จากความคิดของโหวฮูหยินแล้ว ต้องหาหมัวมัวที่เกษียณจากวังหลวงผู้หนึ่งมาอบรมสั่งสอนกฎระเบียบให้ฉังหนิง ส่วนเรื่องงานเย็บปักนั้น มีพานหมัวมัวจับตาดูไว้ก็พอแล้ว
ไม่ว่าอย่างไร ฉังหนิงก็คงไม่ตกต่ำถึงขั้นที่ต้องลงมือทำรองเท้าถุงเท้าสำหรับสวมใส่ด้วยตัวเอง
ที่บอกว่าให้เรียนทำงานเย็บปัก ก็เป็นแค่การหาเหตุผลมากักขังนางเท่านั้น
พานหมัวมัวลอบโอดครวญ ทว่าไม่อาจปฏิเสธได้
แน่นอนว่าฉังหนิงไม่เห็นด้วย
อาละวาดจนแผ่นฟ้าถล่มผืนดินทะลายอยู่ในห้อง
โหวฮูหยินเหน็ดเหนื่อยไปทั้งร่าง กล่าวว่า เช่นนั้นพวกเรามาเดิมพันกันดีหรือไม่
ฉังหนิงตะลึงงัน
เป็นครั้งแรกที่มารดาพูดกับนางเช่นนี้
โหวฮูหยินไม่มองนาง กล่าวว่า เจ้าฟังคำของข้า อยู่แต่ในเรือนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยหนึ่งเดือน หากระหว่างนั้นซือจูมาหาเจ้าด้วยตัวเองก่อน ก่อนเจ้าออกเรือน ข้าจะไม่กักขังเจ้าอีก หากเป็นตรงกันข้าม นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเจ้าต้องอยู่แต่ในบ้านกับข้าอย่างเรียบร้อย ข้าให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ต้องทำอย่างนั้น
ฉังหนิงรับปากทันทีโดยไม่ต้องคิด
เมื่อก่อนตอนซือจูอยู่ที่ตระกูลซือ ข้างกายมักจะมีคนอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก หากนางไม่เป็นคนไปหาซือจูก่อน ซือจูก็ไม่มีทางมาหานาง แต่บัดนี้ตระกูลซือย้ายไปอวี๋หลินแล้ว ซือจูโดดเดี่ยวตัวคนเดียว นางไม่เชื่อว่าในหนึ่งเดือนซือจูจะไม่มาหานางเลยสักครั้ง
โหวฮูหยินมองแล้วรู้สึกสิ้นหวังยิ่งนัก
ออกมาจากเรือนปีกของฉังหนิงแล้ว นางอดกล่าวกับพานหมัวมัวไม่ได้ว่า ข้าไม่ใช่แม่ที่ดีจริงๆ เจ้าดูนาง เลี้ยงออกมาจนกลายสภาพเป็นเช่นไรไปแล้ว! หวังซีอยากโจมตีซือจู ยังรู้จักติดสินบนคนของเรือนหยกวสันต์ก่อนล่วงหน้า ตอนสั่งอาหารก็ไม่เอ่ยถึงสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงของซือจู! นางช่างดีเหลือเกิน ทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าไม่ชอบให้นางไปมาหาสู่กับซือจู สร้างเดิมพันเช่นนี้ขึ้นมา นางกลับรับปากทันทีโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว…
…มันสมองของนางนี้เหมือนผู้ใดกัน…
…แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่า ยังไม่เลอะเลือนถึงเพียงนี้!
