ตอนที่ 58 พ่ายแพ้ย่อยยับ

เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล

ส่วนเรื่องที่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะย้อนกลับไปที่จวนเซียงหยางโหวเพื่อกล่าวอวยพรโหวฮูหยินหรือไม่นั้น หย่งเฉิงโหวฮูหยินไม่รู้ แต่นางไม่มีทางไปเป็นอันขาด

นางออกจากเรือนหยกวสันต์ไปด้วยความวางใจ

ด้านนายหญิงรองของจวนเซียงหยางโหวเมื่อได้พบฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหว เห็นฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนมาสวมเสื้อเพ่ยจื่อตัวยาวสีดำลายดอกไม้ตามปกติเรียบร้อยแล้ว ในใจรู้สึกไม่ค่อยดีนัก กระทั่งบอกกล่าววัตถุประสงค์การมาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็มิได้อ้อมค้อม กล่าวกับนางตรงๆ ว่า พวกเราคงไม่ไปแล้ว ต่อไปรอตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเจ้าเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิด ข้าค่อยพาบุตรชายและบุตรสะใภ้ไปกล่าวอวยพรนาง!

นายหญิงรองคิด หากเป็นตน เกรงว่าก็กล่าวเช่นนี้เหมือนกัน

ประกอบกับนางมีความเห็นแก่ตัว รู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวต้องการตบหน้านาง นางไม่จำเป็นต้องถูกตบหน้าซ้ายแล้วยังหันหน้าขวาไปให้อีก

นางคะยั้นคะยอพอเป็นพิธีไปสองสามประโยค ไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้ลังเลใจ ก็ลุกขึ้นกล่าวขอตัวลา

เดิมหวังซีคิดว่า จวนเซียงหยางโหวนั้นแค่มองก็รู้แล้วว่ามาเพื่อเลี่ยงข้อครหา หากเป็นนาง จะใช้โอกาสนี้โวยวายตัดความสัมพันธ์กับจวนเซียงหยางโหวไปเสีย แต่เมื่อนึกถึงนิสัยของฮูหยินผู้เฒ่า ต่อให้นางช่วยเหลือตระกูลฉัง เกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้ก็คงดูไม่ออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องซาบซึ้งใจ อาจจะรู้สึกว่านางไร้เหตุผลไม่รู้จักให้อภัยแทนด้วยซ้ำ

กระทำเรื่องดีแล้วไม่ได้ชื่อเสียงมิใช่นิสัยของนาง

นางจึงเพียงกอดอกมองอยู่ข้างๆ แล้วก็นึกถึงองค์ชายสี่ขึ้นมาอีกครั้ง

องค์ชายในจิงเฉิงยังไม่มีผู้ใดเปิดคฤหาสน์ของตัวเอง ล้วนประทับอยู่ในวังหลวงทั้งสิ้น ปกติไม่อาจออกมาข้างนอกได้

ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้พบองค์ชายสี่อีกครั้ง และไม่รู้ว่าเขาจะยอมรับหนี้ที่ติดค้างนางไว้หรือไม่

ในใจของซือจูกลับคล้ายมีสัตว์ร้ายซ่อนเอาไว้ตัวหนึ่ง กำลังอาละวาดฟาดงวงฟาดงา อยากจะฉีกกระชากหวังซีออกเป็นชิ้นๆ เหลือเกิน ไหนเลยจะมีอารมณ์มาสนใจคนของจวนเซียงหยางโหว พอเห็นนายหญิงรองจากไปแล้ว ก็กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าทันทีว่า ท่านมีอะไรให้ต้องพูดกับนางดีๆ อีก คนเช่นนี้ หากมาอยู่ที่ตระกูลซือของพวกข้า ไม่แม้แต่จะพบหน้าด้วยซ้ำ

ฮูหยินผู้เฒ่าถูกหลานสาวต่อว่าเช่นนี้ รู้สึกอีหลักอีเหลื่อเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หวังซีเห็นแล้วเม้มปากอมยิ้ม กล่าวเสียงอบอุ่นอยู่ข้างๆ ว่า ก็เพราะว่าท่านนั้นจิตใจดีมากเกินไป แล้วก็ใจกว้างกับผู้คน พวกนางถึงกล้าได้คืบจะเอาศอกยามอยู่ต่อหน้าท่าน

