ตอนที่ 65 เครื่องบรรเลงเพลงอันไร้ความรู้สึก

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

ตอนที่ 65 เครื่องบรรเลงเพลงอันไร้ความรู้สึก

แน่นอนว่าหลินเยวียนไม่จำเป็นต้องรอให้ความตายมาเยือนถึงจะสำแดงพลัง โลกที่เขาจากมานั้นเป็นคลังสมบัติทางศิลปะซึ่งกอบโกยได้ไม่สิ้นสุด

อีกทั้งเขายังเชื่อมั่นว่าไม่ช้าก็เร็วระบบจะเอาชนะโรคร้ายได้!

มาถึงจุดนี้ต้องเน้นย้ำสักประโยคว่า อันที่จริงนิยายอย่างของขวัญแห่งเมไจมักจะมีนัยยะที่ลึกซึ้งกว่าชั้นเดียว อย่างเช่นการสะท้อนเรื่องความขัดแย้งและความไม่เท่าเทียมของชนชั้นในสังคม

ทว่าหลินเยวียนอาศัยอยู่บนบลูสตาร์

ฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นเพียงเรื่องราว และการบรรยายก็โฟกัสอยู่ที่ตัวเรื่องราว ไม่มีทางสอดแทรกความหมายอันลึกซึ้ง และการถกเถียงเกี่ยวกับยุคสมัยนั้นก็มีเพียงผิวเผินเท่านั้น

ในตอนนั้นเขากำลังกินข้าวอยู่ในโรงอาหาร

ฝั่งตรงข้ามคือซย่าฝานกับเจี่ยนอี้

วันนี้ซย่าฝานคล้ายกับว่าจะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สายตาเหม่อลอยไม่โฟกัส เจี่ยนอี้ซึ่งจับสังเกตเห็นในจุดนี้ก็ยกมือไปโบกไหวๆ ด้านหน้าซย่าฝาน

“คิดอะไรอยู่น่ะ เหม่อขนาดนั้น”

หลินเยวียนก็มองไปยังเพื่อนสนิทคนนี้ด้วยความเป็นห่วง

ซย่าฝานเงยหน้า เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “พวกนายห้ามหัวเราะฉันนะ คือว่าเมื่อคืนฉันสมัคร ‘สะพรั่ง’ ปีนี้ไป”

เจี่ยนอี้ได้ยินดังนั้น ก็สบตากับหลินเยวียน ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา

ในฐานะที่เป็นรายการประกวดซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดในฉินโจว สะพรั่งจะจัดขึ้นปีละครั้ง เด็กหญิงผู้มีความฝันด้านดนตรีทุกคนล้วนใฝ่ฝันว่าจะได้เข้าร่วมรายการนี้

ซย่าฝานก็เป็นหนึ่งในนั้น

ทว่าผ่านไปสองปี ซย่าฝานเข้าร่วมรายการสะพรั่งมาแล้วสองครั้ง สองครั้งแต่ก็ไร้ผล นั่นทำให้ซย่าฝานสะเทือนใจอย่างรุนแรง ตอนตกรอบเมื่อปีที่แล้วเธอก็ร้องไห้พูดว่า จะไม่เข้าร่วมรายการนี้อีกแล้ว

คำพูดเมื่อปีก่อนยังคงดังก้องอยู่ในหู

ผลคือสะพรั่งในปีนี้เพิ่งจะเปิดรับสมัคร ซย่าฝานก็รีบสมัครอย่างไม่รอช้า ราวกับว่าลืมคำพูดของตัวเองไปเสียสนิท มิหนำซ้ำยังลืมความสะเทือนใจทั้งสองครั้งก่อนหน้านี้ไปแล้วสิ้น

“พวกนายอยากตายหรือไงฮะ!”