พานหมัวมัวไหนเลยจะกล้าขานรับคำ พยายามปลอบโยนโหวฮูหยินอย่างคลุมเครือไปสองสามประโยค
ครั้งนี้โหวฮูหยินกลับตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องแยกฉังหนิงกับซือจูออกจากกันให้ได้
ผู้ใดจะยอมเห็นบุตรสาวของตัวเองเป็นฉากหลังใบไม้เขียวให้ผู้อื่น ทั้งยังถูกรังเกียจแต่กลับเพิกเฉยได้
เจ้าจับตาดูอาหนิงเอาไว้สักหน่อย นางสั่งการพานหมัวมัวเสียงเบา อย่าให้คนของซือจูเข้าใกล้นางได้
พานหมัวมัวทำใจดีเข้าสู้ขานรับปาก
ตระกูลหลิวที่แต่เดิมตั้งใจจะนัดดูตัวคุณหนูพานส่งเทียบเชิญมาให้อย่างกะทันหัน เชิญโหวฮูหยินไปจุดธูปที่วัดต้าเจวี๋ย
โหวฮูหยินรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
คุณหนูพานเข้าเมืองหลวงมาเกือบสองเดือนแล้ว หากตระกูลหลิวนั่นยังไม่มีความเคลื่อนไหวอีก นางก็คิดว่าตระกูลหลิวคงต้องการถอนการนัดหมายแล้ว
นางเริ่มทุ่มเทความสนใจให้กับการจัดเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับให้คุณหนูพานสำหรับไปวัดต้าเจวี๋ย
หวังซีกลับกอดแขนของฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้กล่าวออดอ้อนว่า ข้าไม่อยากไปเขตเป่าเสียง ข้าอยากอยู่บ้าน
ตระกูลหันจะจัดงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดให้นายหญิงผู้เฒ่าตระกูลหันที่บ้านหลังใหม่ของตระกูลหันตรงเขตเป่าเสียง
นางกล่าว พี่สาวซือก็ไม่อยากไป เหตุใดนางไม่ไปได้แต่ข้าต้องไปด้วย! ท่านลำเอียงรักแต่พี่สาวซือ
ฮูหยินผู้เฒ่าปวดศีรษะเหลือเกิน
สองวันนี้ซือจูกับหวังซีประหนึ่งน้ำกับไฟที่ไม่อาจเข้ากันได้ ฉังหนิงถูกโหวฮูหยินกักตัวไว้เรียนงานเย็บปัก ส่วนฉังเหยียนเนื่องจากบุตรสาวของตระกูลหันเป็นว่าที่ภรรยาของพี่ชายร่วมอุทรของนาง จึงยุ่งกับการช่วยนายหญิงรองจัดเตรียมของขวัญให้นายหญิงผู้เฒ่าตระกูลหันในวันคล้ายวันเกิด ส่วนฉังเคอก็เป็นคนขี้ขลาด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องห้ามปราม แค่นางเห็นหวังซีกับซือจูประจันหน้ากันก็หลบไปอยู่ห่างๆ แล้ว เด็กสาวสองคนแท้ๆ กลับเหมือนปีศาจร้ายสองตัว ทำเอาเรือนของนางวุ่นวายไปครั้งใหญ่
นางพยายามโน้มน้าว ซือจูไม่ไปเจ้าก็จะไม่ไปด้วยไม่ได้ แม้นตระกูลหันจะไม่ได้สำคัญอะไรมาก แต่ชื่อเสียงของใต้เท้าหันกลับดีเป็นอันดับต้นๆ ครั้งนี้ครอบครัวของพวกเขายังลงทุนลงแรงไปมาก ต้องการอาศัยวันคล้ายวันเกิดของนายหญิงผู้เฒ่าจัดเตรียมที่ยืนที่มั่นคงในหมู่ตระกูลขุนนางของจิงเฉิง คนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวของพวกเขาโดยมากล้วนไปร่วมงานกันหมด ก็ถือเป็นโอกาสอันดีของพวกเจ้าด้วย