ฮูหยินผู้เฒ่ามีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ดวงตาของซือจูพ่นไฟออกมาทั้งสองข้าง แสยะยิ้มเย็นพึมพำด่าอะไรทำนองว่า เสแสร้งแกล้งทำ และ นิสัยของอนุ ไปสองสามประโยค

หวังซีเห็นนางเดือดดาล ในใจเบิกบาน ยิ่งรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ตระโกนเรียกไป๋กั่ว เอ่ยขึ้นว่า เหตุใดยังเตรียมอาหารเที่ยงไม่เสร็จกันอีก นี่มันกี่ยามแล้ว ปกติฮูหยินผู้เฒ่าต้องพักผ่อนแล้ว ช่วงบ่ายของวันนี้พวกเรายังต้องไปย่างเนื้อที่สวนดอกไม้ด้านหลังอีก พวกเจ้าเร่งรีบกันหน่อย

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นหวังซีรู้แม้กระทั่งว่านางพักผ่อนยามบ่ายเวลาใด ก็ยิ่งรู้สึกว่านางอ่อนโยนเอาใจใส่ เชื่อฟังและรู้ความ กล่าวชมนางแล้วก็ชมอีก

ซือจูรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตัวเองประเมินหวังซีต่ำเกินไป

บุรุษบางคนก็ชื่นชอบคนที่ประจบประแจงด้วยท่าทางอ่อนน้อมว่าง่ายเช่นหวังซีนี้ ไม่แน่ว่าด้วยท่าทางไร้ยางอายนี้นางอาจได้แต่งเข้าตระกูลใหญ่ตระกูลโตจริงๆ ก็เป็นได้!

ซือจูรู้ว่าเมื่อครู่ตัวเองใจร้อนเกินไป นางควรจะระงับความโกรธเอาไว้ หลอกล่อฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จก่อนถึงจะถูก

แต่นางก็คิดว่า ไม่ว่าอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าล้วนเข้าข้างตระกูลเดิม นางเป็นคนจากตระกูลเดิมของฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีทางคิดบัญชีกับนาง

ครั้งนี้ก็ถือว่าให้แล้วกันไป คราวหน้ายามอยู่ต่อหน้าคนนอก นางจะไม่ยอมให้หวังซียั่วยุและติดกับดักอีกเป็นอันขาด

ยังมีองค์หญิงฟู่หยางทางด้านนั้นด้วย นางต้องบอกองค์หญิงฟู่หยางเอาไว้ว่าหวังซีผู้นี้เป็นคนเช่นไร

ให้นางได้รู้ว่า ต่อให้ได้แต่งเข้าตระกูลใหญ่มีอำนาจ การไม่ผูกสัมพันธ์กับพวกนาง ก็เหมือนการเดินอยู่บนปลายมีด ต้องสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวไม่อาจมีชีวิตสงบสุขได้แม้แต่เค่อเดียว

ซือจูแสยะยิ้มเย็นหมุนกายหมายจะเดินจากไป

หวังซีกลับเรียกนางเอาไว้ หันไปยิ้มให้นางหวานหยดยิ่งกว่าน้ำผึ้งเสียอีก กล่าวว่า นี่พี่สาวซือกำลังจะไปไหนหรือ ใกล้จะถึงเวลากินข้าวแล้ว เจ้าคงมิใช่เพราะโกรธข้า ก็เลยพาลไม่กินของของข้าด้วยหรอกกระมัง หากทำให้เจ้าหิวขึ้นมา นั่นคงเป็นความผิดของข้าแล้ว!

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็กล่าวด้วยว่า อาจู วันนี้เหน็ดเหนื่อยมาทั้งเช้า อย่างไรก็ต้องกินข้าว!

คนผู้นี้…

ซือจูหันไปด่าหวังซีอยู่ในใจไปหนึ่งคำรบ ขมวดคิ้วมุ่นใส่หวังซี เผยรอยยิ้มเยาะหนึ่งออกมาให้เห็น กล่าวว่า น้องสาวหวังเลี้ยงข้าวทั้งที หาได้ยากยิ่ง หาได้ยากยิ่ง! จะต้องเป็นอาหารเลิศรสจากขุนเขาและทะเลอย่างแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องอยู่รับเกียรติด้วยอยู่แล้ว!