ซย่าฝานส่งสายตาโกรธเคืองไปยังทั้งสองคนซึ่งส่งเสียงหัวเราะออกมา

หลินเยวียนรีบหุบยิ้มในทันที “ฉันสนับสนุนนะ”

เจี่ยนอี้ก็ทำสีหน้าเคร่งขรึม “ทำตามความฝันของเธอเถอะ”

สีหน้าของซย่าฝานจึงค่อยผ่อนคลายลง

แต่สองคนกลับส่งเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง

ซย่าฝานโทสะพลุ่งพล่าน “พวกนายคิดว่ามันตลกมากหรือไง”

ทักษะการเอาชีวิตรอดทำให้เจี่ยนอี้และหลินเยวียนรีบกลั้นยิ้ม

ซย่าฝานแค่นเสียงฮึ กล่าวว่า “ครั้งที่สามแล้ว ฉันรับรองว่าปีนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย!”

เจี่ยนอี้พึมพำว่า “ปีที่แล้วเธอก็พูดแบบนี้…”

จากนั้นเขาก็ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เพราะซย่าฝานเหยียบเท้าเขาเสียเต็มรัก

หลินเยวียนพูด “รอให้ถึงการแข่งขัน พวกเราจะไปตะโกนเชียร์เธอด้านล่างเวทีเหมื่อนสองปีที่ผ่านมานั่นแหละ”

“นี่ยังพอได้หน่อย”

ซย่าฝานผุดลุกขึ้นยืน “ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกนายสองคนก็ช่วยฉัน ฉันคิดว่าสองปีที่ผ่านมาไม่ติดหนึ่งร้อยคน ที่สำคัญก็เป็นเพราะเลือกเพลงพลาด ปีนี้จะต้องเลือกเพลงที่เหมาะกับฉัน ทำให้คณะกรรมการอึ้งไปเลย”

“ดีๆ”

หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้ไม่ได้ปฏิเสธ

อันที่จริงสิ่งสำคัญคือความเห็นของหลินเยวียน

คนที่ร้องเพลงยังเสียงเพี้ยนอย่างเจี่ยนอี้ไม่รู้เรื่องดนตรีหรอก เขาจำแนกประเภทดนตรีได้แค่ ‘เพราะ’ กับ ‘ไม่เพราะ’ แค่สองประเภท

ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง

หลินเยวียนพูด “เพลงที่เธอร้องเมื่อปีที่แล้ว จริงๆ ก็ดีมากเลยนะ แต่ที่กรรมการไม่เลือก หลักๆ ก็น่าจะเป็นเพราะแนวเพลงที่เธอเลือกมันค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม”

ในฐานะเพื่อนสนิท หลินเยวียนกระจ่างในความสามารถของซย่าฝานดี

ด้วยศักยภาพของซย่าฝาน เข้าร่วมรายการสะพรั่งย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จ ปัญหาของซย่าฝานนั้นอยู่ที่กลยุทธ์ในการแข่งขัน

เธอคนนี้ชื่นชอบแนวเพลงเฉพาะกลุ่ม

การแข่งขันให้ความสนใจกับอารมณ์ร่วม เพลงที่ทำให้ผู้ชมคึกคักขึ้นมามักจะโดดเด่นได้ง่าย ส่วนเพลงเฉพาะกลุ่มมักจะได้รับเสียงชื่นชมไม่มาก

……

เมื่อกินข้าวเสร็จ ทั้งสามก็วางแผนช่วยซย่าฝานเลือกเพลงสำหรับแข่งขันในรายการสะพรั่ง

ซย่าฝานหยิบรายชื่อเพลงซึ่งเตรียมไว้แล้วออกมา “หลินเยวียน นายวงเพลงที่แนะนำที ฉันจะได้ฝึกให้เยอะหน่อย”

“อื้ม”

หลินเยวียนอ่านรายชื่อเพลงของซย่าฝาน เธอคนนี้ยังคงเปลี่ยนเอกลักษณ์อย่างการชื่นชอบแนวเพลงเฉพาะกลุ่มไม่ได้ ทว่านอกจากเพลงเฉพาะกลุ่มแล้ว หลินเยวียนยังเหลือบไปเห็นสองเพลงที่เขาคุ้นเคยเลยทีเดียว