มองจากมุมของนางแล้ว หวังซีมีสินเจ้าสาวมากมาย โดยมากไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องความมั่งคั่งของฝ่ายชายมากนัก ควรจะเลือกบุรุษที่หน้าตาดี นิสัยดี แล้วก็มีความสามารถสักหน่อยมาเป็นสามี
หวังซีรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าวางแผนเช่นนี้ นางกล่าว ข้าอยากไปหาปั๋วหมิงเย่ว์
หา! ฮูหยินผู้เฒ่าตกตะลึง
หวังซีกล่าวอย่างเคืองๆ ว่า ถ้ามิใช่เพราะเขา ข้าจะถูกพี่สาวซือถากถางอยู่ตลอดได้อย่างไร เขาจะดูถูกข้าก็ดูถูกข้าไป ข้าเองก็ไม่ให้ค่าเขาเหมือนกัน แต่เขาจะตบหน้าข้าขนาดนี้เพราะดูถูกข้าไม่ได้ จวนชิ่งอวิ๋นโหวมิใช่ตระกูลเล็กตระกูลน้อย สิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าและคุณชายน้อยอันเป็นที่รักที่สุดของจวนพวกเขาพูด จะถูกเผยแพร่ออกมาเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าหากนี่มิใช่เจตนาของจวนชิ่งอวิ๋นโหวก็เป็นเจตนาของปั๋วหมิงเย่ว์…
…ข้าเชื่อว่าข้าไม่เคยสร้างความขุ่นเคืองใจอะไรให้เขามาก่อน แล้วเหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้
จะว่าไปแล้ว ปั๋วหมิงเย่ว์ต้องขอบคุณนางด้วยซ้ำ
หากมิใช่เพราะใช้ตัวนางเป็นแพ เขากับองค์ชายสี่จะสลัดตัวหนีออกไปได้อย่างราบรื่นหรือ
ตอนนี้นางไปหาองค์ชายสี่ไม่ได้ จำต้องไปหาเขาเพื่อให้เขาเป็นคนกลางนำความไปแจ้งองค์ชายสี่สักครั้งหนึ่งแล้ว!
เดิมทีนางตั้งใจว่าจะแอบไปและกลับมาอย่างเงียบๆ บัดนี้ได้โอกาสดี ฮูหยินผู้เฒ่าอยากให้นางไปประจบตระกูลหันให้ได้ นางได้หยิบมาเป็นข้ออ้างไม่ไปร่วมงานพอดี
นางยังกล่าวด้วยว่า เหตุใดพี่สาวซือถึงไม่อยากไป? เป็นเพราะดูแคลนตระกูลหันหรือ เช่นนั้นนางอยากแต่งกับคนเช่นไร คนอย่างเฉินลั่วหรือเจ้าคะ
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางปากไม่มีหูรูดแล้วตกใจเป็นอย่างมาก รีบกล่าว เจ้าอย่าเอาไปพูดเหลวไหลข้างนอกเชียว นายท่านผู้เฒ่าอยากให้นางแต่งเข้าวังหลวง!
คำพูดของฉังเคอได้รับการยืนยันแล้ว
หวังซีลอบกลรอกตามองบนอยู่ในใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าถามหวังซี ไปพบปั๋วหมิงเย่ว์เพื่ออันใด
หวังซีไม่อาจบอกว่านางไปหาเพื่อให้ปั๋วหมิงเย่ว์ชดใช้หนี้ให้ กล่าวยิ้มๆ ว่า ปั๋วหมิงเย่ว์บอกว่าข้าวิ่งไล่เฉินลั่วมิใช่หรือ ข้าคิดว่า ผู้ใดเป็นคนผูกก็ต้องให้ผู้นั้นเป็นคนแก้ บางเรื่อง ยิ่งทำให้กระจ่างแจ้งได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี ข้าต้องไปหาปั๋วหมิงเย่ว์เพื่อพูดคุยเรื่องนี้ดีๆ สักหน่อย…
…ต่อให้การเกี่ยวดองไม่ประสบผลสำเร็จ ก็ไม่สมควรมาว่าข้าเช่นนี้…
…ความจริงแล้วเรื่องนี้ควรจะให้ผู้ใหญ่ช่วยออกหน้าให้ แต่ข้าไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้ว ข้ากับปั๋วหมิ่งเย่ว์ล้วนเป็นเด็ก อยากพูดอะไรก็พูดได้ หากเสียมารยาทก็ไม่มีใครว่าอะไร พูดประโยคเดียวว่าเป็นแค่เรื่องเล่นสนุกของพวกเด็กๆ ก็ผ่านพ้นไปได้แล้ว…