โธ่ เปลี่ยนเป็นคนฉลาดไปเสียแล้ว

เช่นนั้นก็ไม่สนุกแล้วสิ

รอยยิ้มของหวังซีหวานล้ำมากยิ่งขึ้น น้ำเสียงคล้ายแช่อยู่ในน้ำผึ้ง กล่าวอย่างอ่อนหวานว่า เป็นอาหารเลิศรสจากขุนเขาและทะเลนั้นไม่กล้ารับไว้ พูดได้แค่ว่าไม่ทำให้ทุกคนต้องหิวโหยเท่านั้น

คำพูดถ่อมตนประเภทนี้แน่นอนว่าไม่มีใครเอามาใส่ใจ

กระทั่งทางหอสุราส่งอาหารเข้ามาให้แล้ว ซือจูค้นพบว่าอาหารที่หวังซีสั่งมาล้วนเป็นรายการอาหารอย่าง ห่านน้ำแดงเจ[1] เต้าหู้ตงพัวทอด ถั่วงอกผัด ผัดผักสามมิตร[2]…เป็นอาหารจานผักทั้งหมด ประหนึ่งกำลังกินเจกันอยู่ก็ไม่ปาน

นางไม่ชอบกินผัก

อาหารจานเดียวที่นางกินได้คือสามชั้นตุ๋นผักดองตากแห้ง ทว่าก็ใช้เต้าหู้ยี้ที่นางไม่กินเลยมาปรุงรส

หวังซีผู้นี้ คงตั้งใจสร้างความอับอายให้นางกระมัง

ซือจูกระแทกตะเกียบลงบนโต๊ะ เลียนแบบท่าทางของหวังซีกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งว่า น้องสาวสกุลหวัง นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร เที่ยงวันเช่นนี้ เนื้อหมูและของทะเลในจิงเฉิงล้วนขึ้นราคากันหมดหรืออย่างไร

หวังซีหันไปขยิบตาให้นาง ไม่กล่าวอะไร

ฮูหยินผู้เฒ่ากลับกล่าวเสียงอบอุ่นอยู่ข้างๆ ว่า อาจู เจ้าอย่าเคืองโกรธไปเลย กับข้าวพวกนี้เป็นข้าเลือกมาเองหลังจากที่ได้หารือกับอาซีเมื่อครู่ เช้าวันนี้ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อย ตอนบ่ายยังต้องไปย่างเนื้อที่สวนดอกไม้ด้านหลังอีก อากาศช่วงนี้ยิ่งอยู่ก็ยิ่งร้อนขึ้น ข้าจึงตัดสินใจว่า อาหารเที่ยงวันนี้ก็กินอะไรที่รสอ่อนเบาท้องสักหน่อย ส่วนสามชั้นตุ๋นผักดองตากแห้งถ้วยนี้ ข้าตั้งใจสั่งมาให้เจ้าเป็นพิเศษ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าสามชั้นตุ๋นผักดองตากแห้งของพวกเขาจะปรุงรสด้วยเต้าหู้ยี้!

เนื่องจากเป็นของที่สั่งมาจากภัตตาคาร ไม่เหมือนป้ารับใช้ประจำเรือนครัวของที่บ้านทำเอง ที่จดจำได้หมดว่าคนในบ้านต้องหลีกเลี่ยงอะไรบ้าง ไม่ต้องย้ำกำชับอีกครั้ง

จากท่าทางเอาอกเอาใจซือจูของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว อาหารชามนี้ควรจะถูกยกออกไปโดยเร็ว แต่ใครจะรู้ว่าโหวฮูหยินกลับดูชื่นชอบเป็นอย่างมาก กินติดๆ กันหลายคำ

บุตรสะใภ้ของนางคนนี้ก็เป็นคนชะตาอาภัพผู้หนึ่ง ทั้งยังกตัญญูและให้เกียรตินาง นางคงไม่อาจหักหน้านางต่อหน้าคนเป็นจำนวนมากเช่นนี้หรอกกระมัง

