ตอนที่ 74 โลภมากไม่รู้จักพอ

ฟางจวิ่นเหมยไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนมาถึงช่วงเย็น ลูกชายคนโตของท่านป้าหยาง เฉินซิง ที่เพิ่งกลับมาจากทำนา ก็ถูกฟางจวิ่นเหมยลากเข้าไปในห้อง

“มีอะไร ได้เวลากินข้าวแล้วลากข้าเข้ามาทำไม?” เฉินซิงเอ่ยอย่างไม่พอใจ

ฟางจวิ่นเหมยมองไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะนั่งลงบนเตียงแล้วบ่นออกมาด้วยความหงุดหงิด “แม่เจ้าได้วิธีหาเงินมา ข้าบอกว่าจะเอาไปบอกที่บ้านข้าบ้าง แต่นางกลับไปพอใจ เจ้าว่านางไม่เห็นข้าเป็นคนในครอบครัวใช่หรือไม่?”

เฉินซิงไม่รู้ว่านางกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ “วิธีหาเงินอะไร ช่วยสะใภ้ตระกูลเผยทำอาหารให้คนงานน่ะหรือ?”

ฟางจวิ่นเหมยจึงกระทืบเท้าทันที “ใช่เรื่องนี้ที่ไหนกันเล่า เจ้าพูดบ่อย ๆ ไม่ใช่หรือ ว่ากลิ่นเนื้อบนเนินเขาหอมจนเจ้านอนไม่หลับ เจ้าตั้งใจดมดูสิ บ้านเราก็มีกลิ่นนั้นเหมือนกันใช่หรือไม่?”

เฉินซิงจึงลองดมดู “ทำไม สะใภ้ตระกูลเผยสอนท่านแม่ทำเนื้อตุ๋นอย่างนั้นหรือ?”

“ก็ใช่น่ะสิ แถมยังเอาเนื้อกลับมาตั้งเยอะ”

เฉินซิงจึงเอ่ยด้วยความสงสัย “เป็นเรื่องดีจะตายไป สะใภ้ตระกูลเผยช่วยท่านแม่หาเงิน เงินนั่นสุดท้ายก็เป็นของเราอยู่ดี แล้วเจ้าไม่พอใจอะไรกัน?”

ฟางจวิ่นเหมยถลึงตาใส่เขา “เจ้าว่าข้าไม่พอใจอะไรเล่า พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน แบ่งให้บ้านท่านแม่ข้าบ้างจะเป็นอะไรไป อาฝูเองก็โตแล้ว เอาแต่เล่นดินอยู่ที่บ้าน ข้าอยากจะส่งเขาไปเรียนสำนักศึกษาด้วย”

เฉินซิงรู้นิสัยนี้ของนางดี “เจ้าพูดกับท่านแม่แล้วหรือ?”

“พูดแล้ว แต่นางไม่ยอม บอกว่าจี้จือฮวนยังไม่อนุญาต แต่จี้จือฮวนให้นางแล้ว นางแบ่งให้บ้านข้าบ้างจะเป็นอะไรไป สรุปก็คือ นางคงเห็นข้าเป็นคนนอกจริง ๆ” ฟางจวิ่นเหมยพูดไปก็ทำเป็นร้องไห้ออกมา

เฉินซิงรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นฟางจวิ่นเหมยที่งี่เง่าไปเอง แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนตรง ๆ เมื่อพูดถึงเรื่องพวกนี้เขาเองก็รู้สึกรำคาญ ดังนั้นจึงออกมาจากห้อง

แต่เพียงครู่เดียวฟางจวิ่นเหมยก็หยุดร้องไห้ อาฝูไม่รู้ว่าแม่เขาเป็นอะไร จึงเดินบิดก้นน้อย ๆ ตามพ่อของเขาออกไปเช่นกัน

ท่านป้าหยางกำลังจ้องเนื้อตุ๋นบนเตาอยู่ ท่าทางของลูกสะใภ้คนโตเมื่อครู่ทำให้นางรู้สึกกังวลขึ้นมา นางกลัวว่าถ้าตัวเองเผลอ ฟางจวิ่นเหมยจะเข้ามาทำอะไรไม่ดีเข้า

ตอนที่เฉินซิงเดินเข้ามา ท่านป้าหยางจึงมองหน้าลูกชายเล็กน้อย “กลับมาแล้วหรือ?”

“ขอรับ” เฉินซิงรับคำเบา ๆ จากนั้นก็มองไปที่หม้อเนื้อตุ๋น “สะใภ้ตระกูลเผยช่วยท่านหาเงินจริงหรือขอรับ เหตุใดนางถึงดีกับพวกเราเช่นนี้เล่าขอรับ?”

ท่านป้าหยางมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “ครอบครัวเรามีเงินไม่ถึงครึ่งหนึ่งของพวกเขา นางให้ข้าไปทำงานด้วย วันหนึ่งให้ตั้งหกสิบเหวิน และยังหางานเสริมที่สามารถหาเงินได้ให้ข้าทำอีก เจ้าว่าเหตุใดนางถึงดีถึงเพียงนี้กันเล่า นั่นก็เพราะนางเป็นคนดีน่ะสิ!”