…แล้วก็ไม่มีชื่อเสียงเสียหายแพร่ออกไปด้วย…
…แต่ครั้นผู้ใหญ่ออกหน้าให้จะไม่เหมือนกันแล้ว พูดอะไรออกนอกเรื่องไปหนึ่งประโยค นั่นเท่ากับการซักไซ้ถาม ทำให้คนขุ่นเคืองใจได้
ฮูหยินผู้เฒ่าคิดๆ ดูแล้ว คำพูดนี้ช่างมีเหตุผลยิ่ง ประกอบกับนางไม่อยากมีปัญหาแตกแยกกับจวนชิ่งอวิ๋นโหว จึงมิได้ห้ามหวังซี
***
ปั๋วหมิงเย่ว์สวมชุดผ้าตาดตัวยาวสีขาวพระจันทร์ทั้งตัว เอนตัวนอนอยู่บนเก้าอี้โยกใต้ชายคาฟังคนขับกล่อมบทเพลง
ดอกไห่ถังสีชมพูนอกห้องโถงร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
ได้ยินว่าหวังซีต้องการพบเขา เขาเกือบจะพลั้งมือไปตวัดจานผลไม้ด้านข้างจนพลิกคว่ำไปแล้ว
เจ้าไม่ได้ฟังผิด? เขาถามบ่าวชายคนสนิทของเขาซ้ำอีกครั้ง เป็นคนของตระกูลหวัง? หรือว่าเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลหวัง? หรือก็คือคุณหนูต่างสกุลของจวนหย่งเฉิงโหวผู้นั้น
บ่าวชายขยิบตากล่าว หากเป็นคนของตระกูลหวัง ข้ายังจะมารายงานให้คุณชายทราบไปเพื่ออันใด ก็คงให้คนยืนตากแดดอยู่ตรงนั้นไปแล้ว แน่นอนว่าเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลหวัง หรือก็คือคุณหนูต่างสกุลของจวนหย่งเฉิงโหวที่ท่านพูดถึงผู้นั้น! นางนัดพบท่านที่ร้านขายยาเพื่อมวลชนขอรับ
กล่าวจบ ยังขยับเข้ามาเบื้องหน้าปั๋วหมิงเย่ว์กระซิบกล่าวว่า ข้าสืบความมาแน่ชัดแล้ว ร้านขายยาเพื่อมวลชนนั่น ว่ากันว่าเป็นของท่านหมอแซ่เฝิงผู้นั้น แต่ความจริงแล้วเป็นของตระกูลหวัง
ปั๋วหมิงเย่ว์ได้ยินแล้ว ในใจพลันกระฉับกระเฉงขึ้นมา
เขาเพิ่งปฏิเสธคุณหนูหวังไป คุณหนูหวังก็นัดพบเขาแล้ว คงมิใช่ว่าอยากสารภาพรักเขาหรอกกระมัง
เรื่องเช่นนี้ก็มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
น่าเสียดายที่วันนั้นเขาประหม่ามากเกินไป ได้แต่สนใจสีหน้าของเฉินลั่วและเป่าชิ่งจ่างกงจู่เท่านั้น ไม่ได้มองให้ชัดว่าเด็กผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
แต่เขาจำได้ว่าดวงตาของนางงดงามมาก
แวววาวสุกใส คล้ายตกอยู่ในห้วงดวงดาราก็ไม่ปาน
คนที่มีดวงตางดงามขนาดนี้ อย่างไรหน้าตาก็คงไม่น่าจะขี้ริ้วขี้เหร่เกินไป
เสียดายที่สายตาในการมองคนของท่านย่าของเขาไม่ค่อยได้เรื่องนัก บอกว่าเด็กสาวหน้าตางดงามมาก นั่นต้องเป็นคนที่ขาวๆ อวบๆ มีโหงวเฮ้งดี
ไม่อย่างนั้นเขาคงรู้สึกตั้งตารอคอยมากกว่านี้
ได้! ปั๋วหมิงเย่ว์ลุกขึ้นมา เช่นนั้นก็ลองพบดู
ได้เลยขอรับ! บ่าวชายวิ่งฉิวออกไปดุจควันสายหนึ่ง
เมื่อถึงวันนัดพบ ปั๋วหมิงเย่ว์เปลี่ยนอาภรณ์กว่าหลายรอบถึงได้นั่งเกี้ยวไปที่ร้านขายยาเพื่อมวลชนอย่างสบายๆ ไม่รีบร้อน