ฮูหยินผู้เฒ่านั้นจะซ้ายจะขวาล้วนลำบากใจ

หวังซีนึกถึงก้อนเงินหนึ่งตำลึงที่ตนตกรางวัลให้สาวใช้ที่ยกอาหารมาขึ้นโต๊ะ นึกถึงเนื้อตุ๋นที่เมื่อครู่โหวฮูหยินดูตะลึงงันไปครู่หนึ่งทว่ายังกินต่อไปนั้นแล้ว กลัวว่าตัวเองจะกลั้นไม่อยู่จนหัวเราะเสียงดังออกมา จึงรีบก้มหน้าลงมาดื่มน้ำแกง

น้ำแกงผักฉุนไช่[3]นี้ไม่ว่าจะดื่มกี่ครั้งนางก็ไม่คุ้นชินเสียที มันลื่นๆ คล้ายกับใช้ชามตักน้ำที่เต็มไปด้วยแหนลอยละล่องขึ้นมาจากทะเลสาบ

นางเติบโตมากับการกินอาหารกว่าร้อยร้านมาตั้งแต่เด็ก ถ้าหากแม้แต่นางยังไม่คุ้นชิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซือจูแล้ว

หวังซีอารมณ์ดี คิดว่าดีร้ายตัวเองก็ดื่มน้ำแกงผักฉุนไช่นี้ไปแล้วหนึ่งคำ อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยซือจูไปได้ จึงตักน้ำแกงให้ซือจูด้วยตัวเองหนึ่งถ้วยแล้ววางไว้ตรงหน้านาง ยังกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า พี่สาวซือ เจ้าอารมณ์เย็นลงก่อน ข้าให้พ่อบ้านของพวกข้าเตรียมเนื้อกวางเอาไว้ให้พวกเราแล้ว เนื่องจากอยากได้อย่างกะทันหัน อีกทั้งมิใช่ฤดูกาลของมัน จึงใช้เวลาเล็กน้อยกว่าจะหามาได้ ประเดี๋ยวพี่สาวซือย่างเนื้อให้พวกเรากินดีหรือไม่ ข้าได้ยินว่าคนในค่ายทหารที่ต้าถงและจี้โจวชอบกินเนื้อย่างเป็นอย่างมาก เจ้าต้องชอบแน่ๆ!

นี่หวังซีกำลังกระทบกระเทียบว่าบิดาของนางรับราชการอยู่ที่ต้าถง ครอบครัวของพวกเขาจึงหยาบกระด้างไม่ต่างจากคนเผ่าอี๋ที่ร่อนเร่พเนจรเหล่านั้นอยู่หรือ

สีหน้าซือจูยิ่งไม่น่าดูมากขึ้น กำลังจะโต้ตอบกลับไป โหวฮูหยินก็กระแอมไอเบาๆ อย่างไม่ค่อยพอใจเสียงหนึ่ง กล่าวว่า ทุกคนกินข้าวกันเถอะ! พักผ่อนครู่หนึ่งแล้วก็ไปย่างเนื้อที่สวนดอกไม้ด้านหลังกัน

เวลานี้ต่อให้ซือจูอยากโกรธก็แสดงออกมาไม่ได้แล้ว

นางมีเรื่องให้คิดอยู่ในใจ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ดื่มน้ำแกงผักฉุนไช่ไปหนึ่งคำใหญ่ แต่แล้วก็ถูกรสชาติและรสสัมผัสนั่นทำให้ตะลึงงันไป จะกลืนก็ไม่ใช่ จะคายก็ไม่ใช่…

หวังซีจึงหันไปยิ้มให้โหวฮูหยินอย่างประจบประแจง

โหวฮูหยินรู้สึกขบขันอยู่ในใจ ทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้า หลังจบมื้ออาหารกลางวันกลับไปถึงลานบ้านของตัวเองแล้ว นางอดทอดถอนใจกล่าวกับพานหมัวมัวคนสนิทไม่ได้ว่า เมื่อก่อนข้ารู้สึกว่าแม่นางซือจูผู้นี้เก่งกาจยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าเมื่อนางเจอกับหวังซีแล้ว กลับคล้ายกับเสือกระดาษ[4] แค่ครั้งเดียวก็ถูกสอยจนดอกไม้ร่วงพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะต่อต้าน

พานหมัวมัวถามอย่างไม่เข้าใจว่า แล้วท่านยังจะช่วยคุณหนูสกุลหวังอีก?