เพลงหนึ่งคือปลายักษ์

อีกเพลงหนึ่งคือติดไฟง่ายระเบิดง่าย

หลินเยวียนปรายตามองซย่าฝาน ขีดฆ่าเพลงปลายักษ์ทิ้งทันที

เสียงของซย่าฝานไม่มีทางดึงจุดเด่นของเพลงนี้ออกมาได้แน่

เขาชี้ไปที่อีกเพลงหนึ่ง “เธอลองเพลงติดไฟง่ายระเบิดง่าย”

“ได้”

นี่เป็นเพลงที่ซย่าฝานชอบเพลงหนึ่ง

หลินเยวียนครุ่นคิดแล้วจึงพูด “ฉันไม่ได้ให้เธอร้องเพลงนี้ในรอบออดิชันนะ รอบออดิชันเธอไม่มีปัญหาอยู่แล้ว รอรอบหนึ่งร้อยคนแล้วค่อยเอาเพลงนี้มาร้องจะดีกว่า”

ซย่าฝานพยักหน้า

โดยพื้นฐานแล้วการได้เข้ารอบหนึ่งร้อยคนจะเป็นผู้เข้าแข่งขันที่มีระดับความเป็นมืออาชีพสูง ในเวลาแบบนี้ ใครเข้ารอบใครตกรอบก็ไม่แปลก สองปีก่อนเธอประมาทเกินไป คิดว่าถ้าตนเองร้องได้ดีจะต้องได้เข้ารอบหนึ่งร้อยคนอย่างแน่นอน โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนที่ผ่านเข้ารอบหนึ่งร้อยคนสุดท้าย มีใครบ้างล่ะที่ความสามารถไม่ถึงขั้น?

หลินเยวียนเสนอความเห็นอีกส่วนหนึ่ง

หลินเยวียนขีดฆ่าเพลงแทบทั้งหมดในรายชื่อของซย่าฝาน เขามองชื่อเพลงซึ่งเหลืออยู่ไม่มากพลางกล่าว “เพลงพวกนี้เธอไปฝึกให้ดี ใช้เป็นเพลงประกวดได้หมดเลย”

“ได้”

ซย่าฝานเชื่อใจหลินเยวียนพอสมควร ต่อให้เพลงส่วนมากที่หลินเยวียนขีดฆ่าไปส่วนใหญ่จะเป็นเพลงที่เธออยากร้องแต่แรกก็ตามแต่

กว่าจะพูดคุยกันจบ

ก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว

หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้มีธุระจึงแยกตัวออกมา หลินเยวียนซึ่งช่วงบ่ายไม่มีวิชาเรียนก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียกระบบ “ฉันใช้การฝึกฝนมาเพิ่มสกิลเปียโนได้มั้ย”

“ได้”

ระบบตอบ “ระบบให้ความสามารถด้านเปียโนระดับเชี่ยวชาญกับโฮสต์ แต่ถ้าโฮสต์หมั่นฝึกฝนจากพื้นฐานที่มีละก็พัฒนาฝีมือของตัวเองได้”

“เข้าใจแล้ว”

หลินเยวียนมุ่งหน้าไปยังห้องเปียโน

ทุกคนชอบการประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องลงแรงทั้งนั้นแหละ หลินเยวียนก็เช่นเดียวกัน ใครจะเกลียดความรู้สึกของการนั่งสบายๆ แล้วได้ผลประโยชน์กันล่ะ

แต่นอกจากรอให้ระบบเพิ่มความสามารถให้ตนเอง หลินเยวียนก็ไม่ได้ต่อต้านการพัฒนาความสามารถด้วยตนเอง ไม่อย่างนั้นเขาจะตั้งใจเรียนทุกวิชาในวิทยาลัยไปทำไมล่ะ

ถึงยังไงระบบก็มอบเพลงให้ได้อยู่แล้ว?

