียกจากหน้าต่างว่า “พ่อ พวกคุณกลับมาแล้ว รีบมาเปิดประตูให้ผมหน่อย ผมอยากลงไปด้านล่าง”

เฉินเจียเหอเห็นหูจือปีนป่ายอยู่บนหน้าต่างก็ตะโกนดุกลับไป “หู่จือ ลงไปเร็วเข้า มันอันตราย”

“เฉินกง ฉันจะบอกอะไรให้ ต่อให้คุณมีภรรยาก็ไม่ควรปล่อยปละละเลยลูกตัวเอง คิดยังไงถึงขังเด็กเล็กไว้ในห้องแล้วออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกกันสองคน ถ้าเขาพลัดตกจากหน้าต่างจะทำยังไง?”

หวังซิ่วฟางมองดูหนุ่มสาวทั้งสองคนที่ถือถุงช้อปปิ้งใบใหญ่และใบเล็กในมือ พูดต่อไปอย่างเย็นชา “ถ้ามีแม่เลี้ยงแบบนี้อย่ามีเลยดีกว่า”

พี่สาวจางรีบดึงหวังซิ่วฟางออกไป “พูดให้มันน้อย ๆ หน่อย”

เฉินเจียเหอเป็นใคร? เขาเป็นถึงหัวหน้าแผนกประจำโรงงานที่มีความสามารถมาก และยังเป็นแกนนำหลักของฝ่ายช่างเทคนิค ความอัธยาศัยดีของเขา ทำให้หวังซิ่วฟางคลั่งไคล้หนักมาก

หลินเซี่ยและเฉินเจียเหอไม่มีเวลาสนใจหวังซิ่วฟาง พวกเขารีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนแล้วเปิดประตูอย่างรวดเร็ว

เฉินเจียเหอทำหน้าเข้มแล้วดุหูจือ “ใครอนุญาตให้ลูกปีนหน้าต่าง?”

หู่จืออธิบายเสียงอ่อน “ผมอยากออกไปดูป้าจางกับคนอื่น ๆ…”

“อย่าดุเด็กเลยค่ะ” หลินเซี่ยวางถุงต่าง ๆ ในมือลง ดึงหู่จือเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“หู่จือ ฉันขอโทษจริง ๆ ที่พวกเรากลับมาช้า ดูสิ ฉันซื้อผักน่าอร่อยมาตั้งเยอะ เดี๋ยวฉันจะทำบะหมี่ผัดให้เธอกินเป็นมื้อเย็น แล้วก็ซื้อบิสกิตมาฝากเธอด้วย ออกไปเล่นกับพวกเขาเถอะ”

หู่จื่อหยิบบิสกิตจากมือหลินเซี่ย จากนั้นก็วิ่งออกไปอย่างมีความสุข

เขาวิ่งไปที่ลานกว้างล่างอาคารเพื่อดูคุณป้าทั้งหลายเต้นรำ

ทันทีที่เห็นหูจือ หวังซิ่วฟางก็เดินเข้ามาถาม “หู่จือ แม่เลี้ยงของเธอเป็นคนขังเธอไว้ในห้องใช่ไหม?”

หู่จื่อตอบอย่างไร้เดียงสา “พ่อกับน้าเซี่ยเซี่ยบอกว่าจะออกไปซื้อของ แต่ผมอยากนอน พวกเขาก็เลยล็อกประตูให้ผมอยู่แต่ในห้อง”

หวังซิ่วฟางปิดพัดในมือ ฉวยโอกาสใส่ไฟศัตรูหัวใจทันที “พี่สาวจาง ดูสิ ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เรื่องได้ราวเอาซะเลย มาถึงที่นี่ได้ไม่ทันไรก็ขังเด็กไว้ในห้องตามลำพังซะแล้ว ไม่กลัวเด็กจะปีนหน้าต่างแล้วตกลงมาบ้างหรือไง”

“เปล่าฮะ” หู่จืออธิบาย “เมื่อก่อนพ่อก็เคยล็อกประตูขังผมไว้ตั้งบ่อย แต่วันนี้ผมได้ยินเสียงเพลงก็เลยใจร้อนอยากลงมาเอง”

พี่สาวหลิวกลอกตาไปที่หวังซิ่วฟาง พูดด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ “เอาน่า ซิ่วฟาง หยุดพูดพล่ามอะไรไปเรื่อยสักสองสามประโยคเถอะ เธอไม่รู้กิจวัตรของเฉินกงเลยหรือไง อย่าเอาแต่ใส่ร้ายคนอื่นสิ ตอนที่เธอต้องเข้ากะกลางคืน เธอไม่เคยขังเสี่ยวฮวาไว้ในห้องเลยรึไง? ครอบครัวที่มีลูกเล็ก ใครบ้างไม่ทำแบบนี้?”

พี่สาวหลิวต่อว่ามาแบบนั้น หวังซิ่วฟางก็หุบปากฉับ

“เสี่ยวฮวา มาแบ่งบิสกิตไปสิ น้าเซี่ยเซี่ยเป็นคนซื้อมาให้ฉัน” เมื่อเห็นเสี่ยวฮวาจ้องบิสกิตในมือตัวเองอย่างกระตือรือร้น หู่จื่อก็แบ่งปันให้เธอชิ้นหนึ่งอย่างไม่เห็นแก่ตัว

ขณะที่เสี่ยวฮวากำลังจะเอื้อมไปหยิบ หวังซิ่วฟางก็จ้องเขม็งมองด้วยสายตาคมกริบ “เสี่ยวฮวา อย่ากินเชียวนะ”

เสี่ยวฮวาเม้มริมฝีปาก ทำเสียงฮึดฮัด แล้ววิ่งกลับบ้านตัวเองไป

“มาเถอะ ซ้อมต่อกันดีกว่า เรายังจำสองท่าแรกกันไม่ได้เลย ทุกคนช่วยตั้งใจฝึกซ้อมกันหน่อย ไม่งั้นวันนี้ได้กลับไปทำกับข้าวช้ากันหมด” พี่สาวจางปรบมือ หยิบพัดในมือขึ้นมาสะบัดกาง ก่อนจะซ้อมระบำยางเกอต่อไปอย่างเชื่องช้าพร้อมกับเสียงเพลง

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ค่าเช่าบ้านแพงอยู่เหมือนกันนะ แต่ทำเลดีก็น่าจะคุ้มอยู่แหละ

พี่เหอไม่มองใครง่ายๆ หรอก อย่าพยายามต่อเลยค่ะคุณแม่

ไหหม่า(海馬)