โหวฮูหยินยิ้มตอบ นางต้องเจอดีเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นจะเอาแต่คิดว่าภายใต้ผืนฟ้านี้นอกจากองค์หญิงฟู่หยางที่นางเห็นอยู่ในสายตาแล้ว ผู้อื่นล้วนเป็นดินโคลนใต้ฝ่าเท้าของนางทั้งสิ้น!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ ซือจูเป็นคนแรกที่ซูเฟยเหนียงเหนียงเรียกตัวเข้าไป นางเชื่อว่านี่เป็นสาเหตุที่ซือจูกับองค์หญิงฟู่หยางสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก แต่จะว่าไปแล้วฉังหนิงเองก็นับว่าเติบโตขึ้นมาพร้อมกับซือจู ฮูหยินผู้เฒ่าเอาหญิงสาวสองสามคนในบ้านวางไว้หลังซือจูทั้งหมด ไม่เห็นแก่หน้าพระก็เห็นแก่หน้าพรหม ไม่ว่าอย่างไรนางก็ควรจะหาโอกาสให้ฉังหนิงได้ไปโขกศีรษะให้ซูเฟยเหนียงเหนียงสักครั้งหนึ่ง

แต่จวนหย่งเฉิงโหวของพวกเขากลับไม่มีสตรีคนใดได้รับการเรียกตัวเข้าไปเลยสักคน

มิใช่ว่านางนับถือการประจบประแจงซูเฟยเหนียงเหนียง เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาผู้อื่นพูดถึงจวนหย่งเฉิงโหว พูดถึงสตรีตระกูลฉัง จึงมีความดูแคลนอยู่หลายส่วนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และด้วยข้อนี้ นางจึงต้องช่วยหวังซี

เอาละ เรื่องวันนี้ไม่ต้องพูดให้มากความอีกแล้ว โหวฮูหยินกล่าว ให้พานหมัวมัวไปกักตัวฉังหนิงด้วยตัวเอง ยังกล่าวกับสาวใช้และบ่าวหญิงสูงวัยที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายตัวเองด้วยว่า หากผู้ใดในพวกเจ้ากล้าช่วยส่งจดหมายให้คุณหนูรองอย่างลับๆ ก็รีบไสหัวออกไปจากจวนโหวเสีย

กิจกรรมช่วงบ่ายก็ไม่ให้ฉังหนิงเข้าร่วม

ให้พานหมัวมัวบอกคนอื่นๆ ว่าฉังหนิงเหนื่อย หลับไปแล้วเรียกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่น

ทั้งบุตรสะใภ้และบุตรชายของนางล้วนถูกนางเตือนไปรอบหนึ่งแล้วเช่นกัน แม้กระทั่งหย่งเฉิงโหวที่กลับมาจากที่ว่าการในช่วงบ่าย นางก็ยังบอกกล่าวหย่งเฉิงโหวด้วยครั้งหนึ่ง ลูกรองอายุไม่น้อยแล้ว หลังจากลูกใหญ่ออกเรือนไป นางก็ถือเป็นพี่สาวแล้ว หากนางไม่เชื่อฟัง พวกน้องสาวที่อยู่ถัดจากนางก็จะมีเยี่ยงอย่างให้เลียนแบบ แล้วข้าจะยังดูแลสอนสั่งได้อย่างไร ข้าคิดว่าต้องให้นางเรียนทำพวกงานเย็บปักให้ดีสักหน่อย ถึงเวลาหมั้นหมายเรียบร้อยแล้วก็จะได้เริ่มทำรองเท้าถุงเท้าได้เลย

บุตรชายให้บิดาสอนสั่ง บุตรสาวให้มารดาอบรมสั่งสอน หย่งเฉิงโหวไม่เคยสนใจเรื่องของบุตรสาวทั้งสองคน ล้วนแล้วแต่การจัดการของโหวฮูหยินทั้งหมด

ธรรมเนียมของทั้งเหนือและใต้นั้นล้วนต้องไปทำความรู้จักญาติในวันที่สองหลังจากแต่งงาน ตอนทำความรู้จักญาติเจ้าสาวคนใหม่ต้องทำรองเท้าถุงเท้าไปมอบให้ญาติพี่น้องของครอบครัวสามี