หวังสี่พาเขาเดินไปที่ลานบ้านาด้านหลังของร้านขายยาเพื่อมวลชน
ต้นไม้สูงใหญ่ ร่มเงาดุจคันร่ม
ปั๋วหมิงเย่ว์มองซ้ายทีมองขวาทีอย่างสงสัยใคร่รู้ ระยะทางเพียงครึ่งถ้วยชาแต่เขากลับใช้เวลาเดินไปหนึ่งก้านธูป ถึงได้นั่งลงตรงที่รับรองแขกของลานบ้านด้านหลังร้านขายยาเพื่อมวลชน
หวังซีเกล้าผมเป็นทรงก้นหอยคู่อย่างง่ายๆ สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมหังโจวสีแดงเหลือบเงิน ตุ้มหูไข่มุกใต้บนใบหูมีขนาดใหญ่เท่าเม็ดบัว ยืนแย้มยิ้มรอเขาอยู่ตรงหน้าห้องโถง
เด็กผู้นี้หน้าตางดงามมากจริงๆ
ปั๋วหมิงเย่ว์มองดวงตารูปเมล็ดซิ่งที่หัวเราะจนโก่งโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยวของนางแล้ว อดก้มลงมามองชุดเต้าเผาสีเขียวไผ่ตัดใหม่ของตัวเองไม่ได้
หากรู้ว่าร้านขายยาเพื่อมวลชนแห่งนี้เขียวครึ้มไปหมดทุกที่ตั้งแต่แรก เขาก็คงจะสวมอาภรณ์สีแดงมาแล้ว
เขามองหวังซีที่แย้มยิ้มจนดวงตาเมล็ดซิ่งดวงโตโก่งโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว พลางนั่งลงในห้องโถงเคียงคู่กับนางซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึก
สาวใช้เด็กนำน้ำชามาขึ้นโต๊ะแล้วก็ถอยออกไป
ปั๋วหมิงเย่ว์ไม่แตะต้องชาถ้วยนั้น ถามขึ้นว่า เจ้ามาหาข้าอยากพูดเรื่องอะไร
คนที่พูดว่านางวิ่งไล่ตามเฉินลั่วออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยนั้น เจ้ายังคาดหวังให้เขามีมารยาทดีอะไรได้อีก?
ถ้าหากมิใช่เพราะนัดเจอองค์ชายสี่ไม่ได้ หวังซีก็คงไม่มาเจอเขาหรอก
นางกล่าว ไม่รู้ว่าคุณชายปั๋วช่วยนัดองค์ชายสี่ให้ข้าได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องต้องการขอความช่วยเหลือ
อะไรนะ ปั๋วหมิงเย่ว์นั่งตัวตรงขึ้นมาอย่างตกตะลึง ถามอย่างไม่อยากเชื่อเล็กน้อยว่า เจ้าบอกว่าเจ้าต้องการพบองค์ชายสี่
นางมิได้มาพบเขาหรอกหรือ
นางอยากพบองค์ชายสี่ไปทำไม
หรือว่าประโยชน์ของเขาคือทำให้นางได้เจอกับองค์ชายสี่?
ในใจของปั๋วหมิงเย่ว์คล้ายกับมีพายุหิมะกระพือขึ้นมา ดวงหน้าก็เคร่งตามขึ้นมาด้วย
หวังซีดูแคลนปั๋วหมิงเย่ว์อยู่ในใจครู่หนึ่ง
คนอย่างปั๋วหมิงเย่ว์นี้นางเคยเห็นมามาก มักจะคิดว่าตัวเองคืออันดับหนึ่งในใต้หล้า ไม่มีใครน่าเคารพนับถือเท่าเขาแล้ว
คิดว่าหากมีคนเข้าใกล้เขา ต้องเป็นเพราะมีเจตนาไม่เหมาะสมแอบแฝงอยู่เป็นแน่
นับประสาอะไรกับองค์ชายสี่ที่มีสถานะน่ายกย่องนับถือมากกว่าเขา
หวังซีคร้านจะเสียน้ำลายกับเขามาก จึงกล่าวตามตรงว่า ข้าอยากพบอาจารย์เฉาอวิ๋นของวัดต้าเจวี๋ย แต่ได้ยินมาว่านอกจากสมาชิกราชวงศ์แล้ว ผู้อื่นเขาล้วนไม่ตอบรับ จำต้องขอความช่วยเหลือจากองค์ชายสี่!