เฉินซิงที่อยู่ดี ๆ ก็ถูกแม่ตัวเองตะคอกใส่ ก็หน้าเสียไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มประจบออกมา “ข้าก็แค่ถามดูเท่านั้นเองขอรับ”

“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ ฟางจวิ่นเหมยให้เจ้ามาเกลี้ยกล่อมข้า ว่าควรแบ่งไปให้บ้านแม่ของนางด้วยใช่หรือไม่ เรื่องนี้ข้าไม่มีทางยอมตกลงแน่นอน อีกอย่างวัน ๆ นางนินทาฮวนฮวนน้อยเสียเมื่อไร เดี๋ยวก็ต่อว่าเรื่องหน้าตาของคนอื่น เดี๋ยวก็อยากได้ของที่คนอื่นใช้หาเงิน ยังมียางอายอยู่หรือไม่?”

ท่านป้าหยางชี้หน้าเฉินซิง พลางเอ่ยออกมา “ถ้าเจ้ากล้าเอ่ยปากออกมาล่ะก็ จะถือซะว่าข้าไม่มีลูกชายอย่างเจ้าอีก เจ้าพานางไสหัวไปอยู่กับครอบครัวฟางได้เลย แล้วเจ้าก็ไปเป็นลูกชายของพวกเขาซะ”

เฉินซิงคิดไม่ถึงว่าท่านแม่ของเขาจะมีปฏิกิริยาที่รุนแรงเช่นนี้ “ข้าเพียงแค่ถามดู นี่เป็นของที่พวกเราใช้หาเงิน ข้าจะให้คนอื่นได้อย่างไรกันเล่าขอรับ”

“เจ้ารู้ก็ดีแล้ว อาฝูยังต้องเข้าเรียน ครอบครัวฟางเป็นหลุมที่ถมไม่มีวันเต็ม แค่พี่ชายผีพนันของนาง แม้จะมีเงินเท่าไรก็ไม่พอ ฮวนฮวนช่วยพวกเรา พวกเราจะอกตัญญูไม่ได้เด็ดขาด”

เฉินซิงได้ยินแม่ตนเองพูดเช่นนี้ก็รู้ว่านางทำเพื่อครอบครัว เขาจึงพยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น “ข้าจะช่วยท่านดูไฟเอง”

อาฝูแม้ว่าจะขี้กลัว แต่เขาก็สนิทกับท่านย่าที่สุด จึงมาช่วยทุบขาให้ท่านป้าหยางอย่างแข็งขัน

ฟางจวิ่นเหมยรออยู่ในห้องสักพัก ก็พบว่าทางนั้นกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ แต่ฟางจวิ่นเหมยก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจง่าย ๆ

เมื่อรอจนเฉินฉือกลับมาบ้าน ท่านป้าหยางก็ได้บอกเรื่องนี้แก่เขา

เฉินฉือคิดไม่ถึงว่าจี้จือฮวนจะแบ่งวิธีทำมาหากินให้ท่านป้าหยางเช่นนี้ เขาวางเคียวลง “พวกเราครอบครัวเหล่าเฉินต้องจดจำบุญคุณนี้เอาไว้ วันหน้าหากครอบครัวนางมีเรื่องอะไร ให้คิดซะว่าเป็นเรื่องของครอบครัวเรา เด็กสามคนนั้นก็ต้องช่วยกันดูแลด้วย”

ท่านป้าหยางพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าเห็นนางเป็นลูกสาวมาโดยตลอดอยู่แล้ว”

พ่อแม่พูดถึงขนาดนี้แล้ว เฉินซิงก็ทำได้เพียงรับนางเป็นน้องสาวอีกคน ทั้งครอบครัวคุยไปหัวเราะไป เพราะรู้สึกว่าวันข้างหน้าพวกเขามีความหวังแล้ว

อีกอย่างทางด้านเฉินฉือ เนื่องจากเขาเป็นคนซื่อสัตย์และใจกว้าง คนในหมู่บ้านต่างก็เสนอให้เขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ความเป็นไปได้นั้นยังสูงมากอีกด้วย ความจริงแล้วเรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณจี้จือฮวน ไม่อย่างนั้นเฉินไคชุนที่อยู่ในหมู่บ้านมาหลายปี บวกกับมีเฉินเย่าจงอยู่ การจะให้เขาออกจากตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายจริง ๆ

ฟางจวิ่นเหมยฟังเสียงพวกเขาพูดคุยและหัวเราะกันอย่างมีความสุขอยู่ในห้อง ก็โมโหจนอยากจะเป็นลม

นางกังวลเพื่อครอบครัวของนาง แต่พวกเขากลับเห็นจี้จือฮวนเป็นดั่งพระโพธิสัตว์! ฟางจวิ่นเหมยยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จึงตัดสินใจว่าคืนนี้จะไม่กินข้าว