นี่เป็นความประทับใจแรกที่เจ้าสาวคนใหม่มอบให้คนในครอบครัวฝั่งสามี

จะเป็นภรรยาจิตใจดีหรือไม่ ก็ดูจากรองเท้าถุงเท้านี้ว่าทำได้ดีหรือไม่

ด้วยเหตุนี้ฝีมือการทำรองเท้าถุงเท้าของสตรีออกเรือนจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

หากเป็นตระกูลเล็กๆ ยังดีหน่อย คนน้อย ทำไม่กี่คู่ก็ได้แล้ว แต่ตระกูลใหญ่ที่มีจำนวนสมาชิกในครอบครัวเฟื่องฟูนั้นเป็นอีกเรื่องแล้ว เจ้าสาวคนใหม่อาจต้องทำรองเท้าถุงเท้ามากกว่าหนึ่งร้อยคู่ด้วยซ้ำไป

ถ้าเป็นการหมั้นหมายมาตั้งแต่เด็กก็ยังดี ค่อยๆ ตระเตรียมกันไป อย่างฉังหนิงที่เข้าพิธีปักปิ่นแล้วแต่ยังไม่ได้หมั้นหมาย และตระกูลเดิมก็มิได้ขาดแคลนเงินทองนี้ ปกติล้วนเชิญคนมาช่วยทำถุงเท้ารองเท้าให้ โดยบอกกล่าวคนภายนอกว่าเจ้าสาวคนใหม่ทำด้วยตัวเอง

ต่อให้จวนหย่งเฉิงโหวไม่ดีอย่างไร ก็ไม่ขาดแคลนเงินเล็กน้อยนี้

แต่หย่งเฉิงโหวไม่รู้นี่นา!

ได้ยินโหวฮูหยินกล่าวเช่นนี้ เขาก็พยักหน้า ยังกล่าวด้วยว่า บุตรสาวอกตัญญูเป็นความผิดของมารดา[5] เรื่องของนาง เจ้าไม่ต้องถามข้าก็ได้

รอให้ถึงตอนที่ทั้งสองครอบครัวต่างดูตัวได้ประมาณหนึ่งแล้ว เขาถึงยื่นมือเข้าไป

สิ่งสำคัญคือดูว่าในราชสำนักนั้นอีกฝ่ายกับพวกเขามีอะไรที่ไม่เหมาะสมกันหรือไม่

ส่วนเรื่องที่ว่าบุตรสาวแต่งกับบุตรชายคนโตหรือบุตรชายคนรอง หน้าตาเป็นอย่างไร หรือนิสัยใจคอเป็นอย่างไรบ้างนั้น เขารู้สึกว่าควรเป็นธุระของโหวฮูหยิน

เป็นสามีภรรยากันมาหลายสิบปี โหวฮูหยินเข้าใจนิสัยของสามีอย่างกระจ่างแจ้งดี นางได้ยินแล้วขานรับคำยิ้มๆ ส่งหย่งเฉิงโหวไปพักผ่อนที่เรือนของอนุ ส่วนตัวเองหารือกับหมัวมัวคนสนิทเรื่องเชิญคนมาอบรมสั่งสอนฉังหนิง

………………………………………………………………………..

[1] ห่านน้ำแดงเจ ฟองเต้าหู้ทอดราดน้ำปรุงรส

[2] ผัดผักสามมิตร ประกอบไปด้วยมันฝรั่ง มะเขือม่วง และพริกหยวกเขียว

[3] ผักฉุนไช่ หรือ (water shield) เป็นผักที่เจริญในน้ำชนิดหนึ่ง ที่หังโจวนิยมนำยอดอ่อนมาต้มเป็นน้ำแกง ให้รสสัมผัสเป็นเมือกลื่นๆ

[4] เสือกระดาษ ดูน่ากลัวแต่ความจริงแล้วเปราะบางอ่อนแอ

[5] บุตรสาวอกตัญญูเป็นความผิดของมารดา เปรียบเปรยถึงการเลี้ยงดูบุตรสาวเป็นหน้าที่รับผิดชอบของมารดา ซึ่งจะพ้องกับอีกประโยคหนึ่งที่ว่า บุตรชายอกตัญญูเป็นความผิดของบิดา

ตอนต่อไป