ปั๋วหมิงเย่ว์ไม่เชื่อ
เขารู้สึกว่าหวังซีกำลังหาข้ออ้างเพราะอยากคุยกับองค์ชายสี่
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ยิ่งเขามองหวังซีก็ยิ่งรู้สึกว่านางหน้าตาไม่เลวเลยจริงๆ
ร่าเริงสดใสทว่าก็เผยความน่ารักและไม่ประสาต่อโลกออกมาให้เห็นหลายส่วน
เป็นสตรีที่ใช้ความงามเป็นทางผ่านได้เลยผู้หนึ่ง
ยิ่งอยู่สีหน้าของเขาก็ยิ่งไม่น่าดู และยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจด้วยเช่นกัน
ก็แค่อยากเจอพระรูปหนึ่งเท่านั้น จำเป็นต้องขอพบองค์ชายสี่ด้วยหรือ ปั๋วหมิงเย่ว์รู้สึกว่าเขาจะต้องเปิดโปงเจตนาของหวังซีให้จงได้ ยิ้มเย็นพลางกล่าว ข้านัดให้เจ้าก็ได้แล้ว ต้องการให้เขามาพบเจ้าหรือว่าเจ้าไปพบเขา? ก็เป็นแค่เรื่องหนึ่งประโยคเท่านั้น
หวังซีกระพริบตาปริบๆ
ตอนอยู่ในสวนป่าปั๋วหมิงเย่ว์ฉลาดมีไหวพริบมากมิใช่หรือ
เขาเป็นคนนำทางเรื่องราวทุกอย่าง
เหตุใดนางเพิ่งจะพูดไปเพียงประโยคเดียว เขาก็กระโดดออกมาช่วยจัดการให้นางเสร็จสรรพแล้ว?
ดูขาดการระมัดระวังไม่เหมือนคนปราดเปรื่องและมีแผนการเลย
เขาเป็นคนฉลาดจริงๆ หรือก็แค่แมวตาบอดที่บังเอิญเจอหนูตายเท่านั้น?
นางตัดสินใจว่าลองดูไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที กล่าวว่า ข้าอยากไปพบเขาที่วัดต้าเจวี๋ย
หากเฉาอวิ๋นเป็นคนที่ท่านหมอเฝิงต้องการตามหาจริงๆ นั่นมิใช่แค่เรื่องต้องทำให้เขาได้รับโทษประหารชีวิตเท่านั้น ยังต้องขจัดชื่อเสียงที่เขารวบรวมขึ้นมาได้เล็กน้อยนั่นให้สะอาดเกลี้ยงเกลาด้วยถึงจะใช้การได้
ถ้าเป็นท่านหมอเฝิงที่จำคนผิด ก็ต้องแก้ไขชื่อเสียงที่ถูกต้องให้ผู้อื่นด้วยถึงจะถูก
ได้! ปั๋วหมิงเย่ว์รีบกล่าว เจ้าต้องการพบเขาเมื่อใด ข้าจะให้คนไปแจ้งวัดต้าเจวี๋ยเอาไว้ ให้เขาอยู่รอเจ้าที่วัด
ส่วนเรื่องที่ว่าหวังซีต้องการไปพบพระรูปนั้นที่วัดต้าเจวี๋ยจริงหรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
สิ่งที่สำคัญคือ นางบอกว่าขอพบองค์ชายสี่ให้ช่วยเรื่องนี้ เขาก็ช่วยทำเรื่องนี้ให้นางแทนองค์ชายสี่ก็แล้วกัน
นางไปก็ไป ไม่ไปก็ต้องไป
อย่าได้คิดจะหนีกลางคัน!
……………………………………………………………….
ตอนต่อไป