เฉินซิงมาเรียกนางแล้วรอบหนึ่ง จากนั้นอาฝูก็เข้ามาเรียกนางอีก แต่นางตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมง่าย ๆ ให้พวกเขาได้รู้สึกผิดเสียบ้าง

“ท่านย่าหยางขอรับ”

ฟางจวิ่นเหมยได้ยินเสียงคนข้างนอกก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที นางผลักอาฝูไปทีหนึ่ง “ไปดูสิว่าใครมา”

อาฝูเปิดม่านที่ประตูออกและชำเลืองมอง “นั่นพี่อาฉือขอรับ”

“พี่อะไร มันเป็นพี่ฝั่งไหนของเจ้า” ฟางจวิ่นเหมยตะคอกด้วยความโมโห จากนั้นก็ไปแอบดูที่ข้างประตู

ท่านป้าหยางออกมา ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อาฉือ เหตุใดถึงมาที่นี่ได้?”

“ท่านแม่บอกว่าได้ลูกท้อมา แล้วก็มีอาหารชนิดใหม่ที่เพิ่งทำที่บ้าน จึงเอามาให้พวกท่านลองชิมดูขอรับ พี่เสี่ยวเจียนข้าก็เอาไปให้มาแล้วขอรับ” เผยจี้ฉือส่งของในตะกร้าให้ท่านป้าหยาง

เฉินซิงโตจนป่านนี้ยังไม่เคยเห็นลูกท้อที่สะอาดและสีละมุนเช่นนี้มาก่อน ดูก็รู้ว่าต้องฉ่ำและหวานมากอย่างแน่นอน ของดีแบบนี้ควรจะเอาไปขายไม่ใช่หรือ แต่จี้จือฮวนกลับเอามาให้ครอบครัวของพวกเขาเช่นนี้

มิน่าเล่าท่านแม่ถึงชอบบอกว่านางเป็นคนดี ตอนนี้เฉินซิงเองก็รู้สึกได้แล้วเช่นกัน

“เช่นนั้นข้ากลับก่อนนะขอรับ ท่านแม่ยังรอข้ากลับบ้านไปกินข้าวอยู่” เผยจี้ฉือเอ่ยจบ ก็เห็นอาฝูที่กำลังแอบมองเขาอยู่ เขากวักมือเรียกอาฝูด้วยรอยยิ้ม อาฝูเองก็ไม่สนใจกับเสียงห้ามปรามของฟางจวิ่นเหมยอีกต่อไป

“พี่ให้ลูกอม”

อาฝูโตจนป่านนี้แล้วเพิ่งเคยกินลูกอมแค่ไม่กี่ครั้ง ดังนั้นเมื่อคว้ามาได้ก็ยัดเข้าปากทันที

เผยจี้ฉือเองก็ไม่ได้รังเกียจ “วันหน้ามาเล่นที่บ้านสิ อาชิงได้ของเล่นมาเยอะแยะเลย เขาชอบบอกว่าพวกข้าไม่ยอมเล่นเป็นเพื่อนเขา”

ท่านป้าหยางเองก็ตั้งใจอยากให้อาฝูไปเล่นกับพวกลูก ๆ ของครอบครัวเผยเช่นกัน ดูสิ จี้จือฮวนเลี้ยงลูกดีขนาดไหน อาฉือเพิ่งจะอายุไม่เท่าไร ก็มีความรู้มากจนสามารถเข้าสำนักศึกษาชิงอวิ๋นได้ อาอินก็เป็นเด็กที่รู้ความ แม้แต่อาชิงก็รู้จักช่วยทำงานในบ้าน และไม่ขี้กลัวอีกด้วย เห็นใครก็ทักทายตลอด

แต่เมื่อหันกลับมาดูอาฝูของตัวเอง นอกจากจะผอมกะหร่องแล้ว ยังถูกฟางจวิ่นเหมยเลี้ยงมาให้เป็นคนขี้กลัวอีกด้วย แค่เห็นก็ทำให้รู้สึกปวดใจไม่น้อย

“ได้สิ เดี๋ยวจะให้อาฝูไปพรุ่งนี้เลย”

เผยจี้ฉือกลับไปแล้ว ท่านป้าหยางจึงเปิดตะกร้าดู พบว่าอาหารในนั้นเป็นเนื้อตุ๋นผักดำ เนื้อนั้นทั้งใหญ่และเยอะกว่าเนื้อที่พวกเขากินกันตอนปีใหม่เสียอีก เฉินซิงน้ำลายแทบจะหกออกมา

อาฝูวิ่งกลับไปที่ห้องเพื่อเรียกฟางจวิ่นเหมยมากินข้าว แต่เมื่อฟางจวิ่นเหมยเห็นเขาก็โมโหขึ้นมา จึงกระชากลูกอมของเขาไป “ของที่คนอื่นให้ เจ้าหวงถึงเพียงนี้เชียวหรือ นิสัยไม่เหมือนข้าเลยสักนิด!”

.

.

.