ถ้าหากมีความคิดแบบนี้ หลินเยวียนคงใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยและใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ได้อย่างสบายใจเฉิบ

เพียงแต่ว่านั่นมันออกจะน่าเบื่อเกินไปหน่อย

ประสิทธิภาพในการพัฒนาความสามารถด้วยตนเอง เมื่อเทียบกับการพัฒนาฝีมือด้วยระบบแล้ว ก็น้อยจนไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงด้วยซ้ำไป

ทว่าหลินเยวียนก็ยังชอบความรู้สึกของการพัฒนาเพราะการบากบั่นพยายามมาก สิ่งมีชีวิตเฉกเช่นมนุษย์ต้องการความรู้สึกภาคภูมิใจในความสำเร็จ

เมื่อถึงห้องเปียโน

หลินเยวียนก็เริ่มเล่นเพลงที่คุ้นเคยสองสามเพลง

หลังจากเริ่มคล่องมือแล้ว เขาก็บรรเลงเพลงวิวาห์ในฝัน นี่คือเพลงที่ได้รับจากกล่องสมบัติสีเงิน จวบจนวันนี้ยังถูกดองไว้ในคลังไอเทม

โน้ตเพลงถ่ายทอดผ่านปลายนิ้ว

หลินเยวียนหลับตาลงอย่างแผ่วเบา

นิ้วมือของเขาค่อยๆ เร่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทดลองแปลงโน้ตเพลงวิวาห์ในฝัน นี่คือการอิมโพรไวส์ซึ่งนักเปียโนจำนวนมากทดลองเล่น บางครั้งการอิมโพรไวส์ในลักษณะนี้อาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบของต้นฉบับทั้งหมดเลยทีเดียว

ทว่าการทดลองในครั้งนี้ไม่สำเร็จ

หลินเยวียนรู้สึว่าตนยังขาดการบ่มเพาะฝึกฝนด้านเปียโนอยู่ระดับหนึ่ง ไม่อาจถ่ายทอดจิตวิญญาณของบทเพลงให้หลากหลายมากกว่านี้

นี่เป็นข้อเสียของการเพิ่มระดับความสามารถที่ระบบมอบให้ หลินเยวียนได้รับฝีมือด้านเปียโนมาในชั่วข้ามคืน เทคนิคระดับมืออาชีพก็จริง ทว่าเขายังขาดการสั่งสมประสบการณ์บางอย่างอยู่

ก็เหมือนกับการร้องเพลงที่ไร้ซึ่งความรู้สึก

อันที่จริงเปียโนของหลินเยวียนนั้นไม่มีอารมณ์ความรู้สึกสักเท่าไหร่ เทคนิคการบรรเลงเพลงระดับเชี่ยวชาญจึงยิ่งทำให้เขาดูประหนึ่งกลายเป็นเครื่องบรรเลงเพลงอันไร้ความรู้สึกเครื่องหนึ่ง

“นี่อาจเป็นทิศทางในการปรับปรุงของฉันหลังจากนี้”

ในใจของหลินเยวียนคล้ายกับตระหนักขึ้นมาได้ เขาจึงค่อยๆ ผ่อนความเร็วลง และทำให้เพลงกลับไปเป็นโน้ตดั้งเดิม บรรเลงบทเพลงไปพลางขบคิดให้ลึกซึ้งกว่าเก่า

ทว่าสิ่งที่หลินเยวียนไม่รู้ก็คือ…

ยามที่ท่วงทำนองเปียโนบรรเลงไป ที่ห้องเปียโนข้างๆ เขาในตอนนั้น หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งกำลังงีบหลับหน้าเปียโนก็ลืมตาขึ้นทันใด ลุกพรวดขึ้นยืนเบื้องหน้าเปียโน

…………………